ลู่เหิงจือหลังจากออกไปเจ็ดวัน ด่านชายแดนส่งข่าวมาว่าเป่ยตี๋โจมตีเมืองเหลียวสำเร็จ ทหารจะมาถึงเซวียนเฉิงในอีกไม่กี่วันนี้พอคำนวณเวลา ลู่เหิงจือก็น่าจะใกล้ถึงเซวียนเฉิงแล้วน่าจะป้องกันไว้ได้ ซูชิงลั่วนั่งครุ่นคิดอย่างละเอียดที่หน้าต่างช่วงหลายวันนี้นางก็ไม่ได้ว่างเลยหนึ่งคือมีเรื่องมากมายที่ต้องเตรียมตัว สองคือกลัวว่าพอตัวเองว่างก็จะควบคุมความคิดถึงลู่เหิงจือเป็นพิเศษนี้ไม่ไหว เช่นนั้นก็จะยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีกนางกลัวว่าพายุลมฝนที่กำลังเข้ามาจะทำให้ท่านย่ารับไม่ไหว จึงใช้เวลาไปเนิ่นนาน กว่าจะกล่อมให้ท่านย่ากลับจินหลิงได้เหตุผลแรกคือกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้นจริงๆ สองคือหน้าหนาวปีนี้เมืองหลวงหนาวเอามากๆ ไม่ดีต่อการพักฟื้นสุขภาพขดงท่านย่าท่านย่าตอนแรกก็ไม่เห็นด้วย นางเองอายุมากแล้ว ไม่อยากจะทำตัวยุ่งยากมากนักแต่ซูชิงลั่วก็กล่อมนางเฉียนให้เข้ามาเตือน บ้านสองไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรก็ตามเข้ามาเตือนด้วย บ้านสามที่ขลาดเขลาแต่รอบคอบมาโดยตลอด ก็เอ่ยขึ้นมาว่าจะกลับจินหลิงพร้อมกับท่านย่า รอให้เข้าฤดูใบไม้ผลิค่อยกลับเมืองหลวงท่านย่าท้ายสุดก็ถูกโน้มน้าวพอนางเดินทาง ความขัดแย้งกับบ้านส
เขาพยักหน้า:"เจ้าเป็นคนมีความคิด อยากไปก็ไปเถอะ"*คดีลู่เหิงจือแย่งภรรยาน้องชายถูกเปิดขึ้นในวันนั้น อากาศเย็นจัด ท้องฟ้าสีเทาขาวมีหิมะโปรยปรายแต่คนที่มาฟังก็ยังคงล้อมหน้าล้อมหลังศาลาว่าการกันไม่ขาดสายลู่เหยียนยืนอยู่บนศาล ใบหน้าดูอ่อนล้า สายตากลับเผยความเหี้ยมเกรียม"คุณชายสี่ลู่เหยียนจากจวนตระกูลลู่คนนี้ดูแล้วก็ไม่เลวนี่นา สุภาพเรียบร้อยดี...""ยังห่างชั้นกับนายท่านอัครมหาเสนาบดีอยู่โข...""ไม่รู้ว่าฮูหยินลู่วันนี้จะมาไหม...""ทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้ นางจะกล้ามาได้อย่างไร?""นางไม่มาอัครมหาเสนาบดีลู่ก็ไม่มา แล้วจะพิจารณาคดีกันอย่างไร?"……ไม่รู้ว่าใครตะโกนคำว่า "ฮูหยินลู่ขึ้นมา" กลุ่มคนจึงเงียบลงทันทีซูชิงลั่วอยู่ในชุดกระโปรงขาวแสงจันทร์ ค่อยๆ เดินเข้ามาหิมะพร่างฟ้าและถนนยาวหินดำด้านหลังกลายเป็นฉากหลังให้กับนางทุกคนหลีกเว้นช่องจนเป็นทางขึ้นมานางสวยเหลือเกิน แล้วยังมีความแตกสลายทว่าแข็งแกร่งอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาคนไม่อยากใช้คำพูดเสียๆ หายๆ ไปพรรณาใส่ตัวนางเลยทีเดียวคำวิพากษ์วิจารย์จู่ๆ ก็พูดกันไม่ออกตอนที่ใกล้จะเดินเข้าไปยังห้องพิจารณาคดี ในกลุ่มคนจู่ๆ ก็มีก้อนดิ
ลู่เหยียนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึม: "เจ้ามัน....""ใช่สิ" หลิ่วเยียนหรานน้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับเย็นชาราวน้ำแข็ง "ข้าถูกเจ้าขายไปเจียงหนานแล้ว ทำไมจึงมาปรากฏตัวที่นี่ เจ้าอยากจะถามเรื่องนี้สินะ?"ลู่เหยียนหลังเย็นวาบหลิ่วเยียนหรานมองลู่เหยียน น้ำตาก็ไหลพรากลงมา "ลู่เหยียน ข้าเต็มใจเป็นบ้านน้อยให้เจ้า ยอมแบกรับคำก่นด่าจากภายนอกที่บอกว่าข้าไปยั่วยวนเจ้า เจ้าเคยบอกว่าจะรับข้าเป็นอนุภรรยา แต่สุดท้ายกลับแต่งงานกับเฉิงซิ่วแล้วขายข้าไปยังซ่องโสเภณี เจ้ารู้สึกผิดกับข้าบ้างไหม?"ลู่เหยียนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว นั่งพับลงไปบนพื้นหลิ่วเยียนหรานตอนนี้กัดฟัน น้ำตาสองสายร่วงลงมา สั่นไปทั้งตัวจากการระงับความเสียใจไม่อยู่ กระทั่งไม่จำเป็นต้องให้อวี๋ซื่อชิงพิจารณาต่อ ทุกคนแค่มองเป็นนางสภาพนี้ก็เชื่อไปแล้วกว่าแปดส่วนมันดูจริงแท้เสียเหลือเกิน กระทั่งมีคนที่ใจอ่อนเริ่มปาดน้ำตาขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่แล้วหลิ่วเยียนหรานคุกเข่าลงกับพื้น บอกที่มาที่หนของเรื่องราวนี้ตอนแรกลู่เหยียนเป็นคนมาเกี้ยวนางก่อน แล้วนางก็ชอบลู่เหยียนจริงๆ จึงไม่ได้ผลักไสลู่เหยียนพูดปาวๆ ว่าไม่ชอบซูชิงลั่ว ซูชิงลั่วทำ
มหรสพเสร็จสิ้น ผู้คนทยอยกันสลายตัวตอนนี้เอง ตรงหน้าจู่ๆ ก็มีคนขี่ม้าเข้ามา ย่ำจนโคลนหิมะบนพื้นกระเซ็น"นั่นมันซ่งเหวินคนใช้ข้างกายอัครมหาเสนาบดีลู่นี่? ม้าตัวนั้นใช่ม้าที่เคยหยิ่งยโสขององค์หญิงอวี้หยางหรือเปล่า?"ซ่งเหวินกลับมาแล้วหรือ? เร็วขนาดนี้เชียว?ซูชิงลั่วลิงโลดขึ้นในใจ และแทบจะขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนรายงานขึ้นมา..."อัครมหาเสนาบดีลู่ได้รับชัยที่เซวียนเฉิงแล้ว ขับไล่พวกเป่ยตี๋ที่รุกเข้ามาเมื่อวันก่อน สังหารศัตรูไปห้าร้อยกว่าคน!"นี่ยังไม่ใช่ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ก็ทำให้คนในเมืองหลวงมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย...ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียวชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนล้วนชื่นชมลู่เหิงจือกันขึ้นมา"ยังต้องเป็นอัครมหาเสนาบดีลู่จริงๆ ความรอบรู้ทำให้บ้านเมืองสงบ เชิงชั้นต่อสู้ทำให้ชาติมั่นคง!""ต้าฉู่ของพวกเราต้องมีอัครมหาเสนาบดีลู่จริงๆ อัครมหาเสนาบดีลู่เป็นผู้ที่หยิ่งทะนงมาตลอด คดีพวกนั้นจะต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน"“……”ซูชิงลั่วมุมปากยกขึ้น อดดีใจแทนลู่เหิงจือไม่ได้จริงๆ มองซ่งเหวินขี่ท่าเสวี่ยหยุดอยู่ที่ประตูกรมราชทัณฑ์เขาลงจากม้า ท่าเสวี่ยตรงมาคลอเค
ซ่งเหวินร้อนรนกระวนกระกระวายคำพูดก่อนหน้านี้ที่ลู่เหิงจืออธิบาย ไม่ว่าจะเป็น "ใต้เท้าเพียงแค่แกล้งทำ" "ในใจใต้เท้ามีเพียงนายหญิงผู้เดียว" "ใต้เท้าบอกว่านายหญิงจะต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือกับเขา" "ใต้เท้าบอกว่ารอเขากลับมารับผิดเองทั้งหมด" พูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่ซูชิงลั่วก็ไม่สนใจ เพียงแค่ออกคำสั่งให้คนเก็บของ หาที่พักหลังใหม่ ดูท่าทางจะจงใจย้ายออกไปจากจวนลู่จริงๆซ่งเหวินพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ดึงโฉนดที่ดินในอ้อมแขนออกมา : "ใต้เท้าบอกว่าหลังหย่าแล้ว ทั้งหมดในจวนลู่ล้วนแต่เป็นของนายหญิง"ซูชิงลั่วหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมลู่เหิงจือคงต้องคิดว่าตัวเองรอบคอบเอาใจใส่เหลือเกินเป็นแน่ แม้แต่ที่พักแห่งนี้ก็คิดได้ว่าต้องยกให้นางเดิมทีนางไม่คิดจะรับไว้ ด้วยทรัพย์สินที่นางมีไม่ว่าเรือนอาศัยแบบใดก็ซื้อได้แต่นางพลันเปลี่ยนใจ รับโฉนดที่ดินในมือซ่งเหวินมาซ่งเหวินเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่ง ก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะเยือกเย็นของซูชิงลั่ว : "ได้สิ ในเมื่อยามนี้จวนแห่งนี้เป็นของข้า เช่นนั้นก็นำของทั้งหมดของใต้เท้าพวกเจ้าโยนออกไป ที่แห่งนี้คับแคบไม่อาจรองรับผู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นเขาได้"ซ่งเหวินหน้าสลด ส
หลังจากเสร็จเรื่องทางนี้แล้ว ซูชิงลั่วก็กลับเข้าไปนั่งเหม่อลอยหน้าเครื่องประดับบนโต๊ะเครื่องแป้งตรงนั้นมีปิ่นปักผมทุกด้ามที่ลู่เหิงจือเพิ่งมอบให้นางเมื่อไม่นานมานี้ รวมไปถึงต่างหูและสร้อยข้อมือมิน่าล่ะ วันนั้นเขาถึงได้ดึงดันจะซื้อเครื่องประดับมากมายขนาดนั้นให้นางให้ได้ คงกลัวว่าหลังจากเขาไปแล้ว นางจะไม่มีเครื่องประดับให้ใช้ ?วันนั้นนางแบกของเหล่านนี้กลับมาด้วยความปลื้มปริ่ม เพื่อจะต้องมารู้สึกเสียใจในวันนี้หรอกหรือนางชูเครื่องประดับขึ้นมาราวกับว่าจะโยนปิ่นปักผมเหล่านั้นออกไปนอกเรือน แต่ชูขึ้นมาได้ไม่นาน ก็วางกลับลงไปกะทันหันทำใจไม่ได้ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว น้ำตาไหลออกมาแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกๆ เพียงแค่แสดงละครตบตาผู้คน แต่นางก็ยังรู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยสักนิดน้ำตาที่อุ่นร้อนไหลอาบข้างแก้มแล้ว นางถึงจะรู้สึกตัว นางไม่เคยเจ็บปวดเช่นนี้มานานแล้วนางไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียใจนานเกินไป เพราะลู่เหิงจือไม่ได้อยู่ข้างกาย นางต้องยืนหยัดอดทนให้ได้นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา พลันลุกพรวดขึ้นมา ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าก็มืดดำ นางเกือบจะล้มลงไปจื๋อหยวนรีบเข
นอกกระโจม ลมเหนือพัดกระโชกดังหวีดหวิวผ่านไปทว่าเสียงของลู่เหิงจือกลับเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าลม : "พูดให้ชัดเจน"ซ่งเหวินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้ด้วยความตะกุกตะกัก เล่าไปถึงตอนสุดท้าย ตัวเขาเองกลับแสดงความรู้สึกน้อยอกน้อยใจออกมาเสียก่อน"ใต้เท้า ข้าเกือบจะเสียภรรยาที่ข้าเพิ่งตบแต่งไปแล้ว"ลู่เหิงจือหลับตาลงพลางนวดหว่างคิ้ว : "เอาล่ะ ครั้งนี้จะไม่ลงโทษเจ้า"ซ่งเหวินถึงจะเบาใจลงมาได้ทันทีที่เขาเบาใจ ก็เริ่มเห็นใจนายของตัวเองอย่างอดไม่ได้ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มที่มีครอบครัวด้วยกันแล้วทั้งคู่ ความเจ็บปวดภายในหัวใจของใต้เท้า เขาล้วนแต่เข้าใจดีเขาเงยหน้าขึ้นไปลู่เหิงจือยืนอยู่หน้าโต๊ะ ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ พลางพูดเสียงเรียบ : "นางเพียงแค่ต้องการเล่นตบตาให้สมจริงก็เท่านั้น อย่าตีโพยตีพายไปเลย"ภายในหัวซ่งเหวินเต็มไปด้วยคำว่า "จริงหรือ" "ข้าไม่เชื่อ" "เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง" "นายหญิงแสดงละครตบตา เหตุใดข้ามองไม่ออกเลยสักนิด"แต่เขาเห็นลู่เหิงจือยังใจเย็นอยู่เช่นนี้ ลึกๆ จึงเกิดความมั่นใจขึ้นมาบ้าง พลันรู้สึกว่านายหญิงก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธมากมายถึงเพียงนั้นอย่างน่าประหลาดล
ข่าวคราวที่ทั้งคู่เลิกรากัน แน่นอนว่ากระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงในช่วงระยะเวลานี้ผู้คนต่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องน่ายินดีของลู่เหิงจือมาจากชายแดนสิ่งที่มาพร้อมกับข่าวดี ยังมีข่าวลือเรื่องที่ลู่เหิงจือปลูกเรือนที่เซวียนเฉิง ว่ากันว่าเป็นเรือนทองซ่อนสาวงามได้ยินมาว่าหลังจากที่ลู่เหิงจือมาถึงเซวียนเฉิงได้ไม่นานก็ช่วยไถ่ตัวสาวนางโลมจากหอโคมเขียวมาผู้หนึ่ง ทั้งยังพานางไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับทั่วทุกร้านในเซวียนเฉิงด้วยตนเอง ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งนักผู้คนจึงกระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที ยามที่เอ่ยถึงซูชิงลั่ว น้ำเสียงต่างก็แฝงไว้ด้วยความสงสารเห็นใจ"ฮูหยินลู่น่าสงสารยิ่งนัก ไปถูกใจผู้อื่นยังพอว่า ไม่เห็นถึงขั้นต้องหย่าเลยนี่""วิธีการของอัครมหาเสนาบดีลู่เป็นเช่นไร เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ ฮูหยินลู่ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว...""เป็นอย่างที่คิด ชายหนุ่มไม่มีผู้ใดดีสักคน""บุรุษก็เป็นเช่นนี้ ยามที่รักใคร่เอ็นดูเจ้าก็ประคบประหงมราวกับเทพธิดา ยามหมดรักแล้วสามารถเหยียบเจ้าจมดินเสียด้วยซ้ำ"“……”โฉวกว่างไม่รู้ว่าซูชิงลั่วท้องอยู่ เขาลั