ม้าเหงื่อโลหิตกินข้าวโพดปิ้งไปสิบกว่าฝัก ในที่สุดก็คลอเคลียที่แขนของซูชิงลั่วด้วยความพอใจ ก่อนจะฟุบลงข้างนางด้วยความเชื่องซูชิงลั่วลูบแผงคอให้มัน พลางพูดกับลู่เหิงจือ : "ต่อไปมันจะเป็นม้าของพวกเราแล้ว พวกเราตั้งชื่อให้มันเถอะ"น้ำเสียงของลู่เหิงจือนิ่งเรียบ : "เรียกมันว่าม้าช่างประจบ"“……”ซูชิงลั่วไม่ยอม : "มันช่างประจบเช่นไร มันออกจะเชื่อฟังว่าง่าย เช่นนี้เรียกมันว่าเจ้าเด็กดี ดีหรือไม่""เด็กดีตรงไหน" สีหน้าของลู่เหิงจือมองซูชิงลั่วคล้ายกับกำลังบ่งบอกว่า "สายตาเจ้าใช้ไม่ได้เอาเสียเลย" ก่อนจะกวาดสายตาไปมองม้าเหงื่อโลหิตปราดหนึ่ง "อีกอย่างมันเป็นม้าตัวผู้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเรียกมันว่าเจ้าเด็กดี"ดูเหมือนเพื่อจะสนับสนุนคำพูดของลู่เหิงจือ เจ้าม้าเหงื่อโลหิตส่งเสียงร้องยาวหนึ่งที แสดงออกว่าตนไม่ยินยอมให้เรียกชื่อเจ้าเด็กดีนี้จริงๆ"เจ้าก็ช่างเลือกเหมือนกันนี่" ซูชิงลั่วลูบม้าเหงื่อโลหิตเบาๆ นึกถึงท่าทางที่มันย่ำบนหิมะแล้วยืนตรงอยู่นอกกระโจมเมื่อครู่นี้ จึงพูดขึ้นมา : "เช่นนั้นก็ชื่อท่าเสวี่ยที่แปลว่าย่ำหิมะแล้วกัน"เจ้าม้าเหงื่อโลหิตน่าจะชอบชื่อนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ได้ปฏิเสธอีก ทั้
คำนวณเวลาที่นายหญิงเฒ่าน่าจะใกล้ตื่น ซูชิงลั่วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่หญิงชรา แน่นอนว่าก่อนไป นางถอดถุงหอมที่พกติดตัวไว้ตลอดออกด้วยความรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจขึ้นอีกหญิงชราเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพิ่งจะพูดคุยกับนางได้ไม่กี่ประโยค ก็ได้ยินเสียงมาจากด้านนอก "พระราชโองการมาถึงแล้ว" จึงรีบสั่งให้คนตั้งโต๊ะเตรียมรับพระราชโองการฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จกลับวัง ก็มีรับสั่งพระราชโองการลงมาไวเช่นนี้ซูชิงลั่วประครองหญิงชราเดินออกไป เห็นลู่โย่วและครอบคัวออกมารอด้วยความตื่นเต้น ยกน้ำชามาให้กงกงที่มาประกาศพระราชโองการด้วยความกระตือรือร้นกงกงผู้นั้นเย่อหยิ่งจองหอง ไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกระทั่งเห็นนางมาถึง มุมปากของลู่หมิงซือก็เผยให้เห็นรอยยิ้มส่วนลู่เหยียนก็มองนางด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง ครึ่งหนึ่งคือความลุ่มลึก อีกครึ่งคือความโกรธเกลียดโต๊ะบูชาจัดวางเรียบร้อยแล้ว กงกงประกาศพระราชโองการ ทุกคนคุกเข่าลงที่พื้น"ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา คุณหนูใหญ่จวนหย่งซุ่นป๋อ ลู่หมิงซืออ่อนโยนจิตใจดี ท
ลู่หมิงซือตอบน้ำเสียงหนักแน่น : "ข้าเป็นว่าที่พระชายารองขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทคือฮ่องเต้ในอนาคต เจ้ากล้าสั่งให้ข้าคุกเข่าเช่นนั้นหรือ"กงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้นั้นมองลู่หมิงซือปราดหนึ่ง แล้วหลุบตาลงไม่ได้พูดสิ่งใดซูชิงลั่วมองนางพลางเอ่ยอย่างช้าๆ : "ดูเหมือนสุดท้ายแล้วน้องลู่ก็ยังไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรอให้เรื่องราวยืนยันแน่ชัดก่อนค่อยแล้วค่อยโอ้อวด ใช่หรือไม่"นางหันไปมองทางกงกง น้ำเสียงฟังดูไพเราะยิ่งนัก "รบกวนกงกงช่วยบอกน้องลู่ทีว่าพระชายารองขององค์รัชทายาทมีลำดับยศอยู่ในขั้นที่เท่าไหร่ แล้วตำแหน่งเก้ามิ่งฟูเหรินของข้าอยู่ขั้นใด ข้ามีสิทธิ์สั่งให้นางคุกเข่าให้ข้าหรือไม่""รับทราบ ฮูหยินลู่"กงกงพูดด้วยท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อน "ตำแหน่งพระชายารองขององค์รัชทายาทอยู่ในขั้นที่สาม ส่วนตำแหน่งเก้ามิ่งฟูเหรินที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เองอยู่ในขั้นที่หนึ่ง อีกทั้งแม่นางลู่ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกกับองค์รัชทายาท ฮูหยินย่อมมีสิทธิ์สั่งให้นางคุกเข่า"ซูชิงลั่วพูดน้ำเสียงเรียบเฉย : "ได้ยินชัดแล้วหรือยัง"น้ำเสียงของนางมีความเย็นยะเยือก ราวกับเกร็ดน้ำค้างก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนรู
เหตุใดนางยังคาดเดาความรู้สึกที่ตนมีต่อลู่เหิงจือออกอีกซูชิงลั่วลุกขึ้น ตอบนิ่งๆ : "เจ้าคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ไปสองชั่วยาม"หลังจากพูดจบ นางก็พยุงหญิงชราเดินจากไปคนจากวังทยอยพากันออกไปนางหลิ่วคับแค้นใจแต่ไร้ที่ระบาย เห็นลู่เหยียนเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของซูชิงลั่วที่กำลังเดินจากไป ก็อดเขกกะโหลกเขาอย่างแรงไม่ได้"เจ้ายังไม่รีบกลับไปอ่านหนังสืออีกหรือ เหลืออีกครึ่งเดือนก็จะสอบแล้ว หากสอบไม่ติดข้าจะตัดขาเจ้า"ลู่เหยียนพูดอย่างเหลืออด : "ท่านเรียกข้าออกมารับราชโองการเองไม่ใช่หรอกหรือ ข้าเต็มใจออกมาเองเสียที่ไหนกัน"เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ในใจกลับเอาแต่คิดถึงท่าทางของซูชิงลั่วเมื่อครู่นี้ดูแข็งแกร่งและไม่อาจเอื้อมทำให้คนชื่นชมเลื่อมใสดูเหมือนเขาจะดำดิ่งลงไปลึกแล้วจริงๆ*กลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนนำพระราชกฤษฎีกาและชุดพิธีการพระราชทานไปเก็บ นึกถึงกระดาษแผ่นนั้นที่ซ่อนเอาไว้ก่อนออกไปก็หยิบออกมาอีกครั้งจะต้องหาที่ที่เหมาะสมสักที่ถึงจะถูกนางครุ่นคิด ก่อนจะหาสมุดบัญชีเปล่าๆ เล่มหนึ่งออกมา แล้วแปะกระดาษแผ่นนั้นลงไปตรงกลางที่ยังว่างจากนั้นก็วาดรูปท่าเสวี่ยลงไ
ข่าวที่ซูชิงลั่วชนะองค์หญิงอวี้หยางในการแข่งขันยิงธนูที่สนามล่าสัตว์ เจ็ดวันหลังจากนั้นถึงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงนอกจากคนทั่วไปที่รู้สึกตะตะลึงกับฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วแล้ว ยังต่างประหลาดใจที่รู้ว่าลู่เหิงจือได้รักษาความบริสุทธิ์ให้แก่ซูชิงลั่วมาตลอดหลายปี และยังประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าจะไม่รับอนุ ไม่สนใจเรื่องบุตรด้วยฉับพลันนั้น ใต้เท้าลู่ได้กลายเป็นบุรุษที่หญิงสาวในเมืองหลวงทุกนางต่างยกย่องชมเชยหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างก็ตั้งปณิธานว่าจะหาสามีอย่างใต้เท้าลู่ให้ได้แต่สำหรับชายหนุ่มที่แต่งงานแล้วก็ถูกภรรยาบ่นว่าใต้เท้าลู่ดีอย่างไรโอกาสดีเช่นนี้ นักเล่านิทานย่อมไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปมือตบลงบนแผ่นไม้ แล้วเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า“เมื่อก่อน ซูชิงลั่วเคยหมั้นหมายกับคุณชายสี่แห่งจวนตระกูลลู่ แม้อัครมหาเสนาบดีลู่จะมีใจ แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ......”“ต่อมา คุณชายสี่แห่งจวนตระกูลลู่หลงรักลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดา ซูชิงลั่วจึงถอนหมั้นด้วยความโกรธแค้น อัครมหาเสนาบดีลู่ของเรานั้นภายนอกดูเหมือนจะเย็นชา แต่ในใจคงจะดีใจมาก จึงรีบฉวยโอกาสนี้ขอพระราชทานอภิเษกสมรสก
พวกเขาเคยทำอะไรที่มากกว่านี้เสียอีก เหตุใดนางถึงยังเขินอายกับเรื่องแค่นี้นางก็โล่งใจไปด้วยที่เขาไม่ได้ถามอะไรต่ออันที่จริงแล้วนางฝันอีกแล้วในฝันคือชายหนุ่มที่เคยเจอที่ร้านขายภาพวาด เหมือนชื่อว่าอวี๋ซื่อชิงเขาสวมชุดราชการสีน้ำเงิน มองมาที่นางด้วยสายตาจริงจัง “ฮูหยิน ข้าจะช่วยท่านเอง”ปรากฏเพียงประโยคสั้นๆ เท่านี้ดูเหมือนว่าในภายภาคหน้านางจะมีเรื่องขอร้องให้เขาช่วยนางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลู่เหิงจือ เพราะหนึ่งคือไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมสองคือ......หากนางบอกลู่เหิงจือว่านางฝันเห็นชายอื่น ไม่รู้ว่าจะหึงหวงมากเพียงใดก่อนหน้านี้เพียงทักทายอวี๋ซื่อชิง เขาก็ไม่พอใจมากอยู่แล้วทว่าแววตาของลู่เหิงจือที่มองนางเมื่อครู่ จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้คงดูออกแน่ๆเขากลับไม่ได้บังคับให้นางพูดออกมา แสดงว่าเขามั่นใจในตัวนางมากนางอดยิ้มมุมปากไม่ได้ แล้วเงยหน้าจูบเขา ถือเป็นการให้รางวัลลู่เหิงจือยิ้มและโอบกอดนางไว้แน่นซูชิงลั่วรู้สึกพอใจกับข่าวลือในเมืองหลวงครั้งนี้มากชื่อของนางถูกเอ่ยคู่กับลู่เหิงจืออยู่เสมอ ราวกับเป็นเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีมากแม้แต่เวลาไปตรวจตราร้านของตระกูล ก็
เจียงหมัวมัวมองนางครู่หนึ่งพลางถอนหายใจ “ข้าเป็นผู้หญิงก็เข้าใจดีว่าฮูหยินไม่เต็มใจ แต่สามีมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งฮูหยินมีบุตรยากยิ่งต้องรีบหาคนมาให้เหิงจือ”ซูชิงลั่วค่อยๆ คนใบชา แล้วรอให้เจียงหมัวมัวพูดจบเจียงหมัวมัวเอ่ยต่อ “ลี่ว์เหมยที่อยู่ข้างกายข้าก็ดีมาก ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ นิสัยอ่อนโยน รู้กาลเทศะ ลองให้นางไปอยู่ข้างกายเหิงจือดูหรือไม่”ไม่แปลกใจเลยที่ลี่ว์เหมยจะปล่อยใบสั่งยาของนางออกไป คงเป็นเพราะเจียงหมัวมัวได้พูดเรื่องนี้กับนางมาก่อนแล้วซูชิงลั่วฝืนยิ้มและมองเจียงหมัวมัว โดยไม่พูดอะไรเจียงหมัวมัวพูดพร่ำยาวมาก ซูชิงลั่วไม่ได้โต้ตอบ เจียงหมัวมัวยังคิดว่าซูชิงลั่วเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงถือโอกาสที่ตนอาวุโสกว่า เอ่ยต่อว่า “หากฮูหยินเห็นด้วย ข้าจะไปเตรียมการเอง ไม่ต้องลำบากฮูหยิน”ซูชิงลั่ววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรง และเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ได้”เจียงหมัวมัวไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธตรงๆ จึงชักสีหน้าทันทีซูชิงลั่วเอ่ยเสียงราบเรียบ “อ่อนโยน รู้กาลเทศะ? คงไม่ใช่แน่ หากนางนิสัยดีจริง นางจะเอาใบสั่งยาที่ข้าใช้ทุกวันไปให้คนของฮองเฮาทำไม? แล้วข้าจะถูกฮองเฮาหาเรื่อง
ซูชิงลั่วลืมตาขึ้น มองไปยังเจียงหมัวมัวด้วยสีหน้าสงบนิ่งเจียงหมัวมัวพูดเสียงทุ้มต่ำว่า "รอให้เหิงจือกลับมาก่อน ข้าจะไปบอกเขาเอง"เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นมาในขณะนั้น"จะพูดอะไร?" ลู่เหิงจือเดินเข้ามาในห้องเขาไม่เห็นซูชิงลั่วอยู่ในห้องหลังจากกลับมา เมื่อถามจึงรู้ว่านางมาที่เรือนของเจียงหมัวมัว เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ตรวจสอบใบสั่งยา จึงรีบมาด้วยตัวเองเมื่อเข้ามาในลานกว้าง ก็พบว่าลี่ว์เหมยคุกเข่าอยู่ตรงบริเวณลานกว้าง ซูชิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ สีหน้าเรียบเฉย แต่เจียงหมัวมัวกลับปรากฏสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นเขาเข้ามา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ แค่เหลือบมองเขาอย่างเงียบๆรู้สึกราวกับมหัตภัยโจมตีโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าตนเองโดนโกรธโดยไม่รู้ตัว ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่เขาเดินไปหานาง แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า "เกิดอะไรขึ้น ทำไมฮูหยินโกรธถึงเพียงนี้?"ซูชิงลั่วหันเหลือบมองจื๋อหยวน จื๋อหยวนจึงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังลู่เหิงจือหันมองเจียงหมัวมัว แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “หมัวมัวอยู่ข้างกายข้ามาตลอดหลายปี เจ้ารู้ดีว่าข้าจัดก