เขาราวกับถูกผีเข้าสิง พลันความกล้าหาญก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที อยากจะถามเรื่องราวในอดีตให้กระจ่างเขาช่างกล้าฝันกลางวันจริงๆซูชิงลั่วไม่รู้ว่าความมั่นใจของลู่เหยียนมาจากที่ใดนางขมวดคิ้วเล็กน้อย “จอหงวนแล้วอย่างไร สามีเป็นจอหงวนนานแล้ว”เสียงของนางแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “เสียดายที่ไม่ได้แต่งงานกับเจ้า? เจ้าสมองมีปัญหาหรือ? ข้าน่ะเสียใจที่ในวัยเด็ก ถูกบังคับให้ตอบตกลงหมั้นหมายกับเจ้า ทำให้ข้าเสียเวลากับพี่สามไปหลายปี”ลู่เหยียนกำพัดในมือแน่นขึ้นทันทีซูชิงลั่วไม่ได้หันกลับมามองเขาอีกเลย แต่หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วจื๋อหยวนปรบมือให้กับนายหญิงของตนในใจ คิดว่าเมื่อซ่งเหวินกลับมา นางจะรีบเล่าซ่งเหวินให้ฟังทันที ไม่รู้ว่าใต้เท้าจะดีใจแค่ไหนเมื่อการสอบขุนนางสิ้นสุดลง ลู่เหิงจือก็ยุ่งมากนอกจากงานราชการประจำวันแล้ว เขายังหาเวลาในยามค่ำคืนมาพบกับเซี่ยถิงอวี่ที่ปลอมตัวมายังห้องหนังสือของตนเรื่องสำคัญพูดคุยกันพอสมควรแล้ว เซี่ยถิงอวี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยังมีบทบรรยายที่ท่านเขียนไว้อยู่อีกหรือไม่”ลู่เหิงจือ "?"เซี่ยถิงอวี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช้ได้ดีทีเดียว
หลังจากการสอบขุนนางเสร็จสิ้น บ้านตระกูลลู่ดูวุ่นวายเป็นอย่างยิ่งลู่หมิงซือและลู่เหยียนแต่งงานห่างกันเพียงสิบวันเนื่องด้วยทั้งสองเป็นบุตรธิดาของนางหลิ่ว แม้บ้านตระกูลลู่จะมีนางเฉียนคอยดูแล แต่นางหลิ่วยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมงานราวกับยังเป็นผู้ดูแลจวนอยู่ซูชิงลั่วเมื่อเข้าไปคารวะท่านยาย นางหลิ่วก็หาเรื่องติเตียนไปเรื่อยนางไม่กล้าเพ้อหวังในเงินของซูชิงลั่วอีกแล้ว คำพูดของนางยังวนเวียนอยู่แต่เรื่องขอเงินจากหญิงชราหญิงชราจึงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เหยียนเออร์เป็นลูกหลานบ้านตระกูลลู่ เมื่อเหิงจือแต่งงานก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว บ้านจะออกเงินให้ตามนั้น ส่วนหมิงซือ เมื่อลั่วชิงออกเรือน ข้ามอบเงินให้เท่าใด ก็จะให้หมิงซือเท่ากัน”นางหลิ่วแสดงสีหน้าไม่พอใจ “แต่หมิงซือเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน และกำลังจะแต่งเข้าวังบูรพา หากไม่มีเงินติดตัว จะถูกคนดูถูกได้”หญิงชราเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ทางที่เลือกเอง ก็ต้องรับผิดชอบเอง อยากแต่งเข้าวังบูรพา ไม่รู้หรือว่าจะไม่มีเงินติดตัวไป”นางหลิ่วจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อนางเฉียนที่ถูกนางหลิ่วหาเรื่องใส่ร้ายมาหลายวัน เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกโล่งอกซูชิงลั่
หรือจะบอกว่าในเส้นทางการชิงบัลลังก์ของเขา เขาไม่เคยคิดจะพึ่งพาความฝันของนางเลยเช่นนั้นหรือภายใต้เปลวเทียนสีเหลืองสลัว สีหน้าของลู่เหิงจือดูนิ่งสงบกว่าที่เคย"นี่เป็นครั้งแรกที่ความฝันของเจ้าไม่แม่นยำเช่นนั้นหรือ"ซูชิงลั่วพยักหน้า : "เจ้าค่ะ"ก่อนหน้านี้ที่นางเคยฝัน แม้ตรงกลางหรือตอนท้ายจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เบาะแสต่างๆ ล้วนแต่แม่นยำนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นถ้าหากต่อไปความฝันของนางไม่แม่นยำแล้ว เช่นนั้นในเวลาสำคัญไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยลู่เหิงจือได้ กลับกัน อาจจะทำร้ายเขาได้เช่นนั้นหรือลู่เหิงจือเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ สายตาลึกล้ำ : "ชิงลั่ว เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ใช่ว่าความฝันของเจ้าไม่แม่นยำ เพียงแต่เวลานั้นยังไม่มาถึง"ซูชิงลั่วอึ้งไปเล็กน้อย : "ท่านหมายความว่า...ยังไม่ถึงเวลาเลือกจอหงวนเช่นนั้นหรือ"ลู่เหิงจือพยักหน้า"แต่จะเป็นไปได้อย่างไร" ซูชิงลั่วเอ่ย "ที่ผ่านมา จอหงวนล้วนแต่มาจากสามอันดับแรกในขั้นเอกที่หนึ่งทั้งสิ้น ต่อให้ลู่เหยียนพลั้งพลาดในการสอบหน้าพระที่นั่ง แต่ก็ยังมีอันดับที่สอง อันดับที่สามก็ยังตกไปถึงอวี๋ซื่อชิงไม่ใช่หรือ"น้ำเสียงขอ
ลู่เหยียนปลอบเฉิงซิ่วด้วยคำหวานอยู่ครึ่งค่อนวันบอกว่าก่อนหน้าเคยรับสาวใช้สองคนเข้ามาจริง แต่ได้สั่งให้ออกไปตั้งแต่ก่อนแต่งกับนางแล้ว ก็แค่เล่นสนุก ไม่ได้คิดอื่นใดแต่ไม่เอ่ยถึงเรื่องของหลิ่วเยียนหรานเลยสักคำถึงจะเป็นเรื่องปกติ ข้างกายพี่ชายนางก็มีสาวใช้ติดตาม แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองก็เกิดรับไม่ได้ขึ้นมายิ่งไปกว่านั้นต้องมาพ่ายแพ้ให้กับซูชิงลั่วด้วยเหุตนี้ ทำให้ไม่สบอารมณ์ยิ่งนักลู่เหยียนเช็ดน้ำตาให้นาง พลางพูดด้วยความอ่อนโยน : "พวกเราเพิ่งแต่งกันได้ไม่นาน อย่าให้ท่านย่าหัวเราะเยาะเอาได้"เฉิงซิ่วถึงจะยอมสงบไม่เอาความอีกทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนต่างก็พากันเย้าคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันคู่นี้นางเหอที่อยู่บ้านสามเอ่ย : "บรรยากาศของคู่ที่เพิ่งแต่งงานนี่ช่างต่างออกไปเสียจริง ท่าทางรักกันเช่นนี้ทำให้ข้าเองยังอิจฉา"นางเฉียนคิดในใจ มีสิ่งใดน่าอิจฉากัน ไม่เคยเห็นหรืออย่างไรลู่เหิงจือและซูชิงลั่วรักกันหวานชื่นกว่านี้เสียอีกนางหลิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม : "จากที่ข้าดู คุณหนูซิ่วจะต้องเป็นดาวนำโชคของตระกูลเราแน่ ทันทีที่นางแต่งเข้ามาเหยียนเออร์ก็สอบได้อันดับหนึ่ง รอแค่สอบหน้า
อวี๋ซื่อชิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขากัดฟันกรอด : "ข้าจะเดิมพัน"*หลังจากที่ซูชิงลั่วตื่นขึ้นมาก็เห็นข้างกายตนว่างเปล่า ในใจรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาไม่น้อยช่วงหลายวันนี้ลู่เหิงจือยุ่งมาก เมือคืนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับมาเมื่อใด เช้าตรู่ขึ้นมา เขาก็ออกไปอีกแล้วเรื่องขององค์รัชทายาทเปรียบเสมือนดาบที่ลอยเคว้งอยู่ ตราบใดที่ยังไม่ตกลงมาก็จะยังวางใจไม่ได้หลังจากที่นางกินมื้อเช้าเสร็จก็ไปคาราวะหญิงชรา ได้พบกับลู่เหยียนและเฉิงซิ่วอีกครั้งลู่เหยียนได้เป็นจอหงวนเต็มตัวแล้ว แน่นอนว่าต้องมาโอ้อวดต่อหน้าซูชิงลั่วเสียหน่อยเขายังจงใจพูดขึ้นมาอีกว่า : "องค์รัชทายาทกลับมาเป็นที่รัก กลัวแต่ว่าใครบางคนจะไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเท่าใด"ทันใดนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปบนตัวซูชิงลั่วทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เวลานี้ลู่เหิงจือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับองค์รัชทายาทมุมปากลู่เหยียนเผยให้เห็นรอยยิ้ม...มีอำนาจค้ำราชสำนักแล้วเยี่ยงไร เปลี่ยนราชสมัย ก็เปลี่ยนขุนนางด้วย รอให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ จากเรื่องที่ลู่เหิงจือเคยทำก่อนหน้านี้ จะยังมีทางรอดอยู่ได้หรือนางเฉียนพลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีแม้นางจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ขอ
สภาขุนนางเงียบสงัดจนมีเพียงแค่เสียงถ่านที่กำลังมอดไหม้และเสียงพลิกกระดาษฝ่าบาททรงกริ้ว องค์รัชทายาทถูกลงโทษ ทุกคนต่างก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวังกรมราชทัณฑ์ สำนักตรวจการ ศาลต้าหลี่สอบปากคำทั้งคืนจนเสร็จสิ้น วันรุ่งขึ้นก็ส่งมาที่สภาขุนนางลู่เหิงจือเพียงแค่กวาดสายตามองดูปราดหนึ่งแล้ววางไว้ด้านข้าง ก่อนจะหันไปถามรองอัครมหาเสนาบดีฟ่านอันหมินที่นั่งอยู่ข้างๆ"องค์รัชทายาททรงเขียนฎีกามาแสดงตนหรือยัง"ฟ่านอันหมินใกล้จะหกสิบแล้ว มีเพียงแค่ดวงตาสองข้างที่พร่ามัว แต่สติยังคงชัดแจ้ง"ยังเลย"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "ท่านไปเร่งด้วยตัวเองเถอะ"ฟ่านอันหมินรีบตอบรับหลังจากนั้นลู่เหิงจือถึงจะหันไปทางรองเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เผยเจ๋อ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "พิจารณาคดีเป็นเช่นไรบ้าง"เผยเจ๋อตอบอย่างระมัดระวัง : "ล้วนแต่บอกว่าถูกใส่ร้าย ไม่มีผู้ใดยอมรับ"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย : "เปรียบเทียบบทความที่พวกเขาเขียนในยามปกติกับตอนสอบหรือยัง"เผยเจ๋อตะลึง : "ข้าจะไปเปรียบเทียบดูเดี๋ยวนี้"ลู่เหิงจือ : "หากหลิ่วเจิ้งเฉิงเปิดเผยข้อสอบจริง จะต้องมีเงินก้อนโตเข้าออก ไปตรวจสอบด้านนี้ดู"เผยเจ๋อ
ที่นางทำเช่นนี้กะทันหันจะต้องมีสาเหตุซูชิงลั่วเล่าความฝันเมื่อคืนให้เขาฟัง"เดิมทีข้าตั้งใจจะบอกท่านก่อน แต่คิดว่าท่านอยู่ในวัง เวลาไม่คอยท่า ข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อองค์รัชทายาทให้แพร่ออกไปเร็วที่สุดเป็นดี..."ลู่เหิงจือพยักหน้า พูดนิ่งๆ : "ข้าจะให้คนไปตรวจสอบ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว"ซูชิงลั่วถามด้วยความไม่เข้าใจ : "เพราะเหตุใด"ลู่เหิงจือเสียงนิ่งเรียบ : "เรื่องนี้อันตรายนัก เจ้าอย่าเข้ามาเอี่ยวเลย หาก..."ซูชิงลั่วจ้องมองเขา : "พี่สาม ท่านยังคิดอีกใช่หรือไม่ว่าหากวันใดท่านมีอันตราย ท่านจะส่งข้ากลับไปที่จินหลิงอีก"ลู่เหิงจือ : "ชิงลั่ว ข้าจำเป็นต้องปกป้องเจ้า""ท่านตั้งใจจะทำเช่นนี้จริงๆ" ซูชิงลั่วหัวเราะเบาๆ "พี่สาม ท่านฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่เข้าใจคำว่าพวกเราสามีกันคือคนคนเดียวกันหรือ"ริมฝีปากเรียวบางของลู่เหิงจือเม้มเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรซูชิงลั่วเกี่ยวคอเขา เงยหน้าขึ้นไปมองเขา : "ในเมืองหลวง ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านเอ็นดูข้าเพียงใด หากท่านมีอันตรายจริง ท่านคิดหรือว่าข้าจะหนีพ้น หรือต่อให้ข้าหนีพ้นจริง ข้างกายข้าไม่มีท่าน ท่านคิดว่าข้าจะมีความสุขหรือ"ลู่เหิงจือน้ำเสียงเ
คดีนางหลิ่วยักยอกเงินสินเดิมของซูชิงลั่วเดิมทีเป็นคดีเล็กๆ คดีหนึ่งแต่ถึงอย่างไรเงินที่นางหลิ่วยักยอกไปก็มีจำนวนถึงแสนกว่าตำลึงเงิน อีกทั้งยังมีซูชิงลั่วผู้ซึ่งเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีตีกลองฟ้องร้องด้วยตนเอง จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหมู่ชาวบ้านนางหลิ่วและองค์รัชทายาทนับว่ามีความสัมพันธ์เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทมากเท่าใดตั้งแต่แรกกระทั่งกรมราชทัณฑ์สืบเจอว่าหลิ่วเจิ้งเฉิงส่งธนบัตรจำนวนมากไปยังวังบูรพาที่องค์รัชทายาทอยู่ไม่รู้ว่าผู้ใดนึกขึ้นมาได้ก่อน พลันพูดออกมาประโยคหนึ่ง "ธนบัตรเหล่านี้คงไม่ใช่ที่นางหลิ่วยักยอกมาจากฮูหยินอัครมหาเสนาบดีหรอกกระมัง"หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นพันชั้นไม่กี่วันผ่านไปก็มีธนาคารมาฟ้องว่านางหลิ่วยืมเงินไปแล้วไม่คืน และยังมีคดีพระชายารองขององค์รัชทายาทลู่หมิงซือปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงจนมีผู้ถึงแก่ชีวิตในท้องตลาดพากันวิจารณ์ไปต่างๆ นานา"เกรงว่าคงจะไม่เพียงแค่เงินที่เอามาจากฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ไม่แน่อาจยังมีเงินที่ได้จากการขายข้อสอบอีก""องค์รัชทายาทเป็นถึงผู้สืบทอดราชวงศ์ จ