ซูชิงลั่วอยู่เป็นเพื่อนลู่เหิงจือบนเขาตลอดทั้งเช้าอารมณ์ความหดหู่ของเขาสุดท้ายก็มลายหายไปเกือบหมด ทั้งยังมีกะจิตกะใจมาพูดจาหยอกล้อนางหลายประโยคหลังจากเวลาล่วงเลยไปได้สักพัก ทั้งสองก็จูงมือกันลงมาล่างเขาท่าเสวี่ยรออยู่แต่แรกแล้ว มันเดินเข้ามาข้างกายซูชิงลั่วด้วยความเชื่อง แล้วคลอเคลียแขนเสื้อของนาง หลังจากนั้นก็รีบเดินไปข้างรถม้า ราวกับว่าจะผูกบังเหียนรถเข้ากับตนเองเสียเดี๋ยวนั้นซูชิงลั่วลูบแผงคอของมัน พลางชมมันว่าเชื่อฟังรู้ความ อีกทั้งยังพูดพึมพำต่อ : "ดูเหมือนท่าเสวี่ยจะไม่ได้กินข้าวโพดปิ้งมานานมากแล้ว""ฮี่" ท่าเสวี่ยส่งเสียงร้องแสดงออกว่าเห็นด้วยลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "ที่จวนปิ้งไม่ได้หรือ"ซูชิงลั่วพูดอย่างจนปัญญา : "ท่านไม่รู้เสียแล้ว เจ้ามาตัวนี้ช่างเลือกนัก ในจวนไม่สามารถก่อกองไฟได้ ข้าวโพดที่ปิ้งออกมาความร้อนไม่ถึง มันไม่กินแม้แต่คำเดียว"ท่าเสวี่ยพ่นลมออกทางจมูกยาวๆ สองที ดูเหมือนจะไม่ชอบข้าวโพดปิ้งในจวนเสียเหลือเกินซูชิงลั่วอดขำไม่ได้ลู่เหิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย : "อีกสองวัน พวกเราไปเปลี่ยนบรรยากาศที่บ่อน้ำพุร้อนในบ้านพักนอกเมืองกัน เรียกติ้งอ๋อง
เลือกอยู่ครึ่งค่อนวัน ซูชิงลั่วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ระหว่างปิ่นสองด้ามลู่เหิงจือหยิบมาเพิ่มอีกด้าม : "ข้าว่าอันนี้ก็ไม่เลว ยังมีด้ามนั้น...เอาไปให้หมดเลยเถอะ"ซูชิงลั่วมองเขา : "จะซื้อมากมายเช่นนี้ไปใย"ลู่เหิงจือหลุบตาลง : "เจ้าชอบใช้ที่ข้ามอบให้ไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องเอาไปสักสิบกว่าด้ามถึงจะมีให้พอเปลี่ยน"ซูชิงลั่วก้มลงมองดูปิ่นในมือของตน พูดเสียงเบา : "ก็ไม่จำเป็นต้องมากเช่นนั้น...""จำเป็น" ลู่เหิงจือเสียงต่ำ "ข้าอยากเห็น ใส่ให้ข้าดู ดีหรือไม่""เจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วขานรับด้วยความเขินอายลู่เหิงจือมองนางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโบกมือเรียกเถ้าแก่เนี้ยให้นำต่างหูและกำไลข้อมือออกมา แล้วเลือกอย่างละหกคู่ จากนั้นถึงจะกลับไประหว่างนั่งรถม้ากลับไป ซูชิงลั่วมองดูกล่องเครื่องประดับทำจากไม้ที่วางกองคล้ายภูเขาลูกเล็กๆ อยู่ด้านข้าง มุมปากที่ยกขึ้นยังไม่ตกลงมาเลยหลังจากกลับไปถึงบ้าน ลู่เหิงจือได้รับแจ้งว่าฝ่าบาททรงประชวรอย่างหนัก จึงรีบเข้าวังทันทีส่วนซูชิงลั่วก็เรียกจื๋อหยวนมา นำของที่ลู่เหิงจือมอบให้แต่ละชิ้นไปเก็บไว้อย่างดี วาดภาพตัวอย่างอยู่ทั้งคืน เพื่อจดลงไปในสมุดบันทึกฝีมือการวาดข
หลังจากกินอาหารจิบน้ำชาเสร็จแล้วนั่งคุยกันต่อสักพัก สามีภรรยาสองคู่ก็แยกกันไปหาสระที่เหมาะแก่การแช่น้ำร้อนก่อนไป เมิ่งชิงไต้ยังขอลายเย็บปักลายใหม่ๆ จากซูชิงลั่วมาอีกสองสามใบแสงอาทิตย์ในยามเที่ยงแรงกำลังดีหลังจากแช่น้ำร้อน ลู่เหิงจือและซูชิงลั่วก็เตรียมพร้อมจะเข้าไปพักผ่อนในกระโจมข้างๆ ที่ประกอบเสร็จแล้วก่อกองไฟไว้ด้านนอก ทำให้ไม่รู้สึกหนาวมากนักก่อนเข้ามา ลู่เหิงจือชี้ไปยังท่าเสวี่ยและเอ่ยเสียงเรียบ : "หากเจ้ากล้ากวนพวกข้า ต่อไปจะไม่ได้กินข้าวโพดปิ้งอีก"ท่าเสวี่ย : น้อยอกน้อยใจซูชิงลั่วเกือบจะหลุดหัวเราะลั่นออกมา ดูเหมือนเรื่องครั้งก่อนที่ถูกท่าเสวี่ยขัดจังหวะจะยังคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่กระโจมหลังนี้แม้จะประกอบขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่กลับปูด้วยพรมขนจิ้งจอกขาว อบอุ่นยิ่งนักซูชิงลั่วแช่น้ำจนเหนื่อย เอนตัวลงไปด้านบนพลางลูบไล้ขนจิ้งจอก : "นอนสบายเสียจริง"ลู่เหิงจือกวาดสายตามองตามท่าทางของนาง : "หากคุกเข่าก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน"ซูชิงลั่ว "...?"ที่จริงแล้วตอนอยู่ที่นี่ ในใจซูชิงลั่วรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยไม่รู้เพราะเหตุใดลู่เหิงจือถึงได้ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ...นางเ
หลังจากลู่เหรินผู้เป็นพ่อจากไป เฮ่อเสวี่ยหลานผู้เป็นแม่มีรูปโฉมงดงาม จึงเป็นที่ถูกตาต้องใจของลู่ซิวอาของเขา ทุกครั้งที่ลู่เหิงจือไม่อยู่บ้าน เขาจะเข้ามาเกาะแกะลวนลามแน่นอนว่าเฮ่อเสวี่ยหลานไม่ยินยอม ลู่ซิวจึงคิดหาหนทางครอบครองที่นาร้อยหมู่ของบ้านพวกเขา หนำซ้ำบ่าวชั่วยังหอบเงินหนีไปเพราะการยั่วยุของลู่ซิว อีกทั้งยังขายลู่ซือไหวที่ตอนนั้นยังเด็กน้อยอยู่ที่บ้านขาดรายรับอย่างกะทันหัน เหล่าคนใช้พากันแยกย้ายไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงแค่ซ่งเหวินและเจียงหมัวมัวที่รับใช้เขามาแต่เด็กเฮ่อเสวี่ยหลานได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจติดๆ กันหลายหน ร่างกายก็ทรุดลงไปแม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากที่รู้ว่าลู่เหิงจือไม่มีเงินไปเรียน นางก็ยังคงฮึดสู้ขึ้นมา นึกถึงจวนหย่งซุ่นป๋อที่เป็นญาติห่างๆ ตระกูลนี้ จึงไปขอร้องจนลู่เหิงจือได้โอกาสเข้าศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งหลังจากกลับไป แม่ก็ล้มป่วยรักษาไม่หาย ไม่นานนักก็ลาจากโลกไปน้ำเสียงของลู่เหิงจือหนักแน่น : "ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ผู้อื่นกระทำผิดต่อข้า ข้าจะต้องเอาคืนเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฉะนั้น ข้าจะยอมปล่อยลู่ซิวไปได้อย่างไร..."หลังจากที่เขาได
สามีภรรยาสองคู่ไม่สนใจเรื่องโลกภายนอก พักที่บ้านพักบ่อน้ำพุร้อนอยู่ห้าวันเต็มๆ ถึงจะกลับไปยังเมืองหลวงหิมะครั้งนี้ก็ตกๆ หยุดๆ ตลอดทั้งห้าวันบรรยากาศเงียบสงบเป็นพิเศษล้อรถวิ่งผ่านกองหิมะหนาสีขาวโพลนซูชิงลั่วนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกอดโถน้ำร้อนเอาไว้ ภายในใจเกิดความรู้สึกหวั่นๆ อยู่ลางๆกล้บถึงบ้านกลางดึก ซูชิงลั่วเหน็ดเหนื่อยจนผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของลู่เหิงจืออย่างรวดเร็วตื่นมาวันรุ่งขึ้น เขาออกไปราชสำนักแล้วซูชิงลั่วเพิ่งจะล้างหน้าหวีผมเสร็จ นายหญิงเฒ่าก็สั่งให้คนมาเรียกนางไปกินข้าวเช้าด้วยกันเป็นการเฉพาะหลังจากที่นางออกเรือน หญิงชราก็ยังไม่เคยสั่งให้คนมาเรียกนางเลย เห็นทีคงจะกังวลเรื่องของลู่เหิงจืออยู่เช่นกันไม่ได้เจอท่านยายหลายวัน นางคิดถึงเหลือเกินซูชิงลั่วรีบไปหา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หญิงชราก็ถามเรื่องคดีฟ้องร้องลู่เหิงจืออย่างที่นางคิดไว้จริงๆซูชิงลั่วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "ท่านพี่บอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ใด"หญิงชราพยักหน้า : "เช่นนั้นก็ดี"หลังจากคาราวะหญิงชราเสร็จแล้วก็ออกมาพร้อมกับนางเฉียน ซูชิงลั่วเอ่ยถาม : "ท่านแม่ เหตุใดไม่เห็นน้าสะใภ้รองมาคาราวะท่านยา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไรกันแน่ตอนที่ผ่านหน้านางไปตั้งแต่ไกลๆแม้จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่เดินผ่านนางไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นซูชิงลั่วคิดเตลิดไปไกล ในใจนึกถึงแต่ลู่เหิงจือ ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าอวี๋ซื่อชิงกำลังมองนางอยู่ แล้วก็ไม่รู้สึกตัวด้วยว่าอวี๋ซื่อชิงเข้ามาใกล้นาง และจากนางไปแสนไกลแล้วกระทั่งหน้าผากถูกเขกเบาๆ หนึ่งทีเสียงของลู่เหิงจือฟังดูใสกังวานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงดังวุ่นวายของหมู่ฝูงชน : "ดูจบหรือยัง"ซูชิงลั่วคล้องแขนเขา ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ : "ท่านมาได้เช่นไร"ลู่เหิงจือมองนางหน้าตายซูชิงลั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม : "เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าขบวนยินดีของท่านในปีนั้นก็เป็นเช่นนี้หรือไม่ มีหญิงสาวโยนดอกไม้ให้ท่านเยอะเหมือนกันใช่หรือไหม"ลู่เหิงจือไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่เคยโอ้อวดแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ วันนี้เขาเกิดอยากจะรู้สึกเอาชนะใครบางคนขึ้นมา จึงเอ่ย : "แน่นอน เยอะกว่าที่โยนให้เขานัก"เขาดึงซูชิงลั่วเข้ามาในอ้อมกอด ใช้ปลายนิ้วจิ้มไปบนหน้าผากนางเบาๆ อีกครั้ง "ฉะนั้นเจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักพอ""ข้าไม่รู้จักพอ
ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีเทาอึมครึม คล้ายว่าหิมะกำลังจะตกอีกครั้งประโยคที่ว่า "ชิงลั่ว ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับข้า" ราวกับฟ้าฝ่าข้างหูในช่วงฤดูหนาว เสียงดังกึกก้องติดกันไม่หยุด ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงจะกลับมาสู่ความเงียบวังเวงเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ซูชิงลั่วสติหลุดลอยไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่สมองคิดขึ้นมาได้คือไปหาลู่เหิงจือนางเรียกจื๋อหยวนมาถาม : "กี่ยามแล้ว ใต้เท้าออกไปนานหรือยัง""ยังไม่เช้ามืด ใต้เท้าออกไปได้เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว"จื๋อหยวนคลุมเสื้อคลุม ยกโคมไฟแก้วในมือขึ้นมามองนาง ก่อนจะรีบถาม "เหตุใดนายหญิงถึงได้เหงื่อออกเยอะเช่นนี้ ฝันร้ายหรือเจ้าคะ"ซูชิงลั่วพยักหน้า ในใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขจื๋อหยวนรีบรินน้ำร้อนแล้วนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนหน้าผากและลำคอของนางหลังจากเช็ดเสร็จก็กลับไปนอนต่อ ทว่าไม่ว่าอย่างไรซูชิงลั่วก็นอนไม่หลับนางคือภรรยาที่ลู่เหิงจือตบแต่งอย่างถูกต้องตามทำนองครองธรรม เหตุใดอวี๋ซื่อชิงถึงได้กล้าพูดกับนางเช่นนั้นนอกเสียจาก...ลู่เหิงจือพบเจอกับอันตรายบางอย่างยิ่งไปกว่านั้น ครั้งที่แล้วตอนที่นางฝันถึงอวี๋ซื่อชิง เขายังเรียกนางว่า "ฮูหยิน" อย
ผู้ดูแลร้านดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง ราวกับได้พบเห็นเรื่องราวที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเพียงแต่ความประหลาดใจของหลี่ว์เผิงเทียนก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความรังเกียจรังงอน : "จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่"ซูชิงลั่วมองเขาปราดหนึ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "พี่ใหญ่"แต่ทำเช่นไรดี นางเรียกเขาว่าพี่ใหญ่แล้ว !หลี่ว์เผิงเทียนโบกมือกับผู้ดูแลร้าน : "ยังยืนนิ่งอยู่ได้ เหตุใดไม่รีบไปยกชามา"ผู้ดูแลร้านรีบขานรับเขายังไม่เคยเห็นหลี่ว์เผิงเทียนปฏิบัติกับใครด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้มาก่อน กำลังคิดว่าควรจะยกชาที่ดีที่สุดออกมาตอนรับดีหรือไม่ ก็ได้ยินหลี่ว์เผิงเทียนพูดขึ้นมา : "น้องซูเป็นคนกันเอง เอาชาที่ราคาถูกที่สุดมาก็พอ"ผู้ดูแลร้านอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากงกได้โล่เสียจริงทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านใน ซูชิงลั่วเอ่ยถามเขาเสียงเบา : "พี่ใหญ่ ตรงนี้คุยสะดวกหรือไม่"หลี่ว์เผิงเทียนครุ่นคิดก่อนจะตอบ : "เจ้ามากับข้า"เขาพาซูชิงลั่วเดินเข้าไปด้านใน แล้วขึ้นไปชั้นสอง ไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดห้องหนึ่ง อีกทั้งยังเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอกก่อนถึงจะพูดกับนาง : "ว่ามาเถอะ"ซูชิงลั่ว