หิมะโปรยปรายลงมาเงียบๆ เพียงแค่ตกหนักขึ้นกว่าเดิมซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก จู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะเดิมทีก็ใช่ว่าจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ นางเพียงแค่คิดว่าถ้าหากได้อันดับหนึ่งขึ้นมาจริงๆ จะได้ถือโอกาสช่วยชีวิตม้าตัวนั้นให้รอดได้ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงอวี้หยางจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ถึงอย่างไรก็เป็นม้าที่นางเลี้ยงมาหลายปีซูชิงลั่วรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงเอ่ย : "กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮา ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเป็นไข้หวัด เพิ่งจะหายไข้ไม่นาน ร่างกายยังอ่อนแอนัก ไม่ทราบว่าจะขอให้หม่อมฉันพักสักหน่อย เข้าประลองเป็นผู้สุดท้ายได้หรือไม่"หิมะตกลงมาปลกคลุมศีรษะของนางเป็นชั้นสีขาวบางๆแต่เดิมรูปร่างของนางก็อ่อนแอบอบบางกว่าผู้อื่น ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ร่างทั้งร่างราวกับกำลังจะถูกหิมะทับจนจะโค้งเป็นกิ่งไม้อยู่แล้ว น้ำเสียงก็แผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงกติกาการแข่งขันคือให้ยิงธนูสิบลูกติดกันแบบไม่พัก ผู้ที่ยิงเข้ากลางเป้ามากที่สุดจะเป็นผู้ชนะองค์หญิงอวี้หยางพูดด้วยความดูถูก : "ก็แค่ยิงธนู จะเหนื่อยสักเพียงใด เข้าประลองเป็นผู้สุดท้าย ฮูหยินลู่คิดจะเอาเปรียบกันง่ายๆ เช่นนี้หรือ"เห็นได้ชัดว่าไม่อยา
มีเพียงแค่บุตรสาวจากตระกูลนายพลสองคนที่ยิงเข้าเป้าทั้งสามลูก และหนึ่งในนั้นเข้ากลางเป้าพอดีแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าเป้าเลยสักลูกผ่านไปสักพัก ต่อไปก็จะถึงตาซูชิงลั่วสงสนามแล้วลู่เหิงจือกุมมือนางไว้พลางพูดเสียงเบา : "ไม่ต้องกลัว เจ้าสามารถลองยิงก่อนได้หนึ่งลูก"ดวงตาของซูชิงลั่วฉายประกายสว่างทันทีจริงด้วย !แม้ฝีมือการยิงธนูของนางแม้แต่ผีสางเทวดายังยากจะคาดเดา แต่มักจะไม่เข้าเป้าในลูกแรก แล้วลูกถัดไปก็เข้าเป้าตลอดถ้าหากสามารถลองยิงได้หนึ่งครั้ง...นางรีบส่งสายตาบอกกับลู่เหิงจือว่า "ท่านคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวจริง"ลู่เหิงจือเข้าใจความหมายของนาง จึงตอบ : "ชมเกินไป"ขณะนั้นเองข้าหลวงก็ตะโกนออกมา : "ลำดับที่สิบหก ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่ลงสนาม"ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดลงในพริบตาซูชิงลั่วถูมือเบาๆ ไม่ค่อยเต็มใจจะถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนตัวเท่าใดนัก ลู่เหิงจือรับเสื้อไปพาดไว้บนแขนหลังจากที่นางถอดเสื้อคลุม ทุกคนก็กลั้นสีหน้าความตกตะลึงไว้ไม่อยู่"ผอมแห้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ"เมื่อครู่นางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวโคร่งก็ดูผอมมากแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากที่ถอดเสื้อคลุมออกจะดูผ
ทั้งสนามเงียบสงัดในพริบตาซูชิงลั่วยังคงกลั้นหายใจพร้อมเพ่งสมาธิอยู่ ไม่ได้ผ่อนคลายแม้จะรักษาหน้าไว้ได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังรักษาชีวิตม้าเหงื่อโลหิตตัวนั้นไว้ไม่ได้หากไม่ผิดความคาดหมาย ลูกต่อไปคงพลาดเป้า แต่ลูกที่สามจะเข้ากลางเป้าพอดีเช่นนี้นางก็จะเหมือนกับองค์หญิงอวี้หยาง ล้วนแต่เข้าใจกลางเป้าสองลูกเหมือนกันถ้าหากศรที่เข้าใจกลางเป้าเท่ากัน เช่นนั้นก็ต้องนับจากจำนวนศรที่เข้าเป้าองค์หญิงอวี้หยางเข้าเป้าทั้งสามลูกซึ่งก็หมายความว่า แม้นางจะไม่สามารถยิงเข้าใจกลางเป้าได้ แต่ต้องยิงศรให้เข้าเป้าให้ได้ ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาชีวิตม้าเหงื่อโลหิตไว้ได้นึกถึงภาพที่ม้าเหงื่อโลหิตคุกเข่าแล้วคลอเคลียแขนนาง ใจของนางก็พลันอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัวนางสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที หยิบศรขึ้นมาได้แต่อธิษฐานอยู่ในใจว่าขออย่าให้การยิงครั้งนี้พลาดเป้าค่อยๆ ง้างสายธนูช้าๆสายตาทุกคู่จับจ้องมาบนตัวนางทันใดนั้นเองลมก็พัดมาอีกครั้งเสื้อของซูชิงลั่วพัดไปตามแรงลม นางเงยหน้ามองฟ้าปราดหนึ่งกลับมาพัดในเวลาแบบนี้เสียได้ดูท่าไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซูชิงลั่วตั้งใจจะรอให้ลมระรอกนี้พัดผ่านไปก่อน จึงหย
ข้าหลวงผู้นั้นเข้าใจในทันที รีบเดินออกไป ไม่นานนักก็กลับมาด้วยท่าทางร้อนรนศรลูกสุดท้ายแล้วซูชิงลั่วโน้มตัวลงไปหยิบศร กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ วางศรไว้บนสายธนูเพียงแค่แตะ ศรก็จะพุ่งออกไปทันทีบรรยากาศเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใดๆหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า มือถือคันธนู ร่างผอมเพรียวบาง ยืนอยู่ลำพัง ชุดสีเหลืองอำพันถูกลมพัดสะบัด เส้นผมปลิวไสวอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกที่งดงามกว่าทั่วไปศรถูกปล่อยออกมาทว่าทันใดนั้นเอง กลับมีแสงสว่างสีขาวแสบตาส่องเข้ามาจากทางด้านขวาอย่างกะทันหัน พุ่งตรงเข้ามาในดวงตาของนางคือกระจก !ซูชิงลั่วถูกแสงนี้ส่องกระทบทำให้ตรงหน้าสว่างจ้าเป็นสีขาวขึ้นมาปุบปับ มองจุดแดงบนเป้าได้ไม่ค่อยชัดนัก ทว่าแรงที่มือรั้งกลับมาไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงแค่มองดูลูกศรพุ่งออกมาตรงหน้า ก่อนจะร่วงลงบนพื้นไม่ต้องรอให้ข้าหลวงรายงาน ทุกคนล้วนแต่รู้แล้วว่าศรไม่เข้าเป้าทันทีที่ศรพุ่งห่างออกไปจากสายธนู ซูชิงลั่วก็หันไปมองยังทิศทางที่มาของแสงสีขาวทันทีแทบจะในขณะเดียวกัน ศรลูกหนึ่งพุ่งไปทางกลุ่มคนอย่างกะทันหัน กระจกทองแดงด้ามหนึ่งถูกทิ่มทะลุ แล้วแตกกระจัดกระจายไปคนละทิศทางก่อนจะตกลง
เสียงโห่ร้องยินดีกระหน่ำจนกลบแทบจะทุกสิ่งอย่าง"ยอดไปเลย !""ฮูหยินลู่ยิงเข้าใจกลางเป้าติดกันสิบลูก นี่คืออัจฉริยภาพตัวจริง""ต่อให้เป็นบุรุษก็มีน้อยคนที่จะมีทักษะยิงธนูที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้""คราวนี้องค์หญิงอวี้หยางไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วใช่หรือไม่...""ชู่ว เบาๆ หน่อย…"ขณะที่ผู้คนกำลังดื่มด่ำอยู่กับภาพเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นเมื่อครู่ มีเพียงลู่เหิงจือที่เห็นหยดเลือดตรงปลายนิ้วของซูชิงลั่วเลือดสีแดงสดหยดลงบนหิมะสีขาวสะอาด ราวกับดอกกุหลาบดอกหนึ่งใจเขาพลันบีบรัดด้วยความเจ็บปวด ราวกับถูกสายธนูรัดไว้ทว่าซูชิงลั่วกลับสงบนิ่งใจเย็น ยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่ตอนยิงธนู นางมีลางสังหรณ์ที่ประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนรู้ว่าตัวเองจะยิงเข้ากลางเป้าติดกันกระทั่งลู่เหิงจือก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงไปตรงหน้านาง นางถึงจะรู้สึกตัวว่าปลายนิ้วกำลังมีเลือดไหลออกมา ขณะเดียวกันความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาในเวลานี้ด้วยบรรยากาศที่คึกคักร้อนแรงพลันเงียบสงบลงไปในทันตาเห็นอัครมหาเสนาบดีที่ดูเฉยชาและอยู่สูงดุจดวงจันทร์สุกสกาว หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ พันแผลรอบนิ
เพียงแต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ากลับต้องไปแต่งกับองค์ชายผู้ที่ไม่เป็นที่รักและสำมะเลเทเมาที่สุดในเมืองหลวง ได้ยินมาว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ร่วมหอกันเลยไม่รู้ว่าปีที่แล้วที่นางพลัดตกน้ำ ถูกผู้ใดลอบทำร้ายกันแน่ฮ่องเต้ทรงตรัส : "เจ้าอยากแต่งกับหญิงสาวบ้านใด"องค์รัชทายาทเอ่ย : "ลูกอยากแต่งคุณหนูใหญ่จวนหย่งซุ่นป๋อลู่หมิงซือเป็นชายารอง"ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วขณะทุกคนเองก็ตะลึงงันไปเช่นกันคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งซุ่นป๋อ...ท่านตาของนางหลิ่วเจิ้งเฉิงเป็นผู้คุมสอบคัดเลือกขุนนางในปีนี้ถ้าหากจะบอกว่าในใจองค์รัชทายาทไร้ซึ่งแผนการใดๆ ไม่ได้คิดจะหยิบยืมโอกาสนี้เสาะหาผู้ที่มีความสามารถ เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อมุมปากฉีอ๋องเผยให้เห็นยิ้มเยาะทีหนึ่งมีหลิ่วเจิ้งเฉิงแล้วจะอย่างไร เจ้ากำจัดลู่เหิงจือได้หรือองค์รัชทายาทพูดต่อ : "พระชายาอายุยังน้อย เพิ่งจะแต่งเข้ามาในจวน วันทั่วไปงานราชการของลูกก็มีมากมาย เลี่ยงไม่ได้ที่จะหมางเมินนาง ทำให้นางรู้สึกเหงา นางเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับแม่นางลู่มาตลอด หากแม่นางลู่เข้ามาในจวนแล้ว พวกนางสองคนจะได้เป็นเพื่อนกันพอดี"ประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่มีช่องโหว่ใดๆ เล
น้ำเสียงของลู่เหิงจือชัดถ้อยชัดคำและกังวานไปไกลเมื่ออยู่ในที่เงียบ"กระหม่อมตัวคนเดียว ชินกับความสงบ หากไม่มีชิงลั่ว อย่าว่าแต่ทายาท เกรงว่าชาตินี้กระหม่อมคงจะไม่แต่งงาน"น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาราวกับหิมะที่บางเบาไร้น้ำหนักในยามนี้"ฉะนั้นแล้ว มีหรือไม่มีทายาท สำหรับกระหม่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญใดเลย""หากมี แน่นอนว่าย่อมดี""แต่หากไม่มี ก็ดีที่ชิงลั่วจะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดจากการคลอดบุตร หากชิงลั่วชอบเด็ก วันข้างหน้าพวกเรารับอุปถัมภ์สักคนก็ได้ หากนางไม่ชอบ กระหม่อมก็รู้สึกยินดีที่จะไม่มีผู้ใดมารบกวน"บุรุษผู้ใดบ้างจะคิดว่าทายาทไม่สำคัญจริงๆแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ลู่เหิงจือในชุดสีขาวแสงจันทร์ ท่าทางเย็นชาและสง่า พูดประโยคเหล่านี้ออกมาอย่างง่ายๆ สบายๆ ทำให้คนรู้สึกเชื่ออย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิดเพราะหลายปีก่อนหน้านี้ เขาเฉยชาไร้ความต้องการ ไม่สนใจสตรีมาก่อนจริงๆทุกคนต่างก็รับรู้เขาชอบซูชิงลั่วถึงขนาดนี้เลยหรือชอบจนให้นางเป็นข้อยกเว้น ชอบกระทั่งที่แม้จะไม่มีทายาท ก็จะไม่ยอมรับอนุเข้ามาเช่นนั้นหรือสายตาที่ทุกคนมองไปยังซูชิงลั่วมีความอิจฉาเพิ่มขึ้นมาฮองเฮาหัวเราะเบาๆลู่เหิงจ
ขอแค่มีความหวังก็พอแล้วซูชิงลั่วเบาใจลงมาบ้าง : "ขอบคุณท่านหมอหลวงซ่ง"หมอหลวงซ่งลูบหนวดพร้อมคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันไปมองยังลู่เหิงจือแล้วพูดอย่างกรุ้มกริ่ม : "เดี๋ยวข้าจะสั่งยาบำรุงให้ใต้เท้าอีกสักหน่อย"ซูชิงลั่ว "......"นางอดพูดไม่ได้จริงๆ : "ของเขาไม่จำเป็นหรอก ร่างกายเขาแข็งแรงดียิ่งนัก"ลู่เหิงจือ "......"หมอหลวงซ่งเกือบจะหลุดขำออกมา "เช่นนั้นก็ช่างเถอะ"ลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย : "ท่านไปได้แล้ว"ถูกตัดบทเช่นนี้ ซูชิงลั่วอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อยเมื่อนึกถึงเรื่องในความฝัน นางจึงพูดกับลู่เหิงจือต่อ : "กระดาษแผ่นนั้น แม่นมเหมยเป็นผู้เขียน มีผู้เปิดเผยมันออกไป ฮองเฮาถึงได้คิดจะใช้วิธีนี้ข่มข้า"ลู่เหิงจือเอ่ยถาม : "เจ้าคิดว่าผู้ใด"ซูชิงลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง : "น่าจะไม่ใช่แม่นมเหมย"ในหัวนางมีผู้ที่สงสัยอยู่ เพียงแต่เพราะอยู่ต่อหน้าลู่เหิงจือจึงไม่พูดออกไป ถึงอย่างไรก็แค่สงสัยเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานนางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ "บ่าวหลายคนในจวนล้วนแต่เพิ่งซื้อเข้ามา บางทีอาจถูกผู้ใดสอดแนมเข้ามา แต่ก็มีเพียงไม่กี่คน กลับไปตรวจสอบก็คง