ขอแค่มีความหวังก็พอแล้วซูชิงลั่วเบาใจลงมาบ้าง : "ขอบคุณท่านหมอหลวงซ่ง"หมอหลวงซ่งลูบหนวดพร้อมคลี่ยิ้ม ก่อนจะหันไปมองยังลู่เหิงจือแล้วพูดอย่างกรุ้มกริ่ม : "เดี๋ยวข้าจะสั่งยาบำรุงให้ใต้เท้าอีกสักหน่อย"ซูชิงลั่ว "......"นางอดพูดไม่ได้จริงๆ : "ของเขาไม่จำเป็นหรอก ร่างกายเขาแข็งแรงดียิ่งนัก"ลู่เหิงจือ "......"หมอหลวงซ่งเกือบจะหลุดขำออกมา "เช่นนั้นก็ช่างเถอะ"ลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย : "ท่านไปได้แล้ว"ถูกตัดบทเช่นนี้ ซูชิงลั่วอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อยเมื่อนึกถึงเรื่องในความฝัน นางจึงพูดกับลู่เหิงจือต่อ : "กระดาษแผ่นนั้น แม่นมเหมยเป็นผู้เขียน มีผู้เปิดเผยมันออกไป ฮองเฮาถึงได้คิดจะใช้วิธีนี้ข่มข้า"ลู่เหิงจือเอ่ยถาม : "เจ้าคิดว่าผู้ใด"ซูชิงลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง : "น่าจะไม่ใช่แม่นมเหมย"ในหัวนางมีผู้ที่สงสัยอยู่ เพียงแต่เพราะอยู่ต่อหน้าลู่เหิงจือจึงไม่พูดออกไป ถึงอย่างไรก็แค่สงสัยเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานนางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ "บ่าวหลายคนในจวนล้วนแต่เพิ่งซื้อเข้ามา บางทีอาจถูกผู้ใดสอดแนมเข้ามา แต่ก็มีเพียงไม่กี่คน กลับไปตรวจสอบก็คง
หลังจากเห็นชัดๆ แล้วว่าคือสิ่งใด ใบหน้าของเมิ่งชิงไต้ก็แดงก่ำลามไปถึงต้นคอเพราะดูไปแล้วตัวอักษรไม่ได้เยอะมากนัก อีกทั้งซูชิงลั่วยังนำพกติดตัวออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ นางจึงคิดว่าอาจจะเป็นบทกลอน เดิมตั้งใจจะเปิดดูแล้วเอ่ยชมน้องซูสักสองสามประโยค คิดไม่ถึงว่ากลับเป็น...ของลับของสตรีนางเสียใจที่ตนหุนหันพลันแล่นเกินไป ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะซูชิงลั่วเองก็หน้าแดงแจ๋ไม่แพ้กันแต่อยู่ข้างนอก นางยังรู้จักรักษาหน้าตาให้ลู่เหิงจือ จึงรีบพูดด้วยความเก้อเขิน : "นี่คือนิยายที่ข้าคัดลอกมา..."เมิ่งชิงไต้พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจจะดูการเย็บปักแบบสองหน้าแล้ว รีบหลับตาพับกระดาษแล้วยัดกลับลงไปทว่ายังไม่ทันได้ใส่กระดาษแผ่นนั้นกลับเข้าไปในถุงหอม ก็มีมือข้างหนึ่งมาขวางไว้เสียก่อน"นี่คืออะไร"เซี่ยถิงอวี่เห็นเมิ่งชิงไต้หน้าแดงระเรื่อจึงเกิดสนใจสิ่งที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา เดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาเปิดดูหลังจากนั้นก็เห็นลายมือที่คุ้นเคยยิ่งนัก...อีกทั้งเนื้อหาที่ยากจะบรรยายเดิมทีคิดว่าอย่างแย่ที่สุดก็คงจะเป็นแค่กลอนลามกจำพวกนั้น แต่ทุกคนล้วนแต่ออกเรือนกันแล้ว นำมาดูบ้างก็ไ
ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงพระชนมายุมากแล้ว อยู่ด้านนอกเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ดื่มสุราอีกไม่กี่แก้วก็ปล่อยงานเลี้ยงให้องค์รัชทายาทดูแลจัดการต่อองค์รัชทายาทเป็นคนสบายๆ เป็นกันเองมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้ทุกคนต่างก็สนุกสนาน เข้ากันได้เป็นอย่างดีครื้นเครงกันไปได้สักพักใหญ่ แต่ละคนก็ค่อยๆ จับกลุ่มคุยกันเองวันนี้ซูชิงลั่วโดดเด่นมีหน้ามีตาเป็นพิเศษ ทั้งยังเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดี จึงมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาขอดื่มด้วยเพื่อแสดงความเคารพนางคออ่อน ดื่มไปไม่กี่แก้วก็รู้สึกมึนหัว จึงให้ลู่เหิงจือดื่มแทนพอเขาดื่มแทน เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ก็พากันเข้ามาขอดื่มเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด เพียงแค่นานๆ ทีจะได้มีโอกาสเห็นลู่เหิงจือใกล้ๆ เช่นนี้ไม่นานนักลู่เหิงจือก็รู้สึกรำคาญ อ้างว่าซูชิงลั่วเมามากแล้ว ก่อนจะอุ้มนางกลับไปยังเรือนพักชั่วคราวเตาไฟในเรือนพักชั่วคราวกำลังลุกโชติช่วงซูชิงลั่วมองลู่เหิงจือด้วยสายตาที่เมามาย ปล่อยให้เขาวางนางลงบนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือไปกอดคอเขาเอาไว้แสงจากเปลวไฟสะท้อนเงาร่างขนาดใหญ่ของลู่เหิงจือบนกระโจมสีขาวให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปอีกแบบแววตาของลู่เหิงจือเย็
ม้าเหงื่อโลหิตกินข้าวโพดปิ้งไปสิบกว่าฝัก ในที่สุดก็คลอเคลียที่แขนของซูชิงลั่วด้วยความพอใจ ก่อนจะฟุบลงข้างนางด้วยความเชื่องซูชิงลั่วลูบแผงคอให้มัน พลางพูดกับลู่เหิงจือ : "ต่อไปมันจะเป็นม้าของพวกเราแล้ว พวกเราตั้งชื่อให้มันเถอะ"น้ำเสียงของลู่เหิงจือนิ่งเรียบ : "เรียกมันว่าม้าช่างประจบ"“……”ซูชิงลั่วไม่ยอม : "มันช่างประจบเช่นไร มันออกจะเชื่อฟังว่าง่าย เช่นนี้เรียกมันว่าเจ้าเด็กดี ดีหรือไม่""เด็กดีตรงไหน" สีหน้าของลู่เหิงจือมองซูชิงลั่วคล้ายกับกำลังบ่งบอกว่า "สายตาเจ้าใช้ไม่ได้เอาเสียเลย" ก่อนจะกวาดสายตาไปมองม้าเหงื่อโลหิตปราดหนึ่ง "อีกอย่างมันเป็นม้าตัวผู้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเรียกมันว่าเจ้าเด็กดี"ดูเหมือนเพื่อจะสนับสนุนคำพูดของลู่เหิงจือ เจ้าม้าเหงื่อโลหิตส่งเสียงร้องยาวหนึ่งที แสดงออกว่าตนไม่ยินยอมให้เรียกชื่อเจ้าเด็กดีนี้จริงๆ"เจ้าก็ช่างเลือกเหมือนกันนี่" ซูชิงลั่วลูบม้าเหงื่อโลหิตเบาๆ นึกถึงท่าทางที่มันย่ำบนหิมะแล้วยืนตรงอยู่นอกกระโจมเมื่อครู่นี้ จึงพูดขึ้นมา : "เช่นนั้นก็ชื่อท่าเสวี่ยที่แปลว่าย่ำหิมะแล้วกัน"เจ้าม้าเหงื่อโลหิตน่าจะชอบชื่อนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ได้ปฏิเสธอีก ทั้
คำนวณเวลาที่นายหญิงเฒ่าน่าจะใกล้ตื่น ซูชิงลั่วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่หญิงชรา แน่นอนว่าก่อนไป นางถอดถุงหอมที่พกติดตัวไว้ตลอดออกด้วยความรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจขึ้นอีกหญิงชราเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพิ่งจะพูดคุยกับนางได้ไม่กี่ประโยค ก็ได้ยินเสียงมาจากด้านนอก "พระราชโองการมาถึงแล้ว" จึงรีบสั่งให้คนตั้งโต๊ะเตรียมรับพระราชโองการฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จกลับวัง ก็มีรับสั่งพระราชโองการลงมาไวเช่นนี้ซูชิงลั่วประครองหญิงชราเดินออกไป เห็นลู่โย่วและครอบคัวออกมารอด้วยความตื่นเต้น ยกน้ำชามาให้กงกงที่มาประกาศพระราชโองการด้วยความกระตือรือร้นกงกงผู้นั้นเย่อหยิ่งจองหอง ไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกระทั่งเห็นนางมาถึง มุมปากของลู่หมิงซือก็เผยให้เห็นรอยยิ้มส่วนลู่เหยียนก็มองนางด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง ครึ่งหนึ่งคือความลุ่มลึก อีกครึ่งคือความโกรธเกลียดโต๊ะบูชาจัดวางเรียบร้อยแล้ว กงกงประกาศพระราชโองการ ทุกคนคุกเข่าลงที่พื้น"ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา คุณหนูใหญ่จวนหย่งซุ่นป๋อ ลู่หมิงซืออ่อนโยนจิตใจดี ท
ลู่หมิงซือตอบน้ำเสียงหนักแน่น : "ข้าเป็นว่าที่พระชายารองขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทคือฮ่องเต้ในอนาคต เจ้ากล้าสั่งให้ข้าคุกเข่าเช่นนั้นหรือ"กงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้นั้นมองลู่หมิงซือปราดหนึ่ง แล้วหลุบตาลงไม่ได้พูดสิ่งใดซูชิงลั่วมองนางพลางเอ่ยอย่างช้าๆ : "ดูเหมือนสุดท้ายแล้วน้องลู่ก็ยังไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรอให้เรื่องราวยืนยันแน่ชัดก่อนค่อยแล้วค่อยโอ้อวด ใช่หรือไม่"นางหันไปมองทางกงกง น้ำเสียงฟังดูไพเราะยิ่งนัก "รบกวนกงกงช่วยบอกน้องลู่ทีว่าพระชายารองขององค์รัชทายาทมีลำดับยศอยู่ในขั้นที่เท่าไหร่ แล้วตำแหน่งเก้ามิ่งฟูเหรินของข้าอยู่ขั้นใด ข้ามีสิทธิ์สั่งให้นางคุกเข่าให้ข้าหรือไม่""รับทราบ ฮูหยินลู่"กงกงพูดด้วยท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อน "ตำแหน่งพระชายารองขององค์รัชทายาทอยู่ในขั้นที่สาม ส่วนตำแหน่งเก้ามิ่งฟูเหรินที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เองอยู่ในขั้นที่หนึ่ง อีกทั้งแม่นางลู่ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกกับองค์รัชทายาท ฮูหยินย่อมมีสิทธิ์สั่งให้นางคุกเข่า"ซูชิงลั่วพูดน้ำเสียงเรียบเฉย : "ได้ยินชัดแล้วหรือยัง"น้ำเสียงของนางมีความเย็นยะเยือก ราวกับเกร็ดน้ำค้างก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนรู
เหตุใดนางยังคาดเดาความรู้สึกที่ตนมีต่อลู่เหิงจือออกอีกซูชิงลั่วลุกขึ้น ตอบนิ่งๆ : "เจ้าคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ไปสองชั่วยาม"หลังจากพูดจบ นางก็พยุงหญิงชราเดินจากไปคนจากวังทยอยพากันออกไปนางหลิ่วคับแค้นใจแต่ไร้ที่ระบาย เห็นลู่เหยียนเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของซูชิงลั่วที่กำลังเดินจากไป ก็อดเขกกะโหลกเขาอย่างแรงไม่ได้"เจ้ายังไม่รีบกลับไปอ่านหนังสืออีกหรือ เหลืออีกครึ่งเดือนก็จะสอบแล้ว หากสอบไม่ติดข้าจะตัดขาเจ้า"ลู่เหยียนพูดอย่างเหลืออด : "ท่านเรียกข้าออกมารับราชโองการเองไม่ใช่หรอกหรือ ข้าเต็มใจออกมาเองเสียที่ไหนกัน"เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ในใจกลับเอาแต่คิดถึงท่าทางของซูชิงลั่วเมื่อครู่นี้ดูแข็งแกร่งและไม่อาจเอื้อมทำให้คนชื่นชมเลื่อมใสดูเหมือนเขาจะดำดิ่งลงไปลึกแล้วจริงๆ*กลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนนำพระราชกฤษฎีกาและชุดพิธีการพระราชทานไปเก็บ นึกถึงกระดาษแผ่นนั้นที่ซ่อนเอาไว้ก่อนออกไปก็หยิบออกมาอีกครั้งจะต้องหาที่ที่เหมาะสมสักที่ถึงจะถูกนางครุ่นคิด ก่อนจะหาสมุดบัญชีเปล่าๆ เล่มหนึ่งออกมา แล้วแปะกระดาษแผ่นนั้นลงไปตรงกลางที่ยังว่างจากนั้นก็วาดรูปท่าเสวี่ยลงไ
ข่าวที่ซูชิงลั่วชนะองค์หญิงอวี้หยางในการแข่งขันยิงธนูที่สนามล่าสัตว์ เจ็ดวันหลังจากนั้นถึงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงนอกจากคนทั่วไปที่รู้สึกตะตะลึงกับฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วแล้ว ยังต่างประหลาดใจที่รู้ว่าลู่เหิงจือได้รักษาความบริสุทธิ์ให้แก่ซูชิงลั่วมาตลอดหลายปี และยังประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าจะไม่รับอนุ ไม่สนใจเรื่องบุตรด้วยฉับพลันนั้น ใต้เท้าลู่ได้กลายเป็นบุรุษที่หญิงสาวในเมืองหลวงทุกนางต่างยกย่องชมเชยหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างก็ตั้งปณิธานว่าจะหาสามีอย่างใต้เท้าลู่ให้ได้แต่สำหรับชายหนุ่มที่แต่งงานแล้วก็ถูกภรรยาบ่นว่าใต้เท้าลู่ดีอย่างไรโอกาสดีเช่นนี้ นักเล่านิทานย่อมไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปมือตบลงบนแผ่นไม้ แล้วเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า“เมื่อก่อน ซูชิงลั่วเคยหมั้นหมายกับคุณชายสี่แห่งจวนตระกูลลู่ แม้อัครมหาเสนาบดีลู่จะมีใจ แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ......”“ต่อมา คุณชายสี่แห่งจวนตระกูลลู่หลงรักลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดา ซูชิงลั่วจึงถอนหมั้นด้วยความโกรธแค้น อัครมหาเสนาบดีลู่ของเรานั้นภายนอกดูเหมือนจะเย็นชา แต่ในใจคงจะดีใจมาก จึงรีบฉวยโอกาสนี้ขอพระราชทานอภิเษกสมรสก