ซูชิงลั่วลืมตาขึ้น มองไปยังเจียงหมัวมัวด้วยสีหน้าสงบนิ่งเจียงหมัวมัวพูดเสียงทุ้มต่ำว่า "รอให้เหิงจือกลับมาก่อน ข้าจะไปบอกเขาเอง"เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นมาในขณะนั้น"จะพูดอะไร?" ลู่เหิงจือเดินเข้ามาในห้องเขาไม่เห็นซูชิงลั่วอยู่ในห้องหลังจากกลับมา เมื่อถามจึงรู้ว่านางมาที่เรือนของเจียงหมัวมัว เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ตรวจสอบใบสั่งยา จึงรีบมาด้วยตัวเองเมื่อเข้ามาในลานกว้าง ก็พบว่าลี่ว์เหมยคุกเข่าอยู่ตรงบริเวณลานกว้าง ซูชิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ สีหน้าเรียบเฉย แต่เจียงหมัวมัวกลับปรากฏสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นเขาเข้ามา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ แค่เหลือบมองเขาอย่างเงียบๆรู้สึกราวกับมหัตภัยโจมตีโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าตนเองโดนโกรธโดยไม่รู้ตัว ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่เขาเดินไปหานาง แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า "เกิดอะไรขึ้น ทำไมฮูหยินโกรธถึงเพียงนี้?"ซูชิงลั่วหันเหลือบมองจื๋อหยวน จื๋อหยวนจึงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังลู่เหิงจือหันมองเจียงหมัวมัว แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “หมัวมัวอยู่ข้างกายข้ามาตลอดหลายปี เจ้ารู้ดีว่าข้าจัดก
ความหึงหวงเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งในการหย่าร้างแน่นอนว่าลู่เหิงจือย่อมไม่หย่ากับนาง แต่หากข่าวแพร่สะพัดออกไปชื่อเสียงของนางก็คงไม่ดีนักแต่แม้จะถูกกล่าวหาว่าหึงหวง แล้วจะอย่างไรซูชิงลั่วกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของลู่เหิงจือ "ชิงลั่วเคยเกลี่ยกล่อมให้ข้ามีอนุอยู่หลายหนแต่เป็นข้าเองที่ไม่ยอม""หากข้ายอม ข้ารอแต่งงานจนอายุปูนนี้ทำไม หมัวมัวอยู่กับข้ามาหลายปี ไม่รู้เลยหรือ"ขณะลู่เหิงจือพูด เขาจับมือของนางไว้ และใช้นิ้วหัวแม่มือถูเบาๆ ที่หลังมือของนางราวกับเป็นการปลอบโยนสมกับเป็นอัครมหาเสนาบดีจริงๆ ถึงพูดจาไพเราะเช่นนี้ซูชิงลั่ว รู้สึกสบายใจขึ้นทันทีและได้ยินลู่เหิงจือเอ่ยอย่างมีเหตุผลต่อว่า "ดูเหมือนว่าหมัวมัวจะว่างเกินไปเสียแล้ว สู้กลับไปดูแลเรือนที่ตรอกปาเถียวดีหรือไม่"เจียงหมัวมัวใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจนี่แทบจะเหมือนถูกไล่กลับเลยนะนางจ้องมองลู่เหิงจืออย่างงงงวย แต่ลู่เหิงจือไม่ได้หันมามองนาง และคอยดูแลซูชิงลั่วก้าวเดินจากไป*เมื่อกลับถึงห้อง ทันทีที่ปิดประตู ซูชิงลั่วก็รีบเอื้อมมือมากอดลู่เหิงจือ ก้มศีรษะแนบแก้มบนซอกคอของเขาอย่างเชื่อฟัง“ท่านสามีดีม
ลู่เหิงจือไม่ได้พูดเล่น เขาดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องบุตรจริงๆซูชิงลั่วนึกถึงความฝัน ในอดีตชาติเขาไม่ได้แต่งงานและไม่มีบุตรใช้ชีวิตอย่างขมขื่นนางรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจอย่างอธิบายไม่ถูกเพื่อที่จะไล่ความรู้สึกหดหู่ใจที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางจึงคิดเย้าแหย่ลู่เหิงจือ"ไม่รีบจริงๆ หรือ? อายุท่านก็ไม่น้อยแล้วนะ......"เสียงลากยาวอย่างตั้งใจลู่เหิงจือหรี่ตาลงเล็กน้อย "ใช่หรือ"“……”ทำไมนางถึงรู้สึกอันตรายเล่าลู่เหิงจือใช้ปลายนิ้วกดที่คางของนาง "ดูเหมือนเมื่อครู่ข้าเรียกฮูหยิน จึงไม่ค่อยพอใจใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นฮูหยินจะรังเกียจที่ข้าแก่ได้อย่างไร""ไม่ ไม่ ไม่เลย" ซูชิงลั่วรีบยืนยันอย่างมั่นใจลู่เหิงจือยิ้มและโอบกอดซูชิงลั่วไว้ในอ้อมแขน ชั่วครู่เขาก็เรียกชื่อนางออกมา "ชิงลั่ว""ห้ะ?"ลู่เหิงจือหลับตาลงเบาๆ “ไม่มีอะไร”ซูชิงลั่วเงยหน้ามองเขา “พี่สาม ทำไมหลายวันมานี้พี่แปลกๆ ไป หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ลู่เหิงจือเอื้อมมือลูบผมของนางเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้ากำลังเตรียมการจะลงมือกับองค์รัชทายาท”ซูชิงลั่วรู้สึกเนื้อตัวสั่นสะท้านทันทีลู่เหิงจือโอบกอดนางไว้ “น่าจะไม่กระทบ
ซ่างไฉขานตอบวันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ ลู่เหยียนก็ได้นัดเจอกับเฉิงซิ่วที่ห้องแยกในโรงเตี๊ยมแห่งเดิมเฉิงซิ่วมองเขาด้วยสีหน้าเขินอาย “พี่เหยียน พี่ไม่ตอบจดหมายข้าเลย ข้าคิดว่าพี่เกลียดข้าเสียแล้ว”"จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร" ลู่เหยียนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พร้อมดึงเฉิงซิ่วเข้ามากอด “เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังเตรียมสอบ ไม่มีเวลาให้เรื่องอื่น”เขากักใจตัวเองมาหลายวันแล้ว คราวนี้คงได้ผ่อนคลายบ้างแล้วเฉิงซิ่วเองก็ยินดีมากลู่เหยียนเอามือลูบไล้ร่างกายของนาง พลางถามว่า “คิดถึงข้าหรือไม่”เฉิงซิ่วหลับตาลงเล็กน้อย ส่งเสียงครางเบาๆ แล้วเอนตัวแนบอกเขาลู่เหยียนยิ้มและเลื่อนมือเปิดเสื้อผ้าของนาง แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่จริงหรือ? เรื่องข้อสอบนั้น…...”เฉิงซิ่วหายใจไม่ทั่วท้อง กระซิบตอบเสียงเบาว่า “จริง ข้าได้ยินกับหูตัวเอง…...”ลู่เหยียนจูบที่ใบหูของนางและถามเสียงแหบพร่าว่า “ข้อสอบคืออะไรหรือ”เฉิงซิ่วตอบว่า “คือ…...อ้าก อย่า...…”ลู่เหยียนเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า "กลัวอะไรหรือ อีกเดือนกว่าก็จะแต่งงานกันแล้ว ถึงเจ้าจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นเป็นไร"เฉิงซิ่วใบหน้าแดงก่ำ ก้มศีรษะลง ไม่พูดไม่
เดือนสิบสองต้นเดือน การสอบระดับราชสำนักที่จัดขึ้นสามปีครั้งได้เริ่มขึ้นที่เมืองหลวงแล้วเรื่องสำคัญจำนวนมากต้องหลีกทางให้กับการสอบนี้แม้แต่หญิงชราจะก็มาส่งลู่เหยียนถึงประตู และมองดูเขาขึ้นรถม้าไปซูชิงลั่วกลับหลบเลี่ยงเพื่อไม่ให้เป็นที่ข้อครหาลู่เหิงจือกลับมาจากราชสำนักก่อนเที่ยงเนื่องด้วยช่วงนี้ว่างจากงานราชการ เขาจึงมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนซูชิงลั่ว และไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาจึงเล่าเรื่องสำคัญในราชสำนักให้นางฟังด้วยครั้งนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งหลิ่วเจิ้งเฉิงรองเสนาบดีกรมธรรมการ ซึ่งก็คือบิดาของนางหลิ่วเป็นประธานการจัดสอบและทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นผู้ตรวจสอบเป็นการเฉพาะการสอบขุนนางเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกของราชวงศ์ ผู้สอบที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นลูกศิษย์ของประธานการสอบ ซึ่งแทบจะเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าองค์รัชทายาทสามารถใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมลูกศิษย์ได้แม้หลังจากหวังเหลียงฮั่นถูกเนรเทศ องค์รัชทายาทจะมีอำนาจในราชสำนักน้อยลง แต่จากเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทยังคงคาดหวังในตัวองค์รัชทายาทอยู่“แล้วหลังจากการสอบขุนนาง องค์รัชทายาทจะกลับมาผงาดอีกครั้งหรือไม่” ซูชิงลั่ว
เขาราวกับถูกผีเข้าสิง พลันความกล้าหาญก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที อยากจะถามเรื่องราวในอดีตให้กระจ่างเขาช่างกล้าฝันกลางวันจริงๆซูชิงลั่วไม่รู้ว่าความมั่นใจของลู่เหยียนมาจากที่ใดนางขมวดคิ้วเล็กน้อย “จอหงวนแล้วอย่างไร สามีเป็นจอหงวนนานแล้ว”เสียงของนางแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “เสียดายที่ไม่ได้แต่งงานกับเจ้า? เจ้าสมองมีปัญหาหรือ? ข้าน่ะเสียใจที่ในวัยเด็ก ถูกบังคับให้ตอบตกลงหมั้นหมายกับเจ้า ทำให้ข้าเสียเวลากับพี่สามไปหลายปี”ลู่เหยียนกำพัดในมือแน่นขึ้นทันทีซูชิงลั่วไม่ได้หันกลับมามองเขาอีกเลย แต่หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วจื๋อหยวนปรบมือให้กับนายหญิงของตนในใจ คิดว่าเมื่อซ่งเหวินกลับมา นางจะรีบเล่าซ่งเหวินให้ฟังทันที ไม่รู้ว่าใต้เท้าจะดีใจแค่ไหนเมื่อการสอบขุนนางสิ้นสุดลง ลู่เหิงจือก็ยุ่งมากนอกจากงานราชการประจำวันแล้ว เขายังหาเวลาในยามค่ำคืนมาพบกับเซี่ยถิงอวี่ที่ปลอมตัวมายังห้องหนังสือของตนเรื่องสำคัญพูดคุยกันพอสมควรแล้ว เซี่ยถิงอวี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยังมีบทบรรยายที่ท่านเขียนไว้อยู่อีกหรือไม่”ลู่เหิงจือ "?"เซี่ยถิงอวี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช้ได้ดีทีเดียว
หลังจากการสอบขุนนางเสร็จสิ้น บ้านตระกูลลู่ดูวุ่นวายเป็นอย่างยิ่งลู่หมิงซือและลู่เหยียนแต่งงานห่างกันเพียงสิบวันเนื่องด้วยทั้งสองเป็นบุตรธิดาของนางหลิ่ว แม้บ้านตระกูลลู่จะมีนางเฉียนคอยดูแล แต่นางหลิ่วยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมงานราวกับยังเป็นผู้ดูแลจวนอยู่ซูชิงลั่วเมื่อเข้าไปคารวะท่านยาย นางหลิ่วก็หาเรื่องติเตียนไปเรื่อยนางไม่กล้าเพ้อหวังในเงินของซูชิงลั่วอีกแล้ว คำพูดของนางยังวนเวียนอยู่แต่เรื่องขอเงินจากหญิงชราหญิงชราจึงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เหยียนเออร์เป็นลูกหลานบ้านตระกูลลู่ เมื่อเหิงจือแต่งงานก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว บ้านจะออกเงินให้ตามนั้น ส่วนหมิงซือ เมื่อลั่วชิงออกเรือน ข้ามอบเงินให้เท่าใด ก็จะให้หมิงซือเท่ากัน”นางหลิ่วแสดงสีหน้าไม่พอใจ “แต่หมิงซือเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน และกำลังจะแต่งเข้าวังบูรพา หากไม่มีเงินติดตัว จะถูกคนดูถูกได้”หญิงชราเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ทางที่เลือกเอง ก็ต้องรับผิดชอบเอง อยากแต่งเข้าวังบูรพา ไม่รู้หรือว่าจะไม่มีเงินติดตัวไป”นางหลิ่วจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อนางเฉียนที่ถูกนางหลิ่วหาเรื่องใส่ร้ายมาหลายวัน เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกโล่งอกซูชิงลั่
หรือจะบอกว่าในเส้นทางการชิงบัลลังก์ของเขา เขาไม่เคยคิดจะพึ่งพาความฝันของนางเลยเช่นนั้นหรือภายใต้เปลวเทียนสีเหลืองสลัว สีหน้าของลู่เหิงจือดูนิ่งสงบกว่าที่เคย"นี่เป็นครั้งแรกที่ความฝันของเจ้าไม่แม่นยำเช่นนั้นหรือ"ซูชิงลั่วพยักหน้า : "เจ้าค่ะ"ก่อนหน้านี้ที่นางเคยฝัน แม้ตรงกลางหรือตอนท้ายจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เบาะแสต่างๆ ล้วนแต่แม่นยำนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นถ้าหากต่อไปความฝันของนางไม่แม่นยำแล้ว เช่นนั้นในเวลาสำคัญไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยลู่เหิงจือได้ กลับกัน อาจจะทำร้ายเขาได้เช่นนั้นหรือลู่เหิงจือเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ สายตาลึกล้ำ : "ชิงลั่ว เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ใช่ว่าความฝันของเจ้าไม่แม่นยำ เพียงแต่เวลานั้นยังไม่มาถึง"ซูชิงลั่วอึ้งไปเล็กน้อย : "ท่านหมายความว่า...ยังไม่ถึงเวลาเลือกจอหงวนเช่นนั้นหรือ"ลู่เหิงจือพยักหน้า"แต่จะเป็นไปได้อย่างไร" ซูชิงลั่วเอ่ย "ที่ผ่านมา จอหงวนล้วนแต่มาจากสามอันดับแรกในขั้นเอกที่หนึ่งทั้งสิ้น ต่อให้ลู่เหยียนพลั้งพลาดในการสอบหน้าพระที่นั่ง แต่ก็ยังมีอันดับที่สอง อันดับที่สามก็ยังตกไปถึงอวี๋ซื่อชิงไม่ใช่หรือ"น้ำเสียงขอ