ม้าเหงื่อโลหิตกินข้าวโพดที่พวกเขานำมาหมดแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นและเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังซูชิงลั่วอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า "ช่างใจร้ายใจดำเหลือเกิน"ลู่เหิงจือเหลือบมองนางเบาๆ แล้วพูดว่า "เจ้าก็ไม่ต่างกัน"ซูชิงลั่วรีบยกเนื้อย่างในมือขึ้นมาและยื่นไปที่ข้างปากของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า "ท่านสามี ลองชิมอันนี้สิ อร่อยมาก"ลู่เหิงจือไม่อยากจะเถียงกับนางจึงก้มลงกัดเนื้อย่างช้าๆ ซึ่งก็อร่อยจริงๆหลังจากพูดคุยกันสักพักทั้งสองก็เดินกลับอย่างช้าๆ เมื่อเดินผ่านเรือนพักชั่วคราวแห่งหนึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงขันทีคนหนึ่งถามด้วยความวิตกกังวลว่า "ม้าเหงื่อโลหิตขององค์หญิงยังไม่กลับมาหรือ? พรุ่งนี้จะต้องลงแข่งแล้วด้วย"ขันทีอีกคนพูดว่า "กลืนความกังวลลงไปซะ ม้าตัวนั้นฉลาดมาก องค์หญิงไม่เคยผูกมัน มันจะกลับมาเอง"ซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความปลงแล้วพูดกับลู่เหิงจือว่า "ม้าตัวนั้นฉลาดมาก เสียดายที่เจอนายไม่ดี"ลู่เหิงจือพูดอย่างใจเย็นว่า "ฉลาดจริง มิเช่นนั้นคงหลอกเจ้าให้เอาข้าวโพดย่างให้มันกินทั้งหมดไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ยามที่เจ้าแข่ง มันอาจยอมให้เจ้าชนะเพราะข้าวโพดย่างก็ได้นะ"“……”ประชดนางอีกแล้วแค่กินข้า
ลู่เหิงจือพลันนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับนาง ชุดของนางก็เป็นชุดสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ เพียงแต่ยามนั้นนางไม่ได้เกล้าผมเมื่อรู้สึกตัวว่าเขามองมา ซูชิงลั่วจึงหันกลับมาลู่เหิงจือยื่นมือออกไป โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนนานพอสมควรจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ฮูหยิน ข้าจะคว้าอันดับหนึ่งพร้อมกับเจ้า”ซูชิงลั่วรู้สึกประหม่าในยามนี้ จึงโอบแขนเขาถามว่า “หากไม่ได้อันดับหนึ่งล่ะ?”ลู่เหิงจือตอบอย่างใจเย็นว่า “อันดับสุดท้ายก็คืออันดับหนึ่ง”ซูชิงลั่ว "......"สองสามีภรรยาเดินไปยังสนามแข่งด้วยกัน ร่างทั้งสองในชุดสีขาวและสีเหลืองดึงดูดสายตาของทุกคนในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเคยได้ยินมาว่าอัครมหาเสนาบดีลู่คลั่งรักฮูหยินของตนเพียงใด ทั้งเรื่องพลุเอย ข่าวลือต่างๆ เอยที่เล็ดลอดออกมาจากเจียงหนาน ทำให้พวกนางอยากรู้จักซูชิงลั่วเป็นอย่างยิ่งพวกนางจึงอดกระซิบไม่ได้“ผอมขนาดนี้ ดูอ่อนแอเหลือเกิน”“ผู้ชายชอบเอวบางกันทั้งนั้น แม้แต่ใต้เท้าลู่ก็เช่นกัน”"ดวงตาคู่นั้น เอวคอดๆ นั่น ช่างราวกับจิ้งจอกสาวเสียจริงๆ......"เสียงซุบซิบเหล่านั้นเข้ามาในหูของซูชิงลั่ว กลายเป็นเสียงซ่าๆ ฟังไม่ชัดเจนว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรแต
การล่าสัตว์ฤดูหนาว ขุนนางชั้นสูงทั้งหลายต่างนำม้าเลี้ยงของตนมาด้วย เพราะถือว่าสะดวกที่สุดแต่ซูชิงลั่วกลับไม่มีม้าเลี้ยง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใครตั้งใจหรือไม่ ม้าที่มอบให้นางเป็นม้าที่ทั้งเตี้ยที่สุดและผอมที่สุดในบรรดาคนอื่นๆซูชิงลั่วถอนหายใจด้วยความรู้สึกไร้ทางออก ลูบขนม้าตัวน้อยด้วยความรัก และเริ่มทำความรู้จักกับมันขณะนั้น เมิ่งชิงไต้เดินนำม้าขาวของตนมาหานาง "น้องซู จะให้ข้าแลกกับเจ้าหรือไม่"นางสวมชุดสีม่วงงดงามสง่า มีท่าทางของสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ซูชิงลั่วรีบโบกมือปฏิเสธ "พี่เมิ่ง ขี่ม้าของตนเองจะสะดวกกว่า"องค์หญิงอวี้หยางเห็นทั้งสองพูดคุยกัน สายตามองมาที่นางราวกับลูกศรน้ำแข็งซูชิงลั่วไม่หลบไม่หนี มองกลับไปตรงๆองค์หญิงอวี้หยางยิ้มเยาะ แล้วมองข้ามไปยังเมิ่งชิงไต้ "พระชายาติ้งว่างมากเลยสินะ เป็นเพราะในจวนมีสนมมากเกินไป เจ้าจึงไม่ได้รับความรักจากติ้งอ๋องใช่หรือไม่"ซูชิงลั่วรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยชื่อเสียงของเซี่ยถิงอวี่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่าเป็นชายมากรัก และเมื่อวานนี้เองนางได้ยินข่าวลือว่า ติ้งอ๋องยังไม่เคยแตะต้องพระชายาติ้งเลยตั้งแต่แต่งงานซึ่งขัดแย้งกับที่เมิ่งชิงไ
ใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว เกรงว่าองค์หญิงอวี้หยางคงไม่ได้อันดับหนึ่งแล้วองค์หญิงอวี้หยางหันมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะดึงปิ่นปักผมจากศีรษะ แล้วทิ่มแทงลงไปที่บั้นท้ายของม้าเหงื่อโลหิตเลือดสีแดงสดไหลพุ่งออกมาทันที คล้ายงูเล็กเลื้อยไปตามขนสีขาว ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่งม้าเหงื่อโลหิตส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วซูชิงลั่วใจหายวาบไม่รู้ว่าม้าตัวแสบจะเจ็บหรือไม่นางเงยหน้ามองไป ก็ตกตะลึงทันที“แย่แล้ว!”เมิ่งชิงไต้ลงจากหลังม้าหลังจากถึงเส้นชัยเป็นคนแรก ทว่าม้าเหงื่อโลหิตกลับเริ่มคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธแค้นอยู่กับที่ ไม่ยอมขยับตัวไปข้างหน้า จนเกือบจะทำให้องค์หญิงอวี้หยางตกลงมาจากหลังม้าซูชิงลั่วจึงรีบขี่ม้าแดงไปช่วยองค์หญิงอวี้หยางเสียหน้าจึงตะโกนว่า “จะเก็บเจ้าไว้ทำไม!”แล้วทิ่มแทงปิ่นปักผมลงไปที่บั้นท้ายของม้าอีกครั้งม้าเหงื่อโลหิตคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงร้องลากยาว และเหวี่ยงองค์หญิงอวี้หยางลงจากหลังม้าจากนั้นก็ยกขาหน้าขึ้น แล้วพุ่งเข้าใส่เมิ่งชิงไต้อย่างบ้าคลั่งซูชิงลั่วขี่ม้าแดง มองไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปบังคับบังเหียนพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่
ข้างหูคือเสียงลมพัดโหมกระหน่ำในสนามล่าสัตว์ลู่เหิงจือหันมองซูชิงลั่วด้วยความเป็นห่วง อยากจะดึงนางกลับไปซ่อนอยู่ด้านหลังอีกครั้งแต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นนางยืนเคียงข้างเขา ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพียงแค่ค่อยๆ บีบมือของนางแน่นขึ้นซูชิงลั่วมองไปที่ดาบในมือขององค์หญิงอวี้หยาง แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “อย่างไร? หรือว่าองค์หญิงจะลงมือฆ่าคนต่อหน้าพระพักตร์รึ?”สีหน้าขององค์หญิงอวี้หยางเปลี่ยนไปทันทีฮ่องเต้ตรัสขึ้นในยามนั้นว่า “เหลวไหลสิ้นดี! อวี้หยาง เจ้ายังจะทำตัวไร้มารยาทอีกหรือ ยังรีบถอยไปอีก!”ทหารองครักษ์รีบเข้าไปแย่งดาบในมือขององค์หญิงอวี้หยางองค์หญิงอวี้หยางเหลือบมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเสียใจ แล้วถอยไปอยู่ข้างๆอีกฝั่งหนึ่ง เซี่ยถิงอวี่ผลักเมิ่งชิงไต้ออกอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนสุขุมรอบคอบ แต่กลับทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”สีหน้าของเมิ่งชิงไต้ซีดเผือดลงเล็กน้อย ก้มศีรษะลงและเอ่ยด้วยความนอบน้อมว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว”นี่เรียกว่าดีต่อนางอย่างนั้นหรือ?ไฟในใจของซูชิงลั่วลุกโชนขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้ตรัสว่า “ไม่มีอะไรแล้วใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ทร
พริบตาเดียว สายตาของผู้คนที่จับจ้องไปยังซูชิงลั่วก็แฝงไว้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ลู่เหิงจือกลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาหันไปมองทางฮ่องเต้ที่ยังคงแย้มพระสรวล ทว่ามุมปากกลับแอบเผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่ยากจะสังเกตเห็นได้เพียงประโยคเดียวของฮ่องเต้กลับส่งผลกระทบราวกับคลื่นพันชั้นที่กระเพื่อม ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด เพียงแค่บอกว่าซูชิงลั่วมีความสามารถ เมื่อการแข่งขันถัดไปจบลง จะพระราชทานรางวัลให้พร้อมกันเลยหลังจากจบเรื่องนี้กลับไปนั่งประจำที่ ภายในใจที่ตื่นเกร็งมาตลอดของซูชิงลั่วก็ผ่อนคลายลงไปได้บ้างดีที่ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นหลังจากได้สติกลับมาถึงจะพบว่าตนยังคงจับมือของลู่เหิงจืออยู่ ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน นางจึงรีบปล่อยมือลู่เหิงจือกลับไม่ได้คิดจะปกปิด คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้นางด้วยตัวเอง พลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา : "ต่อไปห้ามทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก"คราวนี้ซูชิงลั่วเชื่อฟังแล้ว วางมือไว้บนขาท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังนั่งด้วยความเรียบร้อย : "เจ้าค่ะ"ภรรยาของเขารู้จักทำตัวว่าง่ายมาตลอดลู่เหิงจือทั้งโกรธแต่ก็รู้ส
หิมะโปรยปรายลงมาเงียบๆ เพียงแค่ตกหนักขึ้นกว่าเดิมซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก จู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะเดิมทีก็ใช่ว่าจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ นางเพียงแค่คิดว่าถ้าหากได้อันดับหนึ่งขึ้นมาจริงๆ จะได้ถือโอกาสช่วยชีวิตม้าตัวนั้นให้รอดได้ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงอวี้หยางจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ถึงอย่างไรก็เป็นม้าที่นางเลี้ยงมาหลายปีซูชิงลั่วรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงเอ่ย : "กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮา ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเป็นไข้หวัด เพิ่งจะหายไข้ไม่นาน ร่างกายยังอ่อนแอนัก ไม่ทราบว่าจะขอให้หม่อมฉันพักสักหน่อย เข้าประลองเป็นผู้สุดท้ายได้หรือไม่"หิมะตกลงมาปลกคลุมศีรษะของนางเป็นชั้นสีขาวบางๆแต่เดิมรูปร่างของนางก็อ่อนแอบอบบางกว่าผู้อื่น ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ร่างทั้งร่างราวกับกำลังจะถูกหิมะทับจนจะโค้งเป็นกิ่งไม้อยู่แล้ว น้ำเสียงก็แผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงกติกาการแข่งขันคือให้ยิงธนูสิบลูกติดกันแบบไม่พัก ผู้ที่ยิงเข้ากลางเป้ามากที่สุดจะเป็นผู้ชนะองค์หญิงอวี้หยางพูดด้วยความดูถูก : "ก็แค่ยิงธนู จะเหนื่อยสักเพียงใด เข้าประลองเป็นผู้สุดท้าย ฮูหยินลู่คิดจะเอาเปรียบกันง่ายๆ เช่นนี้หรือ"เห็นได้ชัดว่าไม่อยา
มีเพียงแค่บุตรสาวจากตระกูลนายพลสองคนที่ยิงเข้าเป้าทั้งสามลูก และหนึ่งในนั้นเข้ากลางเป้าพอดีแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าเป้าเลยสักลูกผ่านไปสักพัก ต่อไปก็จะถึงตาซูชิงลั่วสงสนามแล้วลู่เหิงจือกุมมือนางไว้พลางพูดเสียงเบา : "ไม่ต้องกลัว เจ้าสามารถลองยิงก่อนได้หนึ่งลูก"ดวงตาของซูชิงลั่วฉายประกายสว่างทันทีจริงด้วย !แม้ฝีมือการยิงธนูของนางแม้แต่ผีสางเทวดายังยากจะคาดเดา แต่มักจะไม่เข้าเป้าในลูกแรก แล้วลูกถัดไปก็เข้าเป้าตลอดถ้าหากสามารถลองยิงได้หนึ่งครั้ง...นางรีบส่งสายตาบอกกับลู่เหิงจือว่า "ท่านคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวจริง"ลู่เหิงจือเข้าใจความหมายของนาง จึงตอบ : "ชมเกินไป"ขณะนั้นเองข้าหลวงก็ตะโกนออกมา : "ลำดับที่สิบหก ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่ลงสนาม"ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดลงในพริบตาซูชิงลั่วถูมือเบาๆ ไม่ค่อยเต็มใจจะถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนตัวเท่าใดนัก ลู่เหิงจือรับเสื้อไปพาดไว้บนแขนหลังจากที่นางถอดเสื้อคลุม ทุกคนก็กลั้นสีหน้าความตกตะลึงไว้ไม่อยู่"ผอมแห้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ"เมื่อครู่นางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวโคร่งก็ดูผอมมากแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากที่ถอดเสื้อคลุมออกจะดูผ