หลังจากที่อวี๋ซื่อชิงพูดประโยคนี้จบ ซูชิงลั่วก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้งดีที่เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นมาแล้ววางลงไปบนหมอนที่คั่นอยู่กึ่งกลางเท่านั้นที่แท้ก็พูดประโยคนี้ให้คนนอกฟังซูชิงลั่วโล่งอก หันหน้าไปอีกทางทั้งๆ ที่ร่างกายเหนื่อยล้าเต็มที ทว่าไม่ว่าทำเช่นไรก็นอนไม่หลับเสียงลมหายใจของคนที่อยู่ข้างๆ ทำให้นางไม่เป็นสุขราวกับว่าพื้นที่ที่เดิมเป็นของตนถูกคนแปลกหน้ารุกล้ำ แต่กลับไม่อาจต่อต้านได้ช่างทรมานยิ่งนักเพื่อต่อสู้กับความทรมานนี้ นางนึกถึงลู่เหิงจือขึ้นมาโดยธรรมชาตินึกถึงตอนที่อยู่ในห้องเดียวกันกับลู่เหิงจือเป็นครั้งแรกคือตอนที่อยู่ในกระท่อมไม้ไผ่หลังนั้นเขายืนอยู่ไกลออกไปตรงหน้าต่าง นางจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น ได้กลิ่นลมหายใจที่ลอยเข้ามาก็ทำให้รู้สึกเบาใจอย่างน่าประหลาดหลังจากแต่งงานกันแล้ว ครั้งแรกที่พวกเขานอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ทั้งๆ ที่นางตื่นเต้นเหลือเกิน แต่หลังจากนั้นกลับผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วไม่ได้รู้สึกทรมานเหมือนในตอนนี้ที่ทำได้เพียงแค่คิดถึงลู่เหิงจือไปเรื่อยๆ ถึงจะค่อยๆ ฆ่าเวลาไปได้ทีละนิดๆไม่รู้ว่าลู่เหิงจือจะเป็นเช่นไรบ้างที่ชายแดนถ้าหากรู้ว่าว
อวี๋ซื่อชิง : “ต่อไปเกรงว่าท่านคงเรียกข้าว่าใต้เท้าอวี๋ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะดูห่างเหิน”ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะพลันได้ยินเสียงของลู่เหิงจือดังข้างหูอย่างกะทันหัน : “เรียกข้าพี่สาม”เสียงแว่วไกลและแผ่วเบาอวี๋ซื่อชิงสังเกตเห็นนางเหม่อลอย ในใจพลันปวดร้าวเบาๆสิ่งแรกที่คิดได้คือเกรงว่าจะมีผู้ใดเคยพูดประโยคนี้กับนาง นางถึงได้มีท่าทีเช่นนี้หลังจากนั้นไม่นาน ซูชิงลั่วก็ได้สติกลับมา : “เช่นนั้นข้าควรเรียกใต้เท้าว่าอย่างไร”เรียกท่านพี่ ?แต่งงานยังพอฝืนได้ แต่จะให้เรียกท่านพี่ เกรงว่าลู่เหิงจือคงกลับมาตัดคออวี๋ซื่อชิงเป็นแน่อวี๋ซื่อชิงตอบ : “เรียกชื่อเถอะ”ซูชิงลั่วพยักหน้า ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วอวี๋ซื่อชิง : “ต่อไป ข้าอาจจะมาบ่อยๆ”"ได้"“แล้วเรื่องงานแต่ง ท่านคิดว่าเวลาใดเหมาะสม”แน่นอนว่าซูชิงลั่วย่อมหวังว่ายิ่งช้าเท่าใดก็ยิ่งดี แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งออกไปก่อนที่ท้องจะโตอีกทั้งนางเองก็รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีทางกลับมาได้ในช่วงเวลาใกล้ๆ นี้ เป่ยตี๋ล้อมเซวียนเฉิงไว้เป็นเวลาเกือบครึ่งปีเมื่อคิดเช่นนี้ ที่จริงแล้วไม่ว่าจะจัดงานเมื่อใดก็ไม่สำคัญ
เซวียนเฉิงหิมะตกกระหน่ำทั่วแผ่นฟ้าตรงหน้าเป็นเรือนอาศัยเล็กๆ ที่ไม่ดึงดูดสายตา หลังคากระเบื้องสีเทาและผนังอิฐ อยู่ลึกสุดของตรอกลู่เหิงจือคลุมเสื้อคลุม เดินโต้ลมเหยียบย่ำหิมะเข้าไปด้านใน ก่อนจะเอ่ยถาม : "คุณหนูเล่า"สาวใช้ตอบ : "คุณหนูกำลังเขียนหนังสืออยู่ด้านใน"ลู่เหิงจือพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปด้านในลู่ซือไหววางกระดาษและพู่กันในมือลงแล้วเข้ามาต้อนรับ : "พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว"สองเดือนก่อนหน้านี้ เป่ยตี๋บุกเข้ามาที่เซวียนเฉิงอย่างกะทันหันยามนั้นผู้คนในเมืองอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่นางเองก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมตัวจะหนีไปด้วยความตื่นตระหนกทว่าคิดไม่ถึงว่าการมาแบบปุบปับของลู่เหิงจือ จะทำให้ทหารของเป่ยตี๋ล่าถอยไปได้ด้วยแผนการและการนำทัพของเขาตั้งแต่ศึกแรกเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในเซวียนเฉิงในทันทีนางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของลู่เหิงจือเป็นครั้งแรก ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุยังน้อย สติปัญญาหลักแหลม มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดนางรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แต่กลับคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใดแต่บุคคลที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ไม่มีทางมีความเกี่ย
เพียงแต่ไม่คิดว่าผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีข่าวที่พี่ชายและพี่สะใภ้หย่ากันแพร่มาอย่างกะทันหันครั้นแล้วตอนที่ลู่เหิงจือมาครั้งถัดไป นางจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นลู่เหิงจือน้ำเสียงเรียบเฉย : "ไม่ใช่ปัญหา เป็นเพียงแค่แผนการส่วนหนึ่ง"นางถึงจะเบาใจครั้งนี้เขาใช้เวลานานขึ้นอีกหน่อย อยู่เป็นเพื่อนนางหนึ่งวันเต็มๆ ทั้งยังเอ่ยถาม : "เจ้ายังเขียนหนังสือได้หรือไม่"ลู่ซือไหวส่ายหน้าเบาๆ : "ได้เพียงแค่ตัวอักษรง่ายๆ ไม่กี่ตัว"ที่นี่ไม่ใช่เจียงหนาน นางเองก็ไม่ใช่เด็กที่ถูกซื้อมาอบรมเลี้ยงดูเพื่อนำไปขายต่อ จึงไม่มีคนสั่งสอน เพียงแค่อาศัยรูปร่างหน้าต่างที่นับว่าพอใช้ได้ ทำให้มีชีวิตรอดมาได้ก็เท่านั้นลู่เหิงจือเอ่ย : "เช่นนั้นข้าเชิญอาจารย์มาสอนเจ้าอ่านหนังสือดีหรือไม่"ลู่ซือไหวดวงตาพลันฉายประกาย "เยี่ยมไปเลย"ขณะนั้นเอง นางเห็นแขนเสื้อของลู่เหิงจือขาดเป็นรูยาว จึงเอ่ย : "ข้าเย็บเสื้อให้พี่ใหญ่ดีกว่า"ลู่เหิงจือตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอดเสื้อด้านนอกยื่นให้นางลู่ซือไหวถามยิ้มๆ : "นี่อาซ้อทำให้พี่ใหญ่หรือ""อืม" แม้แต่น้ำเสียงของลู่เหิงจือก็อ่อนโยนลงมาด้วย "ฝีมือการเย็บของนางไม่
หลังจากที่ซ่งเหวินออกไป ลู่เหิงจือก็วางตะเกียบลง ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์กินแล้วลู่ซือไหวเอ่ยถาม "พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดีหรือ"ลู่เหิงจือ : "นิดหน่อย"ก่อนหน้า น้อยครั้งนักที่เขาจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนต่อหน้าผู้อื่น ทว่าตั้งแต่ที่ได้เจอกับซูชิงลั่ว หัวใจของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มไม่ปิดกั้นการแบ่งปันบอกเล่ากับผู้อื่นยามนี้ยังตามหาลู่ซือไหวที่เป็นน้องสาวแท้ๆ เจอ อยู่ต่อหน้านางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เขาจึงพูดความจริงออกมาหลังจากที่พูดออกมา กลับรู้สึกว่าความรู้สึกที่มีคนที่สามารถระบายอารมณ์ด้วยได้เช่นนี้ก็ไม่เลวลู่ซือไหวยิ้มตาหยี : "แม้อาซ้อจะโกรธพี่ใหญ่ แต่นางก็ยังดีกับพี่ใหญ่""เจ้ารู้ได้อย่างไร""ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว" ลู่ซือไหวยิ้มมีเลศนัย กำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงซ่งเหวินวิ่งเหยาะๆ ดังเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง "ก็อก ก็อก ก็อก" เขาเคาะประตูเบาๆ ไม่รอให้ตอบ จากนั้นก็ถลาเข้ามาด้วยความลนลานลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว "มีเหตุอันใด"หากมีเรื่องใหญ่ องครักษ์ลับคงมารายงานแต่แรกแล้ว ไม่มีทางรอให้ถึงมือซ่งเหวินซ่งเหวินชูจดหมายในมือขึ้นมา ย
เรื่องที่ซูชิงลั่วเพิ่งหย่าขาดกับลู่เหิงจือและตั้งครรภ์อยู่จะแต่งงานกับอวี๋ซื่อชิงนั้น ทำให้คนในตระกูลลู่ทุกคนตกใจมากนางเฉียนก็แอบมาถามนางว่า“เด็กนี่เป็นลูกของอวี๋ซื่อชิงจริงหรือ?”ซูชิงลั่วจึงได้แต่พยักหน้ารับหากนางปฏิเสธ แล้วนางเฉียนจะเอาเรื่องนี้ไปนินทา อาจไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นางเฉียนมองนางด้วยสีหน้าสับสนแม้ว่านางจะชอบซูชิงลั่วลูกสะใภ้คนนี้มาก ทั้งร่ำรวย ใจกว้าง และกตัญญู ทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นมาก แต่นางก็ไม่กล้าจะเห็นด้วยเพราะสตรีควรซื่อสัตย์แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซูชิงลั่ว นางก็ไม่อาจพูดจารุนแรง ท้ายที่สุดก็ยิ้มอย่างอึดอัด แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อลู่เหยียนรู้เรื่องนี้ เขาอดด่าทอในห้องไม่ได้ว่า “ช่างเป็นหญิงสำส่อนเสียจริงๆ”แม้จะด่าทอเช่นนั้น แต่เขาก็อดรู้สึกเคืองใจไม่ได้เฉิงซิ่วเห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จึงเข้าไปโอบกอดเขานานแล้วที่ไม่ได้ร่วมห้องกัน ในใจนางยังคงชอบลู่เหยียนมาก จึงก้มศีรษะจูบเขาแต่ลู่เหยียนกลับผลักนางออกทันที “เจ้าก็เป็นหญิงสำส่อนที่ทนเหงาไม่ไหวรึ?”เฉิงซิ่วถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ มองเขาตาค้างราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดร้ายกาจเช่นนี้จะออกจากปากของเขาลู่
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋
ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร