แชร์

บทที่ 321

ผู้เขียน: หอมดังเดิม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-03 18:00:01
ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงพระชนมายุมากแล้ว อยู่ด้านนอกเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ดื่มสุราอีกไม่กี่แก้วก็ปล่อยงานเลี้ยงให้องค์รัชทายาทดูแลจัดการต่อ

องค์รัชทายาทเป็นคนสบายๆ เป็นกันเองมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้ทุกคนต่างก็สนุกสนาน เข้ากันได้เป็นอย่างดี

ครื้นเครงกันไปได้สักพักใหญ่ แต่ละคนก็ค่อยๆ จับกลุ่มคุยกันเอง

วันนี้ซูชิงลั่วโดดเด่นมีหน้ามีตาเป็นพิเศษ ทั้งยังเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดี จึงมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาขอดื่มด้วยเพื่อแสดงความเคารพ

นางคออ่อน ดื่มไปไม่กี่แก้วก็รู้สึกมึนหัว จึงให้ลู่เหิงจือดื่มแทน

พอเขาดื่มแทน เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ก็พากันเข้ามาขอดื่มเพิ่มขึ้น

แต่ก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด เพียงแค่นานๆ ทีจะได้มีโอกาสเห็นลู่เหิงจือใกล้ๆ เช่นนี้

ไม่นานนักลู่เหิงจือก็รู้สึกรำคาญ อ้างว่าซูชิงลั่วเมามากแล้ว ก่อนจะอุ้มนางกลับไปยังเรือนพักชั่วคราว

เตาไฟในเรือนพักชั่วคราวกำลังลุกโชติช่วง

ซูชิงลั่วมองลู่เหิงจือด้วยสายตาที่เมามาย ปล่อยให้เขาวางนางลงบนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือไปกอดคอเขาเอาไว้

แสงจากเปลวไฟสะท้อนเงาร่างขนาดใหญ่ของลู่เหิงจือบนกระโจมสีขาว

ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ

แววตาของลู่เหิงจือเย็
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 322

    ม้าเหงื่อโลหิตกินข้าวโพดปิ้งไปสิบกว่าฝัก ในที่สุดก็คลอเคลียที่แขนของซูชิงลั่วด้วยความพอใจ ก่อนจะฟุบลงข้างนางด้วยความเชื่องซูชิงลั่วลูบแผงคอให้มัน พลางพูดกับลู่เหิงจือ : "ต่อไปมันจะเป็นม้าของพวกเราแล้ว พวกเราตั้งชื่อให้มันเถอะ"น้ำเสียงของลู่เหิงจือนิ่งเรียบ : "เรียกมันว่าม้าช่างประจบ"“……”ซูชิงลั่วไม่ยอม : "มันช่างประจบเช่นไร มันออกจะเชื่อฟังว่าง่าย เช่นนี้เรียกมันว่าเจ้าเด็กดี ดีหรือไม่""เด็กดีตรงไหน" สีหน้าของลู่เหิงจือมองซูชิงลั่วคล้ายกับกำลังบ่งบอกว่า "สายตาเจ้าใช้ไม่ได้เอาเสียเลย" ก่อนจะกวาดสายตาไปมองม้าเหงื่อโลหิตปราดหนึ่ง "อีกอย่างมันเป็นม้าตัวผู้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเรียกมันว่าเจ้าเด็กดี"ดูเหมือนเพื่อจะสนับสนุนคำพูดของลู่เหิงจือ เจ้าม้าเหงื่อโลหิตส่งเสียงร้องยาวหนึ่งที แสดงออกว่าตนไม่ยินยอมให้เรียกชื่อเจ้าเด็กดีนี้จริงๆ"เจ้าก็ช่างเลือกเหมือนกันนี่" ซูชิงลั่วลูบม้าเหงื่อโลหิตเบาๆ นึกถึงท่าทางที่มันย่ำบนหิมะแล้วยืนตรงอยู่นอกกระโจมเมื่อครู่นี้ จึงพูดขึ้นมา : "เช่นนั้นก็ชื่อท่าเสวี่ยที่แปลว่าย่ำหิมะแล้วกัน"เจ้าม้าเหงื่อโลหิตน่าจะชอบชื่อนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ได้ปฏิเสธอีก ทั้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 323

    คำนวณเวลาที่นายหญิงเฒ่าน่าจะใกล้ตื่น ซูชิงลั่วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่หญิงชรา แน่นอนว่าก่อนไป นางถอดถุงหอมที่พกติดตัวไว้ตลอดออกด้วยความรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจขึ้นอีกหญิงชราเพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพิ่งจะพูดคุยกับนางได้ไม่กี่ประโยค ก็ได้ยินเสียงมาจากด้านนอก "พระราชโองการมาถึงแล้ว" จึงรีบสั่งให้คนตั้งโต๊ะเตรียมรับพระราชโองการฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จกลับวัง ก็มีรับสั่งพระราชโองการลงมาไวเช่นนี้ซูชิงลั่วประครองหญิงชราเดินออกไป เห็นลู่โย่วและครอบคัวออกมารอด้วยความตื่นเต้น ยกน้ำชามาให้กงกงที่มาประกาศพระราชโองการด้วยความกระตือรือร้นกงกงผู้นั้นเย่อหยิ่งจองหอง ไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกระทั่งเห็นนางมาถึง มุมปากของลู่หมิงซือก็เผยให้เห็นรอยยิ้มส่วนลู่เหยียนก็มองนางด้วยสายตาลึกซึ้งปราดหนึ่ง ครึ่งหนึ่งคือความลุ่มลึก อีกครึ่งคือความโกรธเกลียดโต๊ะบูชาจัดวางเรียบร้อยแล้ว กงกงประกาศพระราชโองการ ทุกคนคุกเข่าลงที่พื้น"ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา คุณหนูใหญ่จวนหย่งซุ่นป๋อ ลู่หมิงซืออ่อนโยนจิตใจดี ท

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 324

    ลู่หมิงซือตอบน้ำเสียงหนักแน่น : "ข้าเป็นว่าที่พระชายารองขององค์รัชทายาท องค์รัชทายาทคือฮ่องเต้ในอนาคต เจ้ากล้าสั่งให้ข้าคุกเข่าเช่นนั้นหรือ"กงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้นั้นมองลู่หมิงซือปราดหนึ่ง แล้วหลุบตาลงไม่ได้พูดสิ่งใดซูชิงลั่วมองนางพลางเอ่ยอย่างช้าๆ : "ดูเหมือนสุดท้ายแล้วน้องลู่ก็ยังไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรอให้เรื่องราวยืนยันแน่ชัดก่อนค่อยแล้วค่อยโอ้อวด ใช่หรือไม่"นางหันไปมองทางกงกง น้ำเสียงฟังดูไพเราะยิ่งนัก "รบกวนกงกงช่วยบอกน้องลู่ทีว่าพระชายารองขององค์รัชทายาทมีลำดับยศอยู่ในขั้นที่เท่าไหร่ แล้วตำแหน่งเก้ามิ่งฟูเหรินของข้าอยู่ขั้นใด ข้ามีสิทธิ์สั่งให้นางคุกเข่าให้ข้าหรือไม่""รับทราบ ฮูหยินลู่"กงกงพูดด้วยท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อน "ตำแหน่งพระชายารองขององค์รัชทายาทอยู่ในขั้นที่สาม ส่วนตำแหน่งเก้ามิ่งฟูเหรินที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ด้วยพระองค์เองอยู่ในขั้นที่หนึ่ง อีกทั้งแม่นางลู่ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกกับองค์รัชทายาท ฮูหยินย่อมมีสิทธิ์สั่งให้นางคุกเข่า"ซูชิงลั่วพูดน้ำเสียงเรียบเฉย : "ได้ยินชัดแล้วหรือยัง"น้ำเสียงของนางมีความเย็นยะเยือก ราวกับเกร็ดน้ำค้างก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนรู

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 325

    เหตุใดนางยังคาดเดาความรู้สึกที่ตนมีต่อลู่เหิงจือออกอีกซูชิงลั่วลุกขึ้น ตอบนิ่งๆ : "เจ้าคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ไปสองชั่วยาม"หลังจากพูดจบ นางก็พยุงหญิงชราเดินจากไปคนจากวังทยอยพากันออกไปนางหลิ่วคับแค้นใจแต่ไร้ที่ระบาย เห็นลู่เหยียนเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของซูชิงลั่วที่กำลังเดินจากไป ก็อดเขกกะโหลกเขาอย่างแรงไม่ได้"เจ้ายังไม่รีบกลับไปอ่านหนังสืออีกหรือ เหลืออีกครึ่งเดือนก็จะสอบแล้ว หากสอบไม่ติดข้าจะตัดขาเจ้า"ลู่เหยียนพูดอย่างเหลืออด : "ท่านเรียกข้าออกมารับราชโองการเองไม่ใช่หรอกหรือ ข้าเต็มใจออกมาเองเสียที่ไหนกัน"เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ในใจกลับเอาแต่คิดถึงท่าทางของซูชิงลั่วเมื่อครู่นี้ดูแข็งแกร่งและไม่อาจเอื้อมทำให้คนชื่นชมเลื่อมใสดูเหมือนเขาจะดำดิ่งลงไปลึกแล้วจริงๆ*กลับไปถึงห้อง ซูชิงลั่วสั่งให้จื๋อหยวนนำพระราชกฤษฎีกาและชุดพิธีการพระราชทานไปเก็บ นึกถึงกระดาษแผ่นนั้นที่ซ่อนเอาไว้ก่อนออกไปก็หยิบออกมาอีกครั้งจะต้องหาที่ที่เหมาะสมสักที่ถึงจะถูกนางครุ่นคิด ก่อนจะหาสมุดบัญชีเปล่าๆ เล่มหนึ่งออกมา แล้วแปะกระดาษแผ่นนั้นลงไปตรงกลางที่ยังว่างจากนั้นก็วาดรูปท่าเสวี่ยลงไ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 326

    ข่าวที่ซูชิงลั่วชนะองค์หญิงอวี้หยางในการแข่งขันยิงธนูที่สนามล่าสัตว์ เจ็ดวันหลังจากนั้นถึงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงนอกจากคนทั่วไปที่รู้สึกตะตะลึงกับฝีมือการยิงธนูของซูชิงลั่วแล้ว ยังต่างประหลาดใจที่รู้ว่าลู่เหิงจือได้รักษาความบริสุทธิ์ให้แก่ซูชิงลั่วมาตลอดหลายปี และยังประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าจะไม่รับอนุ ไม่สนใจเรื่องบุตรด้วยฉับพลันนั้น ใต้เท้าลู่ได้กลายเป็นบุรุษที่หญิงสาวในเมืองหลวงทุกนางต่างยกย่องชมเชยหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานต่างก็ตั้งปณิธานว่าจะหาสามีอย่างใต้เท้าลู่ให้ได้แต่สำหรับชายหนุ่มที่แต่งงานแล้วก็ถูกภรรยาบ่นว่าใต้เท้าลู่ดีอย่างไรโอกาสดีเช่นนี้ นักเล่านิทานย่อมไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปมือตบลงบนแผ่นไม้ แล้วเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า“เมื่อก่อน ซูชิงลั่วเคยหมั้นหมายกับคุณชายสี่แห่งจวนตระกูลลู่ แม้อัครมหาเสนาบดีลู่จะมีใจ แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ......”“ต่อมา คุณชายสี่แห่งจวนตระกูลลู่หลงรักลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดา ซูชิงลั่วจึงถอนหมั้นด้วยความโกรธแค้น อัครมหาเสนาบดีลู่ของเรานั้นภายนอกดูเหมือนจะเย็นชา แต่ในใจคงจะดีใจมาก จึงรีบฉวยโอกาสนี้ขอพระราชทานอภิเษกสมรสก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 327

    พวกเขาเคยทำอะไรที่มากกว่านี้เสียอีก เหตุใดนางถึงยังเขินอายกับเรื่องแค่นี้นางก็โล่งใจไปด้วยที่เขาไม่ได้ถามอะไรต่ออันที่จริงแล้วนางฝันอีกแล้วในฝันคือชายหนุ่มที่เคยเจอที่ร้านขายภาพวาด เหมือนชื่อว่าอวี๋ซื่อชิงเขาสวมชุดราชการสีน้ำเงิน มองมาที่นางด้วยสายตาจริงจัง “ฮูหยิน ข้าจะช่วยท่านเอง”ปรากฏเพียงประโยคสั้นๆ เท่านี้ดูเหมือนว่าในภายภาคหน้านางจะมีเรื่องขอร้องให้เขาช่วยนางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลู่เหิงจือ เพราะหนึ่งคือไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมสองคือ......หากนางบอกลู่เหิงจือว่านางฝันเห็นชายอื่น ไม่รู้ว่าจะหึงหวงมากเพียงใดก่อนหน้านี้เพียงทักทายอวี๋ซื่อชิง เขาก็ไม่พอใจมากอยู่แล้วทว่าแววตาของลู่เหิงจือที่มองนางเมื่อครู่ จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้คงดูออกแน่ๆเขากลับไม่ได้บังคับให้นางพูดออกมา แสดงว่าเขามั่นใจในตัวนางมากนางอดยิ้มมุมปากไม่ได้ แล้วเงยหน้าจูบเขา ถือเป็นการให้รางวัลลู่เหิงจือยิ้มและโอบกอดนางไว้แน่นซูชิงลั่วรู้สึกพอใจกับข่าวลือในเมืองหลวงครั้งนี้มากชื่อของนางถูกเอ่ยคู่กับลู่เหิงจืออยู่เสมอ ราวกับเป็นเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีมากแม้แต่เวลาไปตรวจตราร้านของตระกูล ก็

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-05
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 328

    เจียงหมัวมัวมองนางครู่หนึ่งพลางถอนหายใจ “ข้าเป็นผู้หญิงก็เข้าใจดีว่าฮูหยินไม่เต็มใจ แต่สามีมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ ยิ่งฮูหยินมีบุตรยากยิ่งต้องรีบหาคนมาให้เหิงจือ”ซูชิงลั่วค่อยๆ คนใบชา แล้วรอให้เจียงหมัวมัวพูดจบเจียงหมัวมัวเอ่ยต่อ “ลี่ว์เหมยที่อยู่ข้างกายข้าก็ดีมาก ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ นิสัยอ่อนโยน รู้กาลเทศะ ลองให้นางไปอยู่ข้างกายเหิงจือดูหรือไม่”ไม่แปลกใจเลยที่ลี่ว์เหมยจะปล่อยใบสั่งยาของนางออกไป คงเป็นเพราะเจียงหมัวมัวได้พูดเรื่องนี้กับนางมาก่อนแล้วซูชิงลั่วฝืนยิ้มและมองเจียงหมัวมัว โดยไม่พูดอะไรเจียงหมัวมัวพูดพร่ำยาวมาก ซูชิงลั่วไม่ได้โต้ตอบ เจียงหมัวมัวยังคิดว่าซูชิงลั่วเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงถือโอกาสที่ตนอาวุโสกว่า เอ่ยต่อว่า “หากฮูหยินเห็นด้วย ข้าจะไปเตรียมการเอง ไม่ต้องลำบากฮูหยิน”ซูชิงลั่ววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรง และเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ได้”เจียงหมัวมัวไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธตรงๆ จึงชักสีหน้าทันทีซูชิงลั่วเอ่ยเสียงราบเรียบ “อ่อนโยน รู้กาลเทศะ? คงไม่ใช่แน่ หากนางนิสัยดีจริง นางจะเอาใบสั่งยาที่ข้าใช้ทุกวันไปให้คนของฮองเฮาทำไม? แล้วข้าจะถูกฮองเฮาหาเรื่อง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-05
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 329

    ซูชิงลั่วลืมตาขึ้น มองไปยังเจียงหมัวมัวด้วยสีหน้าสงบนิ่งเจียงหมัวมัวพูดเสียงทุ้มต่ำว่า "รอให้เหิงจือกลับมาก่อน ข้าจะไปบอกเขาเอง"เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นมาในขณะนั้น"จะพูดอะไร?" ลู่เหิงจือเดินเข้ามาในห้องเขาไม่เห็นซูชิงลั่วอยู่ในห้องหลังจากกลับมา เมื่อถามจึงรู้ว่านางมาที่เรือนของเจียงหมัวมัว เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ตรวจสอบใบสั่งยา จึงรีบมาด้วยตัวเองเมื่อเข้ามาในลานกว้าง ก็พบว่าลี่ว์เหมยคุกเข่าอยู่ตรงบริเวณลานกว้าง ซูชิงลั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ สีหน้าเรียบเฉย แต่เจียงหมัวมัวกลับปรากฏสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นเขาเข้ามา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ แค่เหลือบมองเขาอย่างเงียบๆรู้สึกราวกับมหัตภัยโจมตีโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าตนเองโดนโกรธโดยไม่รู้ตัว ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่เขาเดินไปหานาง แล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า "เกิดอะไรขึ้น ทำไมฮูหยินโกรธถึงเพียงนี้?"ซูชิงลั่วหันเหลือบมองจื๋อหยวน จื๋อหยวนจึงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังลู่เหิงจือหันมองเจียงหมัวมัว แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “หมัวมัวอยู่ข้างกายข้ามาตลอดหลายปี เจ้ารู้ดีว่าข้าจัดก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-05

บทล่าสุด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status