Share

บทที่ 306

Author: หอมดังเดิม
last update Last Updated: 2024-10-30 18:00:01
ม้าเหงื่อโลหิตกินข้าวโพดที่พวกเขานำมาหมดแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นและเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง

ซูชิงลั่วอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า "ช่างใจร้ายใจดำเหลือเกิน"

ลู่เหิงจือเหลือบมองนางเบาๆ แล้วพูดว่า "เจ้าก็ไม่ต่างกัน"

ซูชิงลั่วรีบยกเนื้อย่างในมือขึ้นมาและยื่นไปที่ข้างปากของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า "ท่านสามี ลองชิมอันนี้สิ อร่อยมาก"

ลู่เหิงจือไม่อยากจะเถียงกับนางจึงก้มลงกัดเนื้อย่างช้าๆ ซึ่งก็อร่อยจริงๆ

หลังจากพูดคุยกันสักพัก

ทั้งสองก็เดินกลับอย่างช้าๆ เมื่อเดินผ่านเรือนพักชั่วคราวแห่งหนึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงขันทีคนหนึ่งถามด้วยความวิตกกังวลว่า "ม้าเหงื่อโลหิตขององค์หญิงยังไม่กลับมาหรือ? พรุ่งนี้จะต้องลงแข่งแล้วด้วย"

ขันทีอีกคนพูดว่า "กลืนความกังวลลงไปซะ ม้าตัวนั้นฉลาดมาก องค์หญิงไม่เคยผูกมัน มันจะกลับมาเอง"

ซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความปลงแล้วพูดกับลู่เหิงจือว่า "ม้าตัวนั้นฉลาดมาก เสียดายที่เจอนายไม่ดี"

ลู่เหิงจือพูดอย่างใจเย็นว่า "ฉลาดจริง มิเช่นนั้นคงหลอกเจ้าให้เอาข้าวโพดย่างให้มันกินทั้งหมดไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ยามที่เจ้าแข่ง มันอาจยอมให้เจ้าชนะเพราะข้าวโพดย่างก็ได้นะ"

“……”

ประชดนางอีกแล้ว

แค่กินข้า
Locked Chapter
Continue to read this book on the APP

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 307

    ลู่เหิงจือพลันนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับนาง ชุดของนางก็เป็นชุดสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ เพียงแต่ยามนั้นนางไม่ได้เกล้าผมเมื่อรู้สึกตัวว่าเขามองมา ซูชิงลั่วจึงหันกลับมาลู่เหิงจือยื่นมือออกไป โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนนานพอสมควรจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ฮูหยิน ข้าจะคว้าอันดับหนึ่งพร้อมกับเจ้า”ซูชิงลั่วรู้สึกประหม่าในยามนี้ จึงโอบแขนเขาถามว่า “หากไม่ได้อันดับหนึ่งล่ะ?”ลู่เหิงจือตอบอย่างใจเย็นว่า “อันดับสุดท้ายก็คืออันดับหนึ่ง”ซูชิงลั่ว "......"สองสามีภรรยาเดินไปยังสนามแข่งด้วยกัน ร่างทั้งสองในชุดสีขาวและสีเหลืองดึงดูดสายตาของทุกคนในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเคยได้ยินมาว่าอัครมหาเสนาบดีลู่คลั่งรักฮูหยินของตนเพียงใด ทั้งเรื่องพลุเอย ข่าวลือต่างๆ เอยที่เล็ดลอดออกมาจากเจียงหนาน ทำให้พวกนางอยากรู้จักซูชิงลั่วเป็นอย่างยิ่งพวกนางจึงอดกระซิบไม่ได้“ผอมขนาดนี้ ดูอ่อนแอเหลือเกิน”“ผู้ชายชอบเอวบางกันทั้งนั้น แม้แต่ใต้เท้าลู่ก็เช่นกัน”"ดวงตาคู่นั้น เอวคอดๆ นั่น ช่างราวกับจิ้งจอกสาวเสียจริงๆ......"เสียงซุบซิบเหล่านั้นเข้ามาในหูของซูชิงลั่ว กลายเป็นเสียงซ่าๆ ฟังไม่ชัดเจนว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรแต

    Last Updated : 2024-10-31
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 308

    การล่าสัตว์ฤดูหนาว ขุนนางชั้นสูงทั้งหลายต่างนำม้าเลี้ยงของตนมาด้วย เพราะถือว่าสะดวกที่สุดแต่ซูชิงลั่วกลับไม่มีม้าเลี้ยง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใครตั้งใจหรือไม่ ม้าที่มอบให้นางเป็นม้าที่ทั้งเตี้ยที่สุดและผอมที่สุดในบรรดาคนอื่นๆซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความรู้สึกไร้ทางออก ลูบขนม้าตัวน้อยด้วยความรัก และเริ่มทำความรู้จักกับมันขณะนั้น เมิ่งชิงไต้เดินนำม้าขาวของตนมาหานาง "น้องซู จะให้ข้าแลกกับเจ้าหรือไม่"นางสวมชุดสีม่วงงดงามสง่า มีท่าทางของสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ซูชิงลั่วรีบโบกมือปฏิเสธ "พี่เมิ่ง ขี่ม้าของตนเองจะสะดวกกว่า"องค์หญิงอวี้หยางเห็นทั้งสองพูดคุยกัน สายตามองมาที่นางราวกับลูกศรน้ำแข็งซูชิงลั่วไม่หลบไม่หนี มองกลับไปตรงๆองค์หญิงอวี้หยางยิ้มเยาะ แล้วมองข้ามไปยังเมิ่งชิงไต้ "พระชายาติ้งว่างมากเลยสินะ เป็นเพราะในจวนมีสนมมากเกินไป เจ้าจึงไม่ได้รับความรักจากติ้งอ๋องใช่หรือไม่"ซูชิงลั่วรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยชื่อเสียงของเซี่ยถิงอวี่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่าเป็นชายมากรัก และเมื่อวานนี้เองนางได้ยินข่าวลือว่า ติ้งอ๋องยังไม่เคยแตะต้องพระชายาติ้งเลยตั้งแต่แต่งงานซึ่งขัดแย้งกับที่เมิ่งชิงไ

    Last Updated : 2024-10-31
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 309

    ใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว เกรงว่าองค์หญิงอวี้หยางคงไม่ได้อันดับหนึ่งแล้วองค์หญิงอวี้หยางหันมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะดึงปิ่นปักผมจากศีรษะ แล้วทิ่มแทงลงไปที่บั้นท้ายของม้าเหงื่อโลหิตเลือดสีแดงสดไหลพุ่งออกมาทันที คล้ายงูเล็กเลื้อยไปตามขนสีขาว ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่งม้าเหงื่อโลหิตส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วซูชิงลั่วใจหายวาบไม่รู้ว่าม้าตัวแสบจะเจ็บหรือไม่นางเงยหน้ามองไป ก็ตกตะลึงทันที“แย่แล้ว!”เมิ่งชิงไต้ลงจากหลังม้าหลังจากถึงเส้นชัยเป็นคนแรก ทว่าม้าเหงื่อโลหิตกลับเริ่มคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธแค้นอยู่กับที่ ไม่ยอมขยับตัวไปข้างหน้า จนเกือบจะทำให้องค์หญิงอวี้หยางตกลงมาจากหลังม้าซูชิงลั่วจึงรีบขี่ม้าแดงไปช่วยองค์หญิงอวี้หยางเสียหน้าจึงตะโกนว่า “จะเก็บเจ้าไว้ทำไม!”แล้วทิ่มแทงปิ่นปักผมลงไปที่บั้นท้ายของม้าอีกครั้งม้าเหงื่อโลหิตคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงร้องลากยาว และเหวี่ยงองค์หญิงอวี้หยางลงจากหลังม้าจากนั้นก็ยกขาหน้าขึ้น แล้วพุ่งเข้าใส่เมิ่งชิงไต้อย่างบ้าคลั่งซูชิงลั่วขี่ม้าแดง มองไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปบังคับบังเหียนพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่

    Last Updated : 2024-10-31
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 310

    ข้างหูคือเสียงลมพัดโหมกระหน่ำในสนามล่าสัตว์ลู่เหิงจือหันมองซูชิงลั่วด้วยความเป็นห่วง อยากจะดึงนางกลับไปซ่อนอยู่ด้านหลังอีกครั้งแต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นนางยืนเคียงข้างเขา ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพียงแค่ค่อยๆ บีบมือของนางแน่นขึ้นซูชิงลั่วมองไปที่ดาบในมือขององค์หญิงอวี้หยาง แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “อย่างไร? หรือว่าองค์หญิงจะลงมือฆ่าคนต่อหน้าพระพักตร์รึ?”สีหน้าขององค์หญิงอวี้หยางเปลี่ยนไปทันทีฮ่องเต้ตรัสขึ้นในยามนั้นว่า “เหลวไหลสิ้นดี! อวี้หยาง เจ้ายังจะทำตัวไร้มารยาทอีกหรือ ยังรีบถอยไปอีก!”ทหารองครักษ์รีบเข้าไปแย่งดาบในมือขององค์หญิงอวี้หยางองค์หญิงอวี้หยางเหลือบมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเสียใจ แล้วถอยไปอยู่ข้างๆอีกฝั่งหนึ่ง เซี่ยถิงอวี่ผลักเมิ่งชิงไต้ออกอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนสุขุมรอบคอบ แต่กลับทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”สีหน้าของเมิ่งชิงไต้ซีดเผือดลงเล็กน้อย ก้มศีรษะลงและเอ่ยด้วยความนอบน้อมว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว”นี่เรียกว่าดีต่อนางอย่างนั้นหรือ?ไฟในใจของซูชิงลั่วลุกโชนขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้ตรัสว่า “ไม่มีอะไรแล้วใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ทร

    Last Updated : 2024-10-31
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 311

    พริบตาเดียว สายตาของผู้คนที่จับจ้องไปยังซูชิงลั่วก็แฝงไว้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ลู่เหิงจือกลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาหันไปมองทางฮ่องเต้ที่ยังคงแย้มพระสรวล ทว่ามุมปากกลับแอบเผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่ยากจะสังเกตเห็นได้เพียงประโยคเดียวของฮ่องเต้กลับส่งผลกระทบราวกับคลื่นพันชั้นที่กระเพื่อม ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด เพียงแค่บอกว่าซูชิงลั่วมีความสามารถ เมื่อการแข่งขันถัดไปจบลง จะพระราชทานรางวัลให้พร้อมกันเลยหลังจากจบเรื่องนี้กลับไปนั่งประจำที่ ภายในใจที่ตื่นเกร็งมาตลอดของซูชิงลั่วก็ผ่อนคลายลงไปได้บ้างดีที่ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นหลังจากได้สติกลับมาถึงจะพบว่าตนยังคงจับมือของลู่เหิงจืออยู่ ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน นางจึงรีบปล่อยมือลู่เหิงจือกลับไม่ได้คิดจะปกปิด คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้นางด้วยตัวเอง พลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา : "ต่อไปห้ามทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก"คราวนี้ซูชิงลั่วเชื่อฟังแล้ว วางมือไว้บนขาท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังนั่งด้วยความเรียบร้อย : "เจ้าค่ะ"ภรรยาของเขารู้จักทำตัวว่าง่ายมาตลอดลู่เหิงจือทั้งโกรธแต่ก็รู้ส

    Last Updated : 2024-11-01
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 312

    หิมะโปรยปรายลงมาเงียบๆ เพียงแค่ตกหนักขึ้นกว่าเดิมซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก จู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะเดิมทีก็ใช่ว่าจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ นางเพียงแค่คิดว่าถ้าหากได้อันดับหนึ่งขึ้นมาจริงๆ จะได้ถือโอกาสช่วยชีวิตม้าตัวนั้นให้รอดได้ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงอวี้หยางจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ถึงอย่างไรก็เป็นม้าที่นางเลี้ยงมาหลายปีซูชิงลั่วรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงเอ่ย : "กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮา ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเป็นไข้หวัด เพิ่งจะหายไข้ไม่นาน ร่างกายยังอ่อนแอนัก ไม่ทราบว่าจะขอให้หม่อมฉันพักสักหน่อย เข้าประลองเป็นผู้สุดท้ายได้หรือไม่"หิมะตกลงมาปลกคลุมศีรษะของนางเป็นชั้นสีขาวบางๆแต่เดิมรูปร่างของนางก็อ่อนแอบอบบางกว่าผู้อื่น ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ร่างทั้งร่างราวกับกำลังจะถูกหิมะทับจนจะโค้งเป็นกิ่งไม้อยู่แล้ว น้ำเสียงก็แผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงกติกาการแข่งขันคือให้ยิงธนูสิบลูกติดกันแบบไม่พัก ผู้ที่ยิงเข้ากลางเป้ามากที่สุดจะเป็นผู้ชนะองค์หญิงอวี้หยางพูดด้วยความดูถูก : "ก็แค่ยิงธนู จะเหนื่อยสักเพียงใด เข้าประลองเป็นผู้สุดท้าย ฮูหยินลู่คิดจะเอาเปรียบกันง่ายๆ เช่นนี้หรือ"เห็นได้ชัดว่าไม่อยา

    Last Updated : 2024-11-01
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 313

    มีเพียงแค่บุตรสาวจากตระกูลนายพลสองคนที่ยิงเข้าเป้าทั้งสามลูก และหนึ่งในนั้นเข้ากลางเป้าพอดีแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าเป้าเลยสักลูกผ่านไปสักพัก ต่อไปก็จะถึงตาซูชิงลั่วสงสนามแล้วลู่เหิงจือกุมมือนางไว้พลางพูดเสียงเบา : "ไม่ต้องกลัว เจ้าสามารถลองยิงก่อนได้หนึ่งลูก"ดวงตาของซูชิงลั่วฉายประกายสว่างทันทีจริงด้วย !แม้ฝีมือการยิงธนูของนางแม้แต่ผีสางเทวดายังยากจะคาดเดา แต่มักจะไม่เข้าเป้าในลูกแรก แล้วลูกถัดไปก็เข้าเป้าตลอดถ้าหากสามารถลองยิงได้หนึ่งครั้ง...นางรีบส่งสายตาบอกกับลู่เหิงจือว่า "ท่านคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวจริง"ลู่เหิงจือเข้าใจความหมายของนาง จึงตอบ : "ชมเกินไป"ขณะนั้นเองข้าหลวงก็ตะโกนออกมา : "ลำดับที่สิบหก ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่ลงสนาม"ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดลงในพริบตาซูชิงลั่วถูมือเบาๆ ไม่ค่อยเต็มใจจะถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนตัวเท่าใดนัก ลู่เหิงจือรับเสื้อไปพาดไว้บนแขนหลังจากที่นางถอดเสื้อคลุม ทุกคนก็กลั้นสีหน้าความตกตะลึงไว้ไม่อยู่"ผอมแห้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ"เมื่อครู่นางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวโคร่งก็ดูผอมมากแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากที่ถอดเสื้อคลุมออกจะดูผ

    Last Updated : 2024-11-01
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 314

    ทั้งสนามเงียบสงัดในพริบตาซูชิงลั่วยังคงกลั้นหายใจพร้อมเพ่งสมาธิอยู่ ไม่ได้ผ่อนคลายแม้จะรักษาหน้าไว้ได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังรักษาชีวิตม้าเหงื่อโลหิตตัวนั้นไว้ไม่ได้หากไม่ผิดความคาดหมาย ลูกต่อไปคงพลาดเป้า แต่ลูกที่สามจะเข้ากลางเป้าพอดีเช่นนี้นางก็จะเหมือนกับองค์หญิงอวี้หยาง ล้วนแต่เข้าใจกลางเป้าสองลูกเหมือนกันถ้าหากศรที่เข้าใจกลางเป้าเท่ากัน เช่นนั้นก็ต้องนับจากจำนวนศรที่เข้าเป้าองค์หญิงอวี้หยางเข้าเป้าทั้งสามลูกซึ่งก็หมายความว่า แม้นางจะไม่สามารถยิงเข้าใจกลางเป้าได้ แต่ต้องยิงศรให้เข้าเป้าให้ได้ ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาชีวิตม้าเหงื่อโลหิตไว้ได้นึกถึงภาพที่ม้าเหงื่อโลหิตคุกเข่าแล้วคลอเคลียแขนนาง ใจของนางก็พลันอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัวนางสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที หยิบศรขึ้นมาได้แต่อธิษฐานอยู่ในใจว่าขออย่าให้การยิงครั้งนี้พลาดเป้าค่อยๆ ง้างสายธนูช้าๆสายตาทุกคู่จับจ้องมาบนตัวนางทันใดนั้นเองลมก็พัดมาอีกครั้งเสื้อของซูชิงลั่วพัดไปตามแรงลม นางเงยหน้ามองฟ้าปราดหนึ่งกลับมาพัดในเวลาแบบนี้เสียได้ดูท่าไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซูชิงลั่วตั้งใจจะรอให้ลมระรอกนี้พัดผ่านไปก่อน จึงหย

    Last Updated : 2024-11-01

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status