ลู่เหยียนปลอบเฉิงซิ่วด้วยคำหวานอยู่ครึ่งค่อนวันบอกว่าก่อนหน้าเคยรับสาวใช้สองคนเข้ามาจริง แต่ได้สั่งให้ออกไปตั้งแต่ก่อนแต่งกับนางแล้ว ก็แค่เล่นสนุก ไม่ได้คิดอื่นใดแต่ไม่เอ่ยถึงเรื่องของหลิ่วเยียนหรานเลยสักคำถึงจะเป็นเรื่องปกติ ข้างกายพี่ชายนางก็มีสาวใช้ติดตาม แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองก็เกิดรับไม่ได้ขึ้นมายิ่งไปกว่านั้นต้องมาพ่ายแพ้ให้กับซูชิงลั่วด้วยเหุตนี้ ทำให้ไม่สบอารมณ์ยิ่งนักลู่เหยียนเช็ดน้ำตาให้นาง พลางพูดด้วยความอ่อนโยน : "พวกเราเพิ่งแต่งกันได้ไม่นาน อย่าให้ท่านย่าหัวเราะเยาะเอาได้"เฉิงซิ่วถึงจะยอมสงบไม่เอาความอีกทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนต่างก็พากันเย้าคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันคู่นี้นางเหอที่อยู่บ้านสามเอ่ย : "บรรยากาศของคู่ที่เพิ่งแต่งงานนี่ช่างต่างออกไปเสียจริง ท่าทางรักกันเช่นนี้ทำให้ข้าเองยังอิจฉา"นางเฉียนคิดในใจ มีสิ่งใดน่าอิจฉากัน ไม่เคยเห็นหรืออย่างไรลู่เหิงจือและซูชิงลั่วรักกันหวานชื่นกว่านี้เสียอีกนางหลิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม : "จากที่ข้าดู คุณหนูซิ่วจะต้องเป็นดาวนำโชคของตระกูลเราแน่ ทันทีที่นางแต่งเข้ามาเหยียนเออร์ก็สอบได้อันดับหนึ่ง รอแค่สอบหน้า
อวี๋ซื่อชิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขากัดฟันกรอด : "ข้าจะเดิมพัน"*หลังจากที่ซูชิงลั่วตื่นขึ้นมาก็เห็นข้างกายตนว่างเปล่า ในใจรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาไม่น้อยช่วงหลายวันนี้ลู่เหิงจือยุ่งมาก เมือคืนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับมาเมื่อใด เช้าตรู่ขึ้นมา เขาก็ออกไปอีกแล้วเรื่องขององค์รัชทายาทเปรียบเสมือนดาบที่ลอยเคว้งอยู่ ตราบใดที่ยังไม่ตกลงมาก็จะยังวางใจไม่ได้หลังจากที่นางกินมื้อเช้าเสร็จก็ไปคาราวะหญิงชรา ได้พบกับลู่เหยียนและเฉิงซิ่วอีกครั้งลู่เหยียนได้เป็นจอหงวนเต็มตัวแล้ว แน่นอนว่าต้องมาโอ้อวดต่อหน้าซูชิงลั่วเสียหน่อยเขายังจงใจพูดขึ้นมาอีกว่า : "องค์รัชทายาทกลับมาเป็นที่รัก กลัวแต่ว่าใครบางคนจะไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเท่าใด"ทันใดนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปบนตัวซูชิงลั่วทุกคนต่างก็รู้ดีว่า เวลานี้ลู่เหิงจือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับองค์รัชทายาทมุมปากลู่เหยียนเผยให้เห็นรอยยิ้ม...มีอำนาจค้ำราชสำนักแล้วเยี่ยงไร เปลี่ยนราชสมัย ก็เปลี่ยนขุนนางด้วย รอให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ จากเรื่องที่ลู่เหิงจือเคยทำก่อนหน้านี้ จะยังมีทางรอดอยู่ได้หรือนางเฉียนพลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีแม้นางจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ขอ
สภาขุนนางเงียบสงัดจนมีเพียงแค่เสียงถ่านที่กำลังมอดไหม้และเสียงพลิกกระดาษฝ่าบาททรงกริ้ว องค์รัชทายาทถูกลงโทษ ทุกคนต่างก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวังกรมราชทัณฑ์ สำนักตรวจการ ศาลต้าหลี่สอบปากคำทั้งคืนจนเสร็จสิ้น วันรุ่งขึ้นก็ส่งมาที่สภาขุนนางลู่เหิงจือเพียงแค่กวาดสายตามองดูปราดหนึ่งแล้ววางไว้ด้านข้าง ก่อนจะหันไปถามรองอัครมหาเสนาบดีฟ่านอันหมินที่นั่งอยู่ข้างๆ"องค์รัชทายาททรงเขียนฎีกามาแสดงตนหรือยัง"ฟ่านอันหมินใกล้จะหกสิบแล้ว มีเพียงแค่ดวงตาสองข้างที่พร่ามัว แต่สติยังคงชัดแจ้ง"ยังเลย"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "ท่านไปเร่งด้วยตัวเองเถอะ"ฟ่านอันหมินรีบตอบรับหลังจากนั้นลู่เหิงจือถึงจะหันไปทางรองเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เผยเจ๋อ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "พิจารณาคดีเป็นเช่นไรบ้าง"เผยเจ๋อตอบอย่างระมัดระวัง : "ล้วนแต่บอกว่าถูกใส่ร้าย ไม่มีผู้ใดยอมรับ"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย : "เปรียบเทียบบทความที่พวกเขาเขียนในยามปกติกับตอนสอบหรือยัง"เผยเจ๋อตะลึง : "ข้าจะไปเปรียบเทียบดูเดี๋ยวนี้"ลู่เหิงจือ : "หากหลิ่วเจิ้งเฉิงเปิดเผยข้อสอบจริง จะต้องมีเงินก้อนโตเข้าออก ไปตรวจสอบด้านนี้ดู"เผยเจ๋อ
ที่นางทำเช่นนี้กะทันหันจะต้องมีสาเหตุซูชิงลั่วเล่าความฝันเมื่อคืนให้เขาฟัง"เดิมทีข้าตั้งใจจะบอกท่านก่อน แต่คิดว่าท่านอยู่ในวัง เวลาไม่คอยท่า ข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อองค์รัชทายาทให้แพร่ออกไปเร็วที่สุดเป็นดี..."ลู่เหิงจือพยักหน้า พูดนิ่งๆ : "ข้าจะให้คนไปตรวจสอบ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว"ซูชิงลั่วถามด้วยความไม่เข้าใจ : "เพราะเหตุใด"ลู่เหิงจือเสียงนิ่งเรียบ : "เรื่องนี้อันตรายนัก เจ้าอย่าเข้ามาเอี่ยวเลย หาก..."ซูชิงลั่วจ้องมองเขา : "พี่สาม ท่านยังคิดอีกใช่หรือไม่ว่าหากวันใดท่านมีอันตราย ท่านจะส่งข้ากลับไปที่จินหลิงอีก"ลู่เหิงจือ : "ชิงลั่ว ข้าจำเป็นต้องปกป้องเจ้า""ท่านตั้งใจจะทำเช่นนี้จริงๆ" ซูชิงลั่วหัวเราะเบาๆ "พี่สาม ท่านฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่เข้าใจคำว่าพวกเราสามีกันคือคนคนเดียวกันหรือ"ริมฝีปากเรียวบางของลู่เหิงจือเม้มเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรซูชิงลั่วเกี่ยวคอเขา เงยหน้าขึ้นไปมองเขา : "ในเมืองหลวง ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านเอ็นดูข้าเพียงใด หากท่านมีอันตรายจริง ท่านคิดหรือว่าข้าจะหนีพ้น หรือต่อให้ข้าหนีพ้นจริง ข้างกายข้าไม่มีท่าน ท่านคิดว่าข้าจะมีความสุขหรือ"ลู่เหิงจือน้ำเสียงเ
คดีนางหลิ่วยักยอกเงินสินเดิมของซูชิงลั่วเดิมทีเป็นคดีเล็กๆ คดีหนึ่งแต่ถึงอย่างไรเงินที่นางหลิ่วยักยอกไปก็มีจำนวนถึงแสนกว่าตำลึงเงิน อีกทั้งยังมีซูชิงลั่วผู้ซึ่งเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีตีกลองฟ้องร้องด้วยตนเอง จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหมู่ชาวบ้านนางหลิ่วและองค์รัชทายาทนับว่ามีความสัมพันธ์เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทมากเท่าใดตั้งแต่แรกกระทั่งกรมราชทัณฑ์สืบเจอว่าหลิ่วเจิ้งเฉิงส่งธนบัตรจำนวนมากไปยังวังบูรพาที่องค์รัชทายาทอยู่ไม่รู้ว่าผู้ใดนึกขึ้นมาได้ก่อน พลันพูดออกมาประโยคหนึ่ง "ธนบัตรเหล่านี้คงไม่ใช่ที่นางหลิ่วยักยอกมาจากฮูหยินอัครมหาเสนาบดีหรอกกระมัง"หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นพันชั้นไม่กี่วันผ่านไปก็มีธนาคารมาฟ้องว่านางหลิ่วยืมเงินไปแล้วไม่คืน และยังมีคดีพระชายารองขององค์รัชทายาทลู่หมิงซือปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงจนมีผู้ถึงแก่ชีวิตในท้องตลาดพากันวิจารณ์ไปต่างๆ นานา"เกรงว่าคงจะไม่เพียงแค่เงินที่เอามาจากฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ไม่แน่อาจยังมีเงินที่ได้จากการขายข้อสอบอีก""องค์รัชทายาทเป็นถึงผู้สืบทอดราชวงศ์ จ
คดีภาษีเจียงหนานต้องเป็นฝีมือของเขาแน่โจมตีองค์รัชทายาทเข้าตรงจุดอย่างจังในช่วงเวลาสำคัญเขาอยู่ฝั่งฉีอ๋องตั้งแต่เมื่อใดกันลู่เหิงจือมองเขากลับด้วยความสงบนิ่ง ไม่ได้หลบสายตาหลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ เขาก็ก้าวมาข้างหน้ากะทันหัน คุกเข่าลงไปที่พื้น : "กระหม่อมเองก็ขอให้ถอดถอนองค์รัชทายาทเช่นกัน"น้ำเสียงเย็นเยียบ เด็ดขาดทรงพลังทุกคนตกตะลึงตลอดเวลาครึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ในฐานะอัครมหาเสนาบดีผู้ซึ่งเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของฮ่องเต้ไม่เคยแสดงความเห็นเรื่ององค์รัชทายาทมาก่อนเลยสักครั้ง ทำให้ขุนนางไม่น้อยต่างก็ตั้งตารอยามนี้ ทันทีที่เข้าเอ่ยปากพูดดอกมา ขุนนางข้าราชบริพารทั้งหลายจึงเห็นตรงกันว่าเป็นความต้องการของฮ่องเต้ จึงพากันคุกเข่าลงไป ขอร้องให้ปลดองค์รัชทายาทฮ่องเต้กระแอมแรงๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนจะทรงตรัส : "เรื่ององค์รัชทายาทเกี่ยวข้องกับรากฐานประเทศ วันพรุ่งค่อยหารืออีกครั้ง"เขาทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคนี้ แล้วกวาดสายตาไปมองลู่เหิงจือด้วยความเยือกเย็นอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังจากไปวังบูรพาตกอยู่ในความเสี่ยง ใครก็คิดไม่ถึงว่าเมิ่งจี้ ซิ่นกั๋วกงที่อาวุโสมากแล้วซึ่งไม่ได้เข้าวังมาเป็น
หลังจากที่องค์รัชทายาทกลับไปยังวังบูรพา ก่อนอื่นก็จัดการกับพี่สาวของเฉิงซิ่ว ลดนางเป็นสนมเหลียงหยวน และไม่อนุญาตให้ติดต่อกับเฉิงซิ่วอีกก่อนจะตบหน้าลู่หมิงซือไปหนึ่งที : "เจ้าช่างแพศยานัก เพิ่งจะแต่งเข้ามาไม่กี่วัน กล้าปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงจนบีบให้ชาวบ้านตาย บังอาจยิ่งนัก !"ลู่หมิงซือทั้งเสียใจทั้งอับอาย ร้องไห้ฟูมฟายไม่กล้าพูดสิ่งใดมาก ความเกลียดชังที่มีต่อซูชิงลั่วฝังลึกยิ่งกว่าเดิมเรื่องนี้ตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทโดนลงโทษ ก็ดูเหมือนจะได้รับบทสรุปลู่เหยียนและนางหลิ่วต่างก็ถูกปล่อยออกมา ลู่เหยียนถูกยึดตำแหน่ง และไม่สามารถลงสอบได้อีกทั้งชั่วชีวิตนี้ ส่วนนางหลิ่วถูกบังคับให้เขียนสัญญาคืนเงินส่วนหลิ่วเจิ้งเฉิง ถูกบีบให้ลาออกจากราชการ แล้วไปจากเมืองหลวงอีกครั้งหลังจากที่นางหลิ่วกลับเข้าจวน ย่อมอดร้องคร่ำครวญกับหญิงชราไม่ได้ : "ไม่รู้ว่าท่านสามคิดสิ่งใดอยู่ ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างเดียวไม่ว่า แม้แต่ตำแหน่งของเหยียนเออร์ก็..."หญิงชราเสียงกร้าว : "เจ้ายังไม่รู้จักพออีกใช่หรือไม่"นางหลิ่วจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบหลังจากที่นางหลิ่วกลับไปที่เรือน ก็นำความโกรธไประบายบนตัวเฉิงซิ่ว
อากาศหนาวเย็น เส้นผมของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่ ทันทีที่ออกไปก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็งซูชิงลั่วดึงมือเขาเอาไว้ : "พี่สาม ข้าออกไปสั่งสอนเขาเอง ท่านอย่าปล่อยให้ตัวเองหนาวอยู่เลย"ลู่เหิงจือค่อยๆ แกะมือนางออกอย่างช้าๆ พูดเสียงเรียบ : "ข้าไปเอง"ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ออกไป เสียงด่าก็เงียบไปเสียก่อนซ่งเหวินมารายงานว่านางหลิ่วกลัวลู่เหยียนออกมาหาเรื่องเดือดร้อน ไม่รอให้ลู่เหิงจือลงมือก็เรียกคนมาลากลู่เหยียนกลับไปแล้วลู่เหิงจือแค่นหัวเราะ : "เดิมข้าไม่ได้อยากจะเด็ดขาดเช่นนี้ แต่เขากลับกล้าพูดเรื่องความแค้นที่โดนแย่งภรรยากับข้า"ซูชิงลั่วก้มหน้าอยู่เงียบๆ ไม่กล้าพูดสิ่งใดลู่เหิงจือเรียกโฉวกว่างมา พูดเสียงขรึม : "ทำลายเขาทิ้งเสีย"โฉวกว่างนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ แล้วตอบรับกลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วรีบจูงมือลู่เหิงจือมาหน้าเตาถ่าน ค่อยๆ เช็ดผมให้เขา ครุ่นคิดอยู่สักพักสุดท้ายก็อดถามไม่ได้ : "ทำลายเขาทิ้งหมายความว่า..."ความหมายเดียวกับที่นางอ่านเจอในหนังสือนิยายหรือไม่ลู่เหิงจือ : "ความหมายเดียวกับที่เจ้าคิด"“……”ลู่เหิงจือ : "เขาจะได้ไม่ต้องเฝ้าคำนึงถึงเจ้าอยู่เรื่อยๆ อีก"