หลังจากที่องค์รัชทายาทกลับไปยังวังบูรพา ก่อนอื่นก็จัดการกับพี่สาวของเฉิงซิ่ว ลดนางเป็นสนมเหลียงหยวน และไม่อนุญาตให้ติดต่อกับเฉิงซิ่วอีกก่อนจะตบหน้าลู่หมิงซือไปหนึ่งที : "เจ้าช่างแพศยานัก เพิ่งจะแต่งเข้ามาไม่กี่วัน กล้าปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงจนบีบให้ชาวบ้านตาย บังอาจยิ่งนัก !"ลู่หมิงซือทั้งเสียใจทั้งอับอาย ร้องไห้ฟูมฟายไม่กล้าพูดสิ่งใดมาก ความเกลียดชังที่มีต่อซูชิงลั่วฝังลึกยิ่งกว่าเดิมเรื่องนี้ตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทโดนลงโทษ ก็ดูเหมือนจะได้รับบทสรุปลู่เหยียนและนางหลิ่วต่างก็ถูกปล่อยออกมา ลู่เหยียนถูกยึดตำแหน่ง และไม่สามารถลงสอบได้อีกทั้งชั่วชีวิตนี้ ส่วนนางหลิ่วถูกบังคับให้เขียนสัญญาคืนเงินส่วนหลิ่วเจิ้งเฉิง ถูกบีบให้ลาออกจากราชการ แล้วไปจากเมืองหลวงอีกครั้งหลังจากที่นางหลิ่วกลับเข้าจวน ย่อมอดร้องคร่ำครวญกับหญิงชราไม่ได้ : "ไม่รู้ว่าท่านสามคิดสิ่งใดอยู่ ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างเดียวไม่ว่า แม้แต่ตำแหน่งของเหยียนเออร์ก็..."หญิงชราเสียงกร้าว : "เจ้ายังไม่รู้จักพออีกใช่หรือไม่"นางหลิ่วจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบหลังจากที่นางหลิ่วกลับไปที่เรือน ก็นำความโกรธไประบายบนตัวเฉิงซิ่ว
อากาศหนาวเย็น เส้นผมของเขายังมีหยดน้ำเกาะอยู่ ทันทีที่ออกไปก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็งซูชิงลั่วดึงมือเขาเอาไว้ : "พี่สาม ข้าออกไปสั่งสอนเขาเอง ท่านอย่าปล่อยให้ตัวเองหนาวอยู่เลย"ลู่เหิงจือค่อยๆ แกะมือนางออกอย่างช้าๆ พูดเสียงเรียบ : "ข้าไปเอง"ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ออกไป เสียงด่าก็เงียบไปเสียก่อนซ่งเหวินมารายงานว่านางหลิ่วกลัวลู่เหยียนออกมาหาเรื่องเดือดร้อน ไม่รอให้ลู่เหิงจือลงมือก็เรียกคนมาลากลู่เหยียนกลับไปแล้วลู่เหิงจือแค่นหัวเราะ : "เดิมข้าไม่ได้อยากจะเด็ดขาดเช่นนี้ แต่เขากลับกล้าพูดเรื่องความแค้นที่โดนแย่งภรรยากับข้า"ซูชิงลั่วก้มหน้าอยู่เงียบๆ ไม่กล้าพูดสิ่งใดลู่เหิงจือเรียกโฉวกว่างมา พูดเสียงขรึม : "ทำลายเขาทิ้งเสีย"โฉวกว่างนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ แล้วตอบรับกลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วรีบจูงมือลู่เหิงจือมาหน้าเตาถ่าน ค่อยๆ เช็ดผมให้เขา ครุ่นคิดอยู่สักพักสุดท้ายก็อดถามไม่ได้ : "ทำลายเขาทิ้งหมายความว่า..."ความหมายเดียวกับที่นางอ่านเจอในหนังสือนิยายหรือไม่ลู่เหิงจือ : "ความหมายเดียวกับที่เจ้าคิด"“……”ลู่เหิงจือ : "เขาจะได้ไม่ต้องเฝ้าคำนึงถึงเจ้าอยู่เรื่อยๆ อีก"
ภายในอุโบสถพลันเงียบสงัดเวลานี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี แสงแดดเจิดจ้า ถูกกลุ่มเมฆขาวก้อนหนาบดบังเป็นระยะแสงแดดส่องลงมาทางหน้าต่างที่สูงและแคบ รูปปั้นอสุราขนาดยักษ์ปรากฏให้เห็นวอมๆ แวมๆ อยู่ภายใต้แสงที่ริบหรี่น้ำเสียงของลู่เหิงจือสะท้อนอยู่ในอุโบสถที่กว้างใหญ่"ทายผิดแล้ว ข้าไม่ใช่"เขายืนอยู่กับที่ มององค์รัชทายาทจากที่สูงกว่าลงไปในเชิงเหยียดหยาม"แต่ท่านพ่อของข้าตายด้วยเหตุนี้ น้องสาวของข้าหายสาบสูญไปเพราะเหตุนี้ ชาวบ้านยี่สิบกว่าชีวิตในหมู่บ้านสกุลกูต้องตายอย่างอยุติธรรมเพราะประโยคเดียว เทียบกันแล้ว ความไม่เป็นธรรมที่องค์รัชทายาทได้รับดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย"องค์รัชทายาทจ้องเขาเขม็ง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเหมือนคำราม : "พวกชาวบ้านต้อยต่ำเช่นนั้นมีสิทธิ์อะไรมาเทียบกับข้า ข้าคือองค์รัชทายาทที่อยู่ภายใต้คนเพียงผู้เดียวและอยู่เหนือผู้คนเป็นหมื่น พวกเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้ามาวิจารณ์ข้าก็สมควรตายแล้ว ข้าผิดอันใด"ลู่เหิงจือพูดตอกย้ำทีละคำ : "เช่นนั้นยามนี้ท่านจะพูดเรื่องถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมไปใย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงวิจารณ์ฝ่าบาท ไม่สมควรตายด้วยหรอกหรือ"องค์
"สิ่งที่ข้าต้องการ คือให้พี่รองใช้ตัวท่านเปิดประตูการชิงบัลลังก์บานนี้แทนข้า"ห้องข้างๆ ดูเหมือนจะมีเสียงร้องไห้ฟูมฟายด้วยความโศกเศร้าของหญิงสาวดังขึ้นมาเซี่ยถิงอวี่จับมือของเซี่ยถิงจางไว้ แล้วเอ่ย : "ข้าไม่บังคับพี่รอง พี่รองคิดให้ดีๆ มีเพียงแค่พี่รองตาย หมอถึงจะรีบเปิดประตูเข้ามาทันที"เขาพูดจบก็หันหลังเดินจากไปเซี่ยถิงจางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองก็พลันส่งเสียงหัวเราะออกมาแรกเริ่มเสียงหัวเราะยังไม่ดังมาก เพียงแต่ฟังดูสยดสยองจนน่าขนลุก หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกำลังจะคลุ้มคลั่ง ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็รู้สึกผวาไม่รู้ว่าหัวเราะไปนานเพียงใด จากนั้นเขาก็สั่งให้คนด้านนอกอุ้มพระโอรสเข้ามาพระโอรสยังไม่ครบหนึ่งปี ยามนี้กำลังนอนหลับใหลไม่มีสติเพราะฤทธิ์ไข้ ลมหายใจรวยรินนี่คือบุตรชายคนที่เขารักที่สุดอดีตสนมเสียนเฟยขององค์รัชทายาทร้องไห้พลางเอ่ยถามเขาว่าจะทำเช่นไรดีเขาลูบใบหน้าเล็กๆ ของพระโอรส พลางตบหลังเสียนเฟยเบาๆ : "ต้องไม่เป็นไร ข้าจะสั่งให้คนไปเรียกหมอหลวงมา"อดีตสนมเสียนเฟยน้ำตาไหลพราก หากมีหมอหลวงจริงคงต้องมาตั้งนานแล้วองค์รัชทายาทกุมมื
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เหิงจือพาซูชิงลั่วมากราบไหว้พ่อแม่ ก่อนหน้านี้ล้วนแต่ไปที่ศาลบรรพบุรุษตลอดซูชิงลั่วโค้งคำนับตามเขา ก่อนจะดื่มเหล้าแสดงความเคารพในอากาศที่หนาวเข้ากระดูก น้ำเสียงของเขาให้ความรู้สึกเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก"องค์รัชทายาทปลิดชีพพระองค์เองแล้ว พวกท่านอยู่บนฟ้าได้เห็นหรือยัง"ซูชิงลั่วในเวลานี้ราวกับรู้สึกไปกับเขาด้วย โศกเศร้าจนสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวภายใน กุมมือที่เย็นชืดของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว แล้วประสานมือกับเขาลู่เหิงจือกุมมือนางกลับเขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ต้องการนั่งข้างพ่อกับแม่อยู่เงียบๆ สักพักบนเขาอากาศหนาว เขากลัวว่าซูชิงลั่วจะทนไม่ได้ เขาจึงนั่งบนพื้นแล้วอุ้มซูชิงลั่วเข้ามากอดไว้บนตัก ก่อนจะเท้าคางลงไปบนไหล่นางเบาๆท่าทางราวกับสัตว์ร้ายตัวน้อยที่กำลังบาดเจ็บซูชิงลั่วยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเขาเบาๆนางไม่เคยถามลู่เหิงจือถึงสาเหตุที่ต้องการจะล้มองค์รัชทายาทมาก่อน ทว่าในเวลานี้ นางอยากรู้เหลือเกินอยากรู้อดีตเหล่านั้นที่นางไม่เคยสัมผัส อยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขาเช่นนั้นนางก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาเขาได้ดียิ่งขึ้นนางหันไปมองเขา เอ่ยถาม : "พี่สาม
หยดน้ำตาที่อุ่นร้อนไหลอาบข้างแก้มของซูชิงลั่วคือน้ำตาของลู่เหิงจือซูชิงลั่วเจ็บปวดรวดร้าว ภาพตรงหน้าพลันเลือนรางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางหันไปตั้งใจจะมองเขา ทว่ากลับถูกมือที่เย็นชืดของเขาขวางไว้มือของเขาดันอยู่ที่ข้างแก้มของนาง ไม่ให้นางหันไป"อย่ามองข้า"เขาในเวลานี้ทั้งอ่อนแอ ทุกข์ทรมาน ไร้ความสามารถ หมดสภาพลู่เหิงจือไม่เคยเผยด้านที่อ่อนแอของตนเองต่อหน้าผู้ใดมาก่อนยิ่งไม่มีทางยอมให้ตนดูน่าอดสูเช่นนี้ต่อหน้าซูชิงลั่วซูชิงลั่วกลับคว้ามือของเขาไว้ ออกแรงดึงออกน้ำเสียงของลู่เหิงจืออึมครึม คล้ายจะห้ามปราม : "ชิงลั่ว...""ข้าจะดู" น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบทว่ากลับมีพลังนางค่อยๆ แกะนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว แต่เขาไม่ยอม แรงบนมือของนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"พี่สาม" นางเอ่ย "ข้าต้องการมองหน้าท่าน"ลู่เหิงจือกลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ สุดท้ายก็ปล่อยมือ ทว่าทันทีที่นางหันมา เขากลับเบือนหน้าไปอีกทางซูชิงลั่วเห็นคราบน้ำตาบนแก้มและหางตาที่แดงก่ำของเขานางลุกขึ้นไปนั่งคุกเข่าลงข้างกายเขา สองมือประครองใบหน้าของเขา แล้วจูบที่หางตาของเขาเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "พี่สาม ไม่ว่าท่านจะเ
ซูชิงลั่วอยู่เป็นเพื่อนลู่เหิงจือบนเขาตลอดทั้งเช้าอารมณ์ความหดหู่ของเขาสุดท้ายก็มลายหายไปเกือบหมด ทั้งยังมีกะจิตกะใจมาพูดจาหยอกล้อนางหลายประโยคหลังจากเวลาล่วงเลยไปได้สักพัก ทั้งสองก็จูงมือกันลงมาล่างเขาท่าเสวี่ยรออยู่แต่แรกแล้ว มันเดินเข้ามาข้างกายซูชิงลั่วด้วยความเชื่อง แล้วคลอเคลียแขนเสื้อของนาง หลังจากนั้นก็รีบเดินไปข้างรถม้า ราวกับว่าจะผูกบังเหียนรถเข้ากับตนเองเสียเดี๋ยวนั้นซูชิงลั่วลูบแผงคอของมัน พลางชมมันว่าเชื่อฟังรู้ความ อีกทั้งยังพูดพึมพำต่อ : "ดูเหมือนท่าเสวี่ยจะไม่ได้กินข้าวโพดปิ้งมานานมากแล้ว""ฮี่" ท่าเสวี่ยส่งเสียงร้องแสดงออกว่าเห็นด้วยลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "ที่จวนปิ้งไม่ได้หรือ"ซูชิงลั่วพูดอย่างจนปัญญา : "ท่านไม่รู้เสียแล้ว เจ้ามาตัวนี้ช่างเลือกนัก ในจวนไม่สามารถก่อกองไฟได้ ข้าวโพดที่ปิ้งออกมาความร้อนไม่ถึง มันไม่กินแม้แต่คำเดียว"ท่าเสวี่ยพ่นลมออกทางจมูกยาวๆ สองที ดูเหมือนจะไม่ชอบข้าวโพดปิ้งในจวนเสียเหลือเกินซูชิงลั่วอดขำไม่ได้ลู่เหิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย : "อีกสองวัน พวกเราไปเปลี่ยนบรรยากาศที่บ่อน้ำพุร้อนในบ้านพักนอกเมืองกัน เรียกติ้งอ๋อง
เลือกอยู่ครึ่งค่อนวัน ซูชิงลั่วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ระหว่างปิ่นสองด้ามลู่เหิงจือหยิบมาเพิ่มอีกด้าม : "ข้าว่าอันนี้ก็ไม่เลว ยังมีด้ามนั้น...เอาไปให้หมดเลยเถอะ"ซูชิงลั่วมองเขา : "จะซื้อมากมายเช่นนี้ไปใย"ลู่เหิงจือหลุบตาลง : "เจ้าชอบใช้ที่ข้ามอบให้ไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องเอาไปสักสิบกว่าด้ามถึงจะมีให้พอเปลี่ยน"ซูชิงลั่วก้มลงมองดูปิ่นในมือของตน พูดเสียงเบา : "ก็ไม่จำเป็นต้องมากเช่นนั้น...""จำเป็น" ลู่เหิงจือเสียงต่ำ "ข้าอยากเห็น ใส่ให้ข้าดู ดีหรือไม่""เจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วขานรับด้วยความเขินอายลู่เหิงจือมองนางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโบกมือเรียกเถ้าแก่เนี้ยให้นำต่างหูและกำไลข้อมือออกมา แล้วเลือกอย่างละหกคู่ จากนั้นถึงจะกลับไประหว่างนั่งรถม้ากลับไป ซูชิงลั่วมองดูกล่องเครื่องประดับทำจากไม้ที่วางกองคล้ายภูเขาลูกเล็กๆ อยู่ด้านข้าง มุมปากที่ยกขึ้นยังไม่ตกลงมาเลยหลังจากกลับไปถึงบ้าน ลู่เหิงจือได้รับแจ้งว่าฝ่าบาททรงประชวรอย่างหนัก จึงรีบเข้าวังทันทีส่วนซูชิงลั่วก็เรียกจื๋อหยวนมา นำของที่ลู่เหิงจือมอบให้แต่ละชิ้นไปเก็บไว้อย่างดี วาดภาพตัวอย่างอยู่ทั้งคืน เพื่อจดลงไปในสมุดบันทึกฝีมือการวาดข