พวกเขาเคยทำอะไรที่มากกว่านี้เสียอีก เหตุใดนางถึงยังเขินอายกับเรื่องแค่นี้นางก็โล่งใจไปด้วยที่เขาไม่ได้ถามอะไรต่ออันที่จริงแล้วนางฝันอีกแล้วในฝันคือชายหนุ่มที่เคยเจอที่ร้านขายภาพวาด เหมือนชื่อว่าอวี๋ซื่อชิงเขาสวมชุดราชการสีน้ำเงิน มองมาที่นางด้วยสายตาจริงจัง “ฮูหยิน ข้าจะช่วยท่านเอง”ปรากฏเพียงประโยคสั้นๆ เท่านี้ดูเหมือนว่าในภายภาคหน้านางจะมีเรื่องขอร้องให้เขาช่วยนางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลู่เหิงจือ เพราะหนึ่งคือไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมสองคือ......หากนางบอกลู่เหิงจือว่านางฝันเห็นชายอื่น ไม่รู้ว่าจะหึงหวงมากเพียงใดก่อนหน้านี้เพียงทักทายอวี๋ซื่อชิง เขาก็ไม่พอใจมากอยู่แล้วทว่าแววตาของลู่เหิงจือที่มองนางเมื่อครู่ จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้คงดูออกแน่ๆเขากลับไม่ได้บังคับให้นางพูดออกมา แสดงว่าเขามั่นใจในตัวนางมากนางอดยิ้มมุมปากไม่ได้ แล้วเงยหน้าจูบเขา ถือเป็นการให้รางวัลลู่เหิงจือยิ้มและโอบกอดนางไว้แน่นซูชิงลั่วรู้สึกพอใจกับข่าวลือในเมืองหลวงครั้งนี้มากชื่อของนางถูกเอ่ยคู่กับลู่เหิงจืออยู่เสมอ ราวกับเป็นเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีมากแม้แต่เวลาไปตรวจตราร้านของตระกูล ก็
เจียงหมัวมัวมองนางครู่หนึ่งพลางถอนหายใจ “ข้าเป็นผู้หญิงก็เข้าใจดีว่าฮูหยินไม่เต็มใจ แต่สามีมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งฮูหยินมีบุตรยากยิ่งต้องรีบหาคนมาให้เหิงจือ”ซูชิงลั่วค่อยๆ คนใบชา แล้วรอให้เจียงหมัวมัวพูดจบเจียงหมัวมัวเอ่ยต่อ “ลี่ว์เหมยที่อยู่ข้างกายข้าก็ดีมาก ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ นิสัยอ่อนโยน รู้กาลเทศะ ลองให้นางไปอยู่ข้างกายเหิงจือดูหรือไม่”ไม่แปลกใจเลยที่ลี่ว์เหมยจะปล่อยใบสั่งยาของนางออกไป คงเป็นเพราะเจียงหมัวมัวได้พูดเรื่องนี้กับนางมาก่อนแล้วซูชิงลั่วฝืนยิ้มและมองเจียงหมัวมัว โดยไม่พูดอะไรเจียงหมัวมัวพูดพร่ำยาวมาก ซูชิงลั่วไม่ได้โต้ตอบ เจียงหมัวมัวยังคิดว่าซูชิงลั่วเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงถือโอกาสที่ตนอาวุโสกว่า เอ่ยต่อว่า “หากฮูหยินเห็นด้วย ข้าจะไปเตรียมการเอง ไม่ต้องลำบากฮูหยิน”ซูชิงลั่ววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรง และเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ได้”เจียงหมัวมัวไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธตรงๆ จึงชักสีหน้าทันทีซูชิงลั่วเอ่ยเสียงราบเรียบ “อ่อนโยน รู้กาลเทศะ? คงไม่ใช่แน่ หากนางนิสัยดีจริง นางจะเอาใบสั่งยาที่ข้าใช้ทุกวันไปให้คนของฮองเฮาทำไม? แล้วข้าจะถูกฮองเฮาหาเรื่อง
ซูชิงลั่วลืมตาขึ้น มองไปยังเจียงหมัวมัวด้วยสีหน้าสงบนิ่งเจียงหมัวมัวพูดเสียงทุ้มต่ำว่า "รอให้เหิงจือกลับมาก่อน ข้าจะไปบอกเขาเอง"เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นมาในขณะนั้น"จะพูดอะไร?" ลู่เหิงจือเดินเข้ามาในห้องเขาไม่เห็นซูชิงลั่วอยู่ในห้องหลังจากกลับมา เมื่อถามจึงรู้ว่านางมาที่เรือนของเจียงหมัวมัว เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ตรวจสอบใบสั่งยา จึงรีบมาด้วยตัวเองเมื่อเข้ามาในลานกว้าง ก็พบว่าลี่ว์เหมยคุกเข่าอยู่ตรงบริเวณลานกว้าง ซูชิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ สีหน้าเรียบเฉย แต่เจียงหมัวมัวกลับปรากฏสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นเขาเข้ามา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ แค่เหลือบมองเขาอย่างเงียบๆรู้สึกราวกับมหัตภัยโจมตีโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าตนเองโดนโกรธโดยไม่รู้ตัว ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่เขาเดินไปหานาง แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า "เกิดอะไรขึ้น ทำไมฮูหยินโกรธถึงเพียงนี้?"ซูชิงลั่วหันเหลือบมองจื๋อหยวน จื๋อหยวนจึงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังลู่เหิงจือหันมองเจียงหมัวมัว แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “หมัวมัวอยู่ข้างกายข้ามาตลอดหลายปี เจ้ารู้ดีว่าข้าจัดก
ความหึงหวงเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งในการหย่าร้างแน่นอนว่าลู่เหิงจือย่อมไม่หย่ากับนาง แต่หากข่าวแพร่สะพัดออกไปชื่อเสียงของนางก็คงไม่ดีนักแต่แม้จะถูกกล่าวหาว่าหึงหวง แล้วจะอย่างไรซูชิงลั่วกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของลู่เหิงจือ "ชิงลั่วเคยเกลี่ยกล่อมให้ข้ามีอนุอยู่หลายหนแต่เป็นข้าเองที่ไม่ยอม""หากข้ายอม ข้ารอแต่งงานจนอายุปูนนี้ทำไม หมัวมัวอยู่กับข้ามาหลายปี ไม่รู้เลยหรือ"ขณะลู่เหิงจือพูด เขาจับมือของนางไว้ และใช้นิ้วหัวแม่มือถูเบาๆ ที่หลังมือของนางราวกับเป็นการปลอบโยนสมกับเป็นอัครมหาเสนาบดีจริงๆ ถึงพูดจาไพเราะเช่นนี้ซูชิงลั่ว รู้สึกสบายใจขึ้นทันทีและได้ยินลู่เหิงจือเอ่ยอย่างมีเหตุผลต่อว่า "ดูเหมือนว่าหมัวมัวจะว่างเกินไปเสียแล้ว สู้กลับไปดูแลเรือนที่ตรอกปาเถียวดีหรือไม่"เจียงหมัวมัวใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจนี่แทบจะเหมือนถูกไล่กลับเลยนะนางจ้องมองลู่เหิงจืออย่างงงงวย แต่ลู่เหิงจือไม่ได้หันมามองนาง และคอยดูแลซูชิงลั่วก้าวเดินจากไป*เมื่อกลับถึงห้อง ทันทีที่ปิดประตู ซูชิงลั่วก็รีบเอื้อมมือมากอดลู่เหิงจือ ก้มศีรษะแนบแก้มบนซอกคอของเขาอย่างเชื่อฟัง“ท่านสามีดีม
ลู่เหิงจือไม่ได้พูดเล่น เขาดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องบุตรจริงๆซูชิงลั่วนึกถึงความฝัน ในอดีตชาติเขาไม่ได้แต่งงานและไม่มีบุตรใช้ชีวิตอย่างขมขื่นนางรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจอย่างอธิบายไม่ถูกเพื่อที่จะไล่ความรู้สึกหดหู่ใจที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางจึงคิดเย้าแหย่ลู่เหิงจือ"ไม่รีบจริงๆ หรือ? อายุท่านก็ไม่น้อยแล้วนะ......"เสียงลากยาวอย่างตั้งใจลู่เหิงจือหรี่ตาลงเล็กน้อย "ใช่หรือ"“……”ทำไมนางถึงรู้สึกอันตรายเล่าลู่เหิงจือใช้ปลายนิ้วกดที่คางของนาง "ดูเหมือนเมื่อครู่ข้าเรียกฮูหยิน จึงไม่ค่อยพอใจใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นฮูหยินจะรังเกียจที่ข้าแก่ได้อย่างไร""ไม่ ไม่ ไม่เลย" ซูชิงลั่วรีบยืนยันอย่างมั่นใจลู่เหิงจือยิ้มและโอบกอดซูชิงลั่วไว้ในอ้อมแขน ชั่วครู่เขาก็เรียกชื่อนางออกมา "ชิงลั่ว""ห้ะ?"ลู่เหิงจือหลับตาลงเบาๆ “ไม่มีอะไร”ซูชิงลั่วเงยหน้ามองเขา “พี่สาม ทำไมหลายวันมานี้พี่แปลกๆ ไป หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ลู่เหิงจือเอื้อมมือลูบผมของนางเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้ากำลังเตรียมการจะลงมือกับองค์รัชทายาท”ซูชิงลั่วรู้สึกเนื้อตัวสั่นสะท้านทันทีลู่เหิงจือโอบกอดนางไว้ “น่าจะไม่กระทบ
ซ่างไฉขานตอบวันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ ลู่เหยียนก็ได้นัดเจอกับเฉิงซิ่วที่ห้องแยกในโรงเตี๊ยมแห่งเดิมเฉิงซิ่วมองเขาด้วยสีหน้าเขินอาย “พี่เหยียน พี่ไม่ตอบจดหมายข้าเลย ข้าคิดว่าพี่เกลียดข้าเสียแล้ว”"จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร" ลู่เหยียนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมดึงเฉิงซิ่วเข้ามากอด “เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังเตรียมสอบ ไม่มีเวลาให้เรื่องอื่น”เขากักใจตัวเองมาหลายวันแล้ว คราวนี้คงได้ผ่อนคลายบ้างแล้วเฉิงซิ่วเองก็ยินดีมากลู่เหยียนเอามือลูบไล้ร่างกายของนาง พลางถามว่า “คิดถึงข้าหรือไม่”เฉิงซิ่วหลับตาลงเล็กน้อย ส่งเสียงครางเบาๆ แล้วเอนตัวแนบอกเขาลู่เหยียนยิ้มและเลื่อนมือเปิดเสื้อผ้าของนาง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่จริงหรือ? เรื่องข้อสอบนั้น…...”เฉิงซิ่วหายใจไม่ทั่วท้อง กระซิบตอบเสียงเบาว่า “จริง ข้าได้ยินกับหูตัวเอง…...”ลู่เหยียนจูบที่ใบหูของนางและถามเสียงแหบพร่าว่า “ข้อสอบคืออะไรหรือ”เฉิงซิ่วตอบว่า “คือ…...อ้าก อย่า...…”ลู่เหยียนเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า "กลัวอะไรหรือ อีกเดือนกว่าก็จะแต่งงานกันแล้ว ถึงเจ้าจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นเป็นไร"เฉิงซิ่วใบหน้าแดงก่ำ ก้มศีรษะลง ไม่พูดไม่
เดือนสิบสองต้นเดือน การสอบระดับราชสำนักที่จัดขึ้นสามปีครั้งได้เริ่มขึ้นที่เมืองหลวงแล้วเรื่องสำคัญจำนวนมากต้องหลีกทางให้กับการสอบนี้แม้แต่หญิงชราจะก็มาส่งลู่เหยียนถึงประตู และมองดูเขาขึ้นรถม้าไปซูชิงลั่วกลับหลบเลี่ยงเพื่อไม่ให้เป็นที่ข้อครหาลู่เหิงจือกลับมาจากราชสำนักก่อนเที่ยงเนื่องด้วยช่วงนี้ว่างจากงานราชการ เขาจึงมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนซูชิงลั่ว และไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาจึงเล่าเรื่องสำคัญในราชสำนักให้นางฟังด้วยครั้งนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งหลิ่วเจิ้งเฉิงรองเสนาบดีกรมธรรมการ ซึ่งก็คือบิดาของนางหลิ่วเป็นประธานการจัดสอบและทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นผู้ตรวจสอบเป็นการเฉพาะการสอบขุนนางเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกของราชวงศ์ ผู้สอบที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นลูกศิษย์ของประธานการสอบ ซึ่งแทบจะเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าองค์รัชทายาทสามารถใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมลูกศิษย์ได้แม้หลังจากหวังเหลียงฮั่นถูกเนรเทศ องค์รัชทายาทจะมีอำนาจในราชสำนักน้อยลง แต่จากเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทยังคงคาดหวังในตัวองค์รัชทายาทอยู่“แล้วหลังจากการสอบขุนนาง องค์รัชทายาทจะกลับมาผงาดอีกครั้งหรือไม่” ซูชิงลั่ว
เขาราวกับถูกผีเข้าสิง พลันความกล้าหาญก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที อยากจะถามเรื่องราวในอดีตให้กระจ่างเขาช่างกล้าฝันกลางวันจริงๆซูชิงลั่วไม่รู้ว่าความมั่นใจของลู่เหยียนมาจากที่ใดนางขมวดคิ้วเล็กน้อย “จอหงวนแล้วอย่างไร สามีเป็นจอหงวนนานแล้ว”เสียงของนางแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “เสียดายที่ไม่ได้แต่งงานกับเจ้า? เจ้าสมองมีปัญหาหรือ? ข้าน่ะเสียใจที่ในวัยเด็ก ถูกบังคับให้ตอบตกลงหมั้นหมายกับเจ้า ทำให้ข้าเสียเวลากับพี่สามไปหลายปี”ลู่เหยียนกำพัดในมือแน่นขึ้นทันทีซูชิงลั่วไม่ได้หันกลับมามองเขาอีกเลย แต่หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วจื๋อหยวนปรบมือให้กับนายหญิงของตนในใจ คิดว่าเมื่อซ่งเหวินกลับมา นางจะรีบเล่าซ่งเหวินให้ฟังทันที ไม่รู้ว่าใต้เท้าจะดีใจแค่ไหนเมื่อการสอบขุนนางสิ้นสุดลง ลู่เหิงจือก็ยุ่งมากนอกจากงานราชการประจำวันแล้ว เขายังหาเวลาในยามค่ำคืนมาพบกับเซี่ยถิงอวี่ที่ปลอมตัวมายังห้องหนังสือของตนเรื่องสำคัญพูดคุยกันพอสมควรแล้ว เซี่ยถิงอวี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยังมีบทบรรยายที่ท่านเขียนไว้อยู่อีกหรือไม่”ลู่เหิงจือ "?"เซี่ยถิงอวี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช้ได้ดีทีเดียว