ท้องฟ้าสีเทาอึมครึมมีหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้งซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายจวนลู่ปราดหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่เมฆดำทมิฬจากไกลๆ ดูเหมือนกำลังจะปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าด้านบนจวนจิตใจที่เป็นกังวลกลับสงบนิ่งลงในเวลานี้ลู่เหิงจือต้องการนาง นางจะตื่นตูมไม่ได้ความหวาดกลัวมาจากความไม่รู้หากแม้แต่นางเองยังกลัว เช่นนั้นผู้อื่นก็ควรจะกลัวยิ่งกว่านางพยักหน้า พูดอย่างใจเย็น : "เข้ามาคุยด้านใน"ฉางชิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเดิมทีคิดว่าถึงอย่างไรนายหญิงก็น่าจะมีท่าทีตื่นตระหนกบ้างหลังจากที่รู้ข่าว คิดไม่ถึงว่านางจะนิ่งถึงเพียงนี้เกือบลืมไปแล้วว่า นายหญิงเคยควบม้าไปช่วยใต้เท้าที่หังโจวเอาไว้หิมะด้านนอกค่อยๆ ตกลงมา สีท้องฟ้าที่ดูวังเวงอ้างว้างให้ความรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาดซูชิงลั่วนั่งลงบนเตียงข้างหน้าต่าง จิบน้ำหนึ่งคำเพื่อทำให้ใจสงบลงก่อน หลังจากนั้นจึงเอ่ยถาม : "เกิดเรื่องอันใดขึ้น"ฉางชิง : "วันนี้จู่ๆ ที่ราชสำนักก็มีผู้ร้องเรียน บอกว่าอดีตองค์รัชทายาทถูกใส่ร้ายจนถึงแก่ความตาย จดหมายของหวังเหลียงฮั่นกับอดีตองค์รัชทายาทไม่ใช่จดหมายที่อดีตองค์รัชทายาทเขียน แต่มีคนปลอมแปลงลายมืออดีตองค์รัชทายา
แม่นมเหมยเกือบจะหลุดขำออกมาซูชิงลั่วตะโกนเรียกนางด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ : "แม่นม""เอาเถอะ" แม่นมเหมยยกมือขึ้นมาแตะไหล่นาง "เข้าไปแล้วนายหญิงอย่าไปโมโหใส่ใต้เท้าล่ะ คุยกับใต้เท้าดีๆ"ซูชิงลั่วส่งเสียงค้อนในลำคอ : "ให้เขาฝันไปเถอะ"*ซูชิงลั่วเฝ้ารออยู่ตลอด กระทั่งตกดึก คนของติ้งอ๋องถึงจะมารับนางที่ประตูด้านข้างแม้ในเมืองหลวงจะมีกฎห้ามออกนอกเคหะสถานยามดึก แต่สำหรับติ้งอ๋องแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องยาก นางเข้าไปถึงคุกกรมราชทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นทางเดินที่อับชื้นทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนักโทษที่ถูกจองจำส่วนใหญ่ต่างก็หลับกันหมดแล้ว มีไม่กี่สายตาที่จะทอดมองมาทางนางเป็นครั้งคราวไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด แม้แต่นักโทษสักคนก็ไม่เห็นแล้ว เหลือแต่ห้องขังที่ว่างเปล่าเลี้ยวที่มุมโค้งอีกสองครั้ง ซูชิงลั่วถึงจะเจอลู่เหิงจือที่อยู่ในห้องขังหินที่อยู่ลึกเข้าไปข้างในสุดเขาสวมชุดสีขาวล้วน ผมปล่อยยาวไว้ด้านหลัง นั่งอยู่กลางคุกที่มืดสลัวและอับชื้นเพียงลำพังทันทีที่ยกโคมไฟส่องเข้าไป ก็สะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่ซูบโทรมและดวงตาที่ใสสว่างแต่เย็นเยียบคู่นั้นของเขาเขาเงยหน้าขึ้นมา จ้อ
ลมเย็นที่ลอดเข้ามาราวกับพัดโชยเข้าไปในร่างนางโดยตรงซูชิงลั่วพยายามกดเสียงรบกวนที่ดังขึ้นภายในใจเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย : "ท่านพูดให้ชัดเจน"ลู่เหิงจือกุมมือนางไว้ : "เข้ามาคุยในอ้อมกอดข้า"ซูชิงลั่วไม่ขยับ ดวงตาที่สดใสคู่นั้น ในเวลานี้กลับดูลุ่มลึกและสงบนิ่ง ราวกับทะเลสาบลึกนางปัดมือเขาออก ปลายนิ้วเย็นเยียบสัมผัสที่ฝ่ามือของเขา ประหนึ่งเกร็ดน้ำแข็งเม็ดเล็ก "พูดแบบนี้แหละ"ลู่เหิงจือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะที่ไม่ยอมพูดเรื่องนี้กับนางเสียที นอกจากเพราะไม่ต้องการให้นางเป็นกังวลแล้ว ยังเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไรดีแต่ยามนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่พูดออกไปอีกคงไม่ได้เขาเงียบไปครู่หนึ่งถึงจะเอ่ยปากพูดออกมาในที่สุด"ชิงลั่ว ข้าเคยเล่าเรื่องท่านพ่อท่านแม่ให้เจ้าฟัง..."เขาเงยหน้า มองดูแสงจันทร์ที่เย็นเยียบด้านนอกผ่านหน้าต่างหินบานเล็กบานนั้น พลางเอ่ย :"ข้าไม่ได้บอกเจ้า ว่าหลังจากพ่อข้าจากไป แม้แต่ศพก็ไม่เคยได้เห็น ถูกคนขององค์รัชทายาทเผาไปหมดแล้ว ทำได้เพียงแค่สร้างแท่นจารึก"ส่วนท่านแม่...นอนป่วยติดเตียง สุดท้ายตอนที่จากไป ร่างกายซูบผอมจนไม่สามารถสวมเสื้อผ้าเดิมที่มีอยู
ค่ำคืนเหล่านั้นหลังจากที่ได้พบกัน เขากระสับกระส่ายคิดวกไปวนมา ภายในหัวล้วนแต่เป็นภาพของนางอยู่ห่างกันยังพอควบคุมตัวเองได้ แต่พอเข้าใกล้คนที่ตนชอบแล้ว ความรู้สึกนั้นราวกับน้ำท่วมทะลักที่ไม่อาจยับยั้งได้ไม่อาจทนเห็นนางแต่งงานกับผู้อื่นได้ชีวิตของเขาขมขื่นเช่นนี้ เขาเพียงแค่ต้องการความหวานอันน้อยนิดให้กับตนเองบ้าง อยากจะโลภบ้างก็เท่านั้นแม้จะรู้ว่าเบื้องหน้ามีอาจมีความเสี่ยงที่ไม่อาจควบคุมได้รออยู่ เขาก็พร้อมที่จะยอมรับและทำเรื่องนี้ให้สำเร็จในเวลานี้ ลู่เหิงจือเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดและแผนการทั้งหมดตรงหน้านางแล้วหลังจากพูดจบ สายตาของเขาก็หลุบมองบนตัวนาง"ชิงลั่ว ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว แน่นอนว่าต้องปกป้องเจ้าให้เจ้าปลอดภัย หากไม่แยกจากกัน เจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยา ไม่เพียงแต่จะไม่ดีกับเจ้า หลายๆ เรื่องก็จะเป็นตัวถ่วงสำหรับข้าด้วย"หลังจากที่พวกเราแยกกันอยู่แล้ว เซี่ยถิงอวี่จะปกป้องเจ้า หากเจ้าเต็มใจ ก็สามารถกลับไปรอข้าที่จินหลิงได้"องครักษ์ลับส่งข่าวมาแล้วว่าชนเผ่าทางเหนือกำลังรุกล้ำราชวงศ์ของเรา อีกไม่กี่วันราชสำนักก็จะได้รับเรื่อง ข้าจะออกไปขับไล่ข้าศึกที่ชายแด
เสียงใสราวเสียงนกขมิ้นก้องกังวานอยู่ในห้องหินเล็กๆ แห่งนี้คิดว่านางจะคัดค้าน แต่ไม่คิดว่านางจะคัดค้านอย่างรุนแรงเช่นนี้ลู่เหิงจือพยายามปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงอดทน "ชิงลั่ว......"แต่กลับถูกนางพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นชา"ไม่มีการหย่าหลอกๆ อะไรทั้งนั้น เมื่อเขียนเป็นหนังสือแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าเราไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว"ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "เป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น ในใจของข้า เจ้าเป็นภรรยาของข้าเสมอ""หากเป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม ทำไมยามนั้นท่านถึงแต่งงานกับข้า?"ลู่เหิงจือนิ่งอึ้งไปซูชิงลั่วเอ่ยเสียงดังฟังชัด "พี่สาม ข้าทนไม่ได้ที่ท่านจะใช้สถานะสามีภรรยาของเราเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ข้าทนไม่ได้ที่คนอื่นจะพูดว่าข้าไม่ใช่ภรรยาของท่าน และข้าทนไม่ได้หากวันหนึ่งท่านเกิดเรื่องขึ้น แล้วเราไม่มีความเกี่ยวข้องกัน""ข้ารอท่าน แต่ข้าจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด""ชื่อของข้า จะต้องอยู่เคียงข้างชื่อของท่านอย่างภาคภูมิใจเสมอ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี และหากจำเป็น ข้าก็จะออกจากเมืองหลวง"นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "แม้ท่านจะตาย ข้าก็ยังคงเป็นฮูหยินของท่าน และจะมาส่งศพท่านด้วยตัวเอง"นาง
หลักฐานที่ว่าลู่เหิงจือใส่ร้ายองค์รัชทายาทนั้นมีอยู่จริง แต่ยังไม่เพียงพอ และมีผู้ต้องสงสัยรายสำคัญอีกคนคือฉีอ๋องแต่เขาก็รู้สึกได้อย่างเฉียบแหลมว่าฮ่องเต้ไม่อยากให้ฉีอ๋องเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ และต้องการให้ลู่เหิงจือล้มเลิกความคิดนี้เขาสงสัยว่าทำไมลู่เหิงจือถึงกล้าเสี่ยงเพียงนี้เพื่อใส่ร้ายองค์รัชทายาท? เขาก็ไม่ใช่คนของฉีอ๋อง และดูเหมือนว่ายามนี้ฉีอ๋องก็ไม่ได้อยากปกป้องเขาแล้วแรงจูงใจที่ทำให้เขาทำเช่นนี้คืออะไร?ในเมื่อคิดไม่ออก เขาจึงตัดสินใจไปถามลู่เหิงจือที่คุกด้วยตัวเองเมื่อถือโคมไฟของกรมราชทัณฑ์เข้ามา ด้านนอกก็ดูมืดมิดเดินต่อไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคาดหวังผลลัพธ์อะไรจากการไปถามลู่เหิงจือครั้งนี้ เพื่อจะหาหลักฐานมาตัดสินความผิดเขา หรือเพื่อจะช่วยเขาให้พ้นผิดกันแน่เมื่อมาถึงหน้าคุก ผู้คุมกำลังงีบหลับ เมื่อได้ยินเสียงก็รีบตื่นขึ้นมาทันที“ใต้เท้าอวี๋? ท่านมาที่นี่ยามนี้ได้อย่างไร”อวี๋ซื่อชิงเป็นรองเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิ ให้รับผิดชอบคดีของลู่เหิงจือแน่นอนว่าอวี๋ซื่อชิงตอบว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะถามใต้เท้าลู่”ผู้คุมตกใจจึง
ในตรอกมืดนั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าของคนทั้งสองเท่านั้นโคมไฟนั่นส่องสว่างไปข้างหน้าซูชิงลั่วไม่รู้ว่าเหตุใดอวี๋ซื่อชิงจึงตามออกมาด้วย นางรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งเดินออกจากคุกใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ จึงได้ยินอวี๋ซื่อชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อีกไม่กี่วัน สามสำนักจะมาสอบสวนใต้เท้าลู่ได้ตลอดเวลา ท่านอย่ามาในยามวิกาลอีก ครั้งนี้ข้าจะทำเป็นไม่เห็น”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก “ขอบคุณใต้เท้าอวี๋มาก”หากเป็นผู้อื่น นางอาจจะถามถึงเรื่องคดี แต่สำหรับอวี๋ซื่อชิง......ช่างเถอะ"เพราะนางค้นพบแล้วว่า หากไม่จำเป็น อวี๋ซื่อชิงก็ไม่อยากเรียกนางว่าฮูหยินรถม้าจอดอยู่ข้างหน้า ซูชิงลั่วหันหลังเตรียมขึ้นรถม้า ทว่าพลันนั้น อวี๋ซื่อชิงก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ร่างกายของนางสั่นสะท้านทันที จึงหลบไปข้างๆ ด้วยสัญชาตญาณอวี๋ซื่อชิงเหลือบมองนาง แล้วส่งโคมไฟในมือให้นางซูชิงลั่วโล่งอก และเพิ่งรู้สึกตัวภายหลังว่า ตนดูจะตื่นตระหนกเกินไปที่นี่คือคุกใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ อวี๋ซื่อชิงคงไม่ทำอะไรจริงดังที่คาด อวี๋ซื่อชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านคิดว่าข้าจะทำอะไรหรือ”“ไม่ใช่” ซูชิงลั่วรู้
โฉวกว่างกวางพบหญิงผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว และนำตัวไปยังเรือนหลังบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วสั่งให้คนคอยเฝ้าตลอดเวลาผู้ที่กล่าวหาลู่เหิงจือกำลังถูกขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลงมือประหารชีวิตอาของตน การฆ่าคนใช้โดยพลการ การไม่เคารพต่อองค์หญิง และการส่งคนไปสังหารหนิงไห่ลู่ บุตรชายของหนิงกั๋วกง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นติดต่อกันจวนตระกูลลู่เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีโชคดีที่ซูชิงลั่วควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดการกับผู้ที่ปล่อยข่าวลืออย่างเด็ดขาด ทำให้สถานการณ์กลับมาสงบลงได้ในไม่ช้าการที่อัครมหาเสนาบดีถูกจับกุมถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ข่าวลือเกี่ยวกับลู่เหิงจือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองไม่หยุดในขณะที่ทุกคนคิดว่าลู่เหิงจือต้องตายอย่างแน่นอน ก็เกิดเหตุการณ์กะทันหันขึ้นมา เมื่อมีข่าวสงครามส่งมา - กองทัพของราชวงศ์กำลังพ่ายแพ้ และกองทัพเป่ยตี๋ได้บุกเข้ามาถึงเมืองเหลียวแล้วด้วยความเร็วเช่นนี้ คาดว่าจะต้องมาถึงเซวียนเฉิงในไม่ช้าแต่หากเซวียนเฉิงถูกยึดครอง กองทัพเป่ยตี๋ก็จะบุกเข้ามาถึงเมืองหลวงได้โดยง่ายไม่มีใครคาดคิดว่า หลังจากเวินจีเสียชีว