ข้างหูคือเสียงลมพัดโหมกระหน่ำในสนามล่าสัตว์ลู่เหิงจือหันมองซูชิงลั่วด้วยความเป็นห่วง อยากจะดึงนางกลับไปซ่อนอยู่ด้านหลังอีกครั้งแต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นนางยืนเคียงข้างเขา ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพียงแค่ค่อยๆ บีบมือของนางแน่นขึ้นซูชิงลั่วมองไปที่ดาบในมือขององค์หญิงอวี้หยาง แล้วเอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “อย่างไร? หรือว่าองค์หญิงจะลงมือฆ่าคนต่อหน้าพระพักตร์รึ?”สีหน้าขององค์หญิงอวี้หยางเปลี่ยนไปทันทีฮ่องเต้ตรัสขึ้นในยามนั้นว่า “เหลวไหลสิ้นดี! อวี้หยาง เจ้ายังจะทำตัวไร้มารยาทอีกหรือ ยังรีบถอยไปอีก!”ทหารองครักษ์รีบเข้าไปแย่งดาบในมือขององค์หญิงอวี้หยางองค์หญิงอวี้หยางเหลือบมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเสียใจ แล้วถอยไปอยู่ข้างๆอีกฝั่งหนึ่ง เซี่ยถิงอวี่ผลักเมิ่งชิงไต้ออกอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนสุขุมรอบคอบ แต่กลับทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”สีหน้าของเมิ่งชิงไต้ซีดเผือดลงเล็กน้อย ก้มศีรษะลงและเอ่ยด้วยความนอบน้อมว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว”นี่เรียกว่าดีต่อนางอย่างนั้นหรือ?ไฟในใจของซูชิงลั่วลุกโชนขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้ตรัสว่า “ไม่มีอะไรแล้วใช่หรือไม่?”ฮ่องเต้ทร
พริบตาเดียว สายตาของผู้คนที่จับจ้องไปยังซูชิงลั่วก็แฝงไว้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ลู่เหิงจือกลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาหันไปมองทางฮ่องเต้ที่ยังคงแย้มพระสรวล ทว่ามุมปากกลับแอบเผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่ยากจะสังเกตเห็นได้เพียงประโยคเดียวของฮ่องเต้กลับส่งผลกระทบราวกับคลื่นพันชั้นที่กระเพื่อม ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด เพียงแค่บอกว่าซูชิงลั่วมีความสามารถ เมื่อการแข่งขันถัดไปจบลง จะพระราชทานรางวัลให้พร้อมกันเลยหลังจากจบเรื่องนี้กลับไปนั่งประจำที่ ภายในใจที่ตื่นเกร็งมาตลอดของซูชิงลั่วก็ผ่อนคลายลงไปได้บ้างดีที่ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นหลังจากได้สติกลับมาถึงจะพบว่าตนยังคงจับมือของลู่เหิงจืออยู่ ฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คน นางจึงรีบปล่อยมือลู่เหิงจือกลับไม่ได้คิดจะปกปิด คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้นางด้วยตัวเอง พลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา : "ต่อไปห้ามทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก"คราวนี้ซูชิงลั่วเชื่อฟังแล้ว วางมือไว้บนขาท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่กำลังนั่งด้วยความเรียบร้อย : "เจ้าค่ะ"ภรรยาของเขารู้จักทำตัวว่าง่ายมาตลอดลู่เหิงจือทั้งโกรธแต่ก็รู้ส
หิมะโปรยปรายลงมาเงียบๆ เพียงแค่ตกหนักขึ้นกว่าเดิมซูชิงลั่วสูดหายใจเข้าลึก จู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะเดิมทีก็ใช่ว่าจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ นางเพียงแค่คิดว่าถ้าหากได้อันดับหนึ่งขึ้นมาจริงๆ จะได้ถือโอกาสช่วยชีวิตม้าตัวนั้นให้รอดได้ คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงอวี้หยางจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ถึงอย่างไรก็เป็นม้าที่นางเลี้ยงมาหลายปีซูชิงลั่วรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงเอ่ย : "กราบทูลฝ่าบาท ฮองเฮา ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเป็นไข้หวัด เพิ่งจะหายไข้ไม่นาน ร่างกายยังอ่อนแอนัก ไม่ทราบว่าจะขอให้หม่อมฉันพักสักหน่อย เข้าประลองเป็นผู้สุดท้ายได้หรือไม่"หิมะตกลงมาปลกคลุมศีรษะของนางเป็นชั้นสีขาวบางๆแต่เดิมรูปร่างของนางก็อ่อนแอบอบบางกว่าผู้อื่น ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ร่างทั้งร่างราวกับกำลังจะถูกหิมะทับจนจะโค้งเป็นกิ่งไม้อยู่แล้ว น้ำเสียงก็แผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงกติกาการแข่งขันคือให้ยิงธนูสิบลูกติดกันแบบไม่พัก ผู้ที่ยิงเข้ากลางเป้ามากที่สุดจะเป็นผู้ชนะองค์หญิงอวี้หยางพูดด้วยความดูถูก : "ก็แค่ยิงธนู จะเหนื่อยสักเพียงใด เข้าประลองเป็นผู้สุดท้าย ฮูหยินลู่คิดจะเอาเปรียบกันง่ายๆ เช่นนี้หรือ"เห็นได้ชัดว่าไม่อยา
มีเพียงแค่บุตรสาวจากตระกูลนายพลสองคนที่ยิงเข้าเป้าทั้งสามลูก และหนึ่งในนั้นเข้ากลางเป้าพอดีแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าเป้าเลยสักลูกผ่านไปสักพัก ต่อไปก็จะถึงตาซูชิงลั่วสงสนามแล้วลู่เหิงจือกุมมือนางไว้พลางพูดเสียงเบา : "ไม่ต้องกลัว เจ้าสามารถลองยิงก่อนได้หนึ่งลูก"ดวงตาของซูชิงลั่วฉายประกายสว่างทันทีจริงด้วย !แม้ฝีมือการยิงธนูของนางแม้แต่ผีสางเทวดายังยากจะคาดเดา แต่มักจะไม่เข้าเป้าในลูกแรก แล้วลูกถัดไปก็เข้าเป้าตลอดถ้าหากสามารถลองยิงได้หนึ่งครั้ง...นางรีบส่งสายตาบอกกับลู่เหิงจือว่า "ท่านคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวจริง"ลู่เหิงจือเข้าใจความหมายของนาง จึงตอบ : "ชมเกินไป"ขณะนั้นเองข้าหลวงก็ตะโกนออกมา : "ลำดับที่สิบหก ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่ลงสนาม"ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดลงในพริบตาซูชิงลั่วถูมือเบาๆ ไม่ค่อยเต็มใจจะถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนตัวเท่าใดนัก ลู่เหิงจือรับเสื้อไปพาดไว้บนแขนหลังจากที่นางถอดเสื้อคลุม ทุกคนก็กลั้นสีหน้าความตกตะลึงไว้ไม่อยู่"ผอมแห้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ"เมื่อครู่นางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวโคร่งก็ดูผอมมากแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากที่ถอดเสื้อคลุมออกจะดูผ
ทั้งสนามเงียบสงัดในพริบตาซูชิงลั่วยังคงกลั้นหายใจพร้อมเพ่งสมาธิอยู่ ไม่ได้ผ่อนคลายแม้จะรักษาหน้าไว้ได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังรักษาชีวิตม้าเหงื่อโลหิตตัวนั้นไว้ไม่ได้หากไม่ผิดความคาดหมาย ลูกต่อไปคงพลาดเป้า แต่ลูกที่สามจะเข้ากลางเป้าพอดีเช่นนี้นางก็จะเหมือนกับองค์หญิงอวี้หยาง ล้วนแต่เข้าใจกลางเป้าสองลูกเหมือนกันถ้าหากศรที่เข้าใจกลางเป้าเท่ากัน เช่นนั้นก็ต้องนับจากจำนวนศรที่เข้าเป้าองค์หญิงอวี้หยางเข้าเป้าทั้งสามลูกซึ่งก็หมายความว่า แม้นางจะไม่สามารถยิงเข้าใจกลางเป้าได้ แต่ต้องยิงศรให้เข้าเป้าให้ได้ ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาชีวิตม้าเหงื่อโลหิตไว้ได้นึกถึงภาพที่ม้าเหงื่อโลหิตคุกเข่าแล้วคลอเคลียแขนนาง ใจของนางก็พลันอ่อนยวบโดยไม่รู้ตัวนางสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที หยิบศรขึ้นมาได้แต่อธิษฐานอยู่ในใจว่าขออย่าให้การยิงครั้งนี้พลาดเป้าค่อยๆ ง้างสายธนูช้าๆสายตาทุกคู่จับจ้องมาบนตัวนางทันใดนั้นเองลมก็พัดมาอีกครั้งเสื้อของซูชิงลั่วพัดไปตามแรงลม นางเงยหน้ามองฟ้าปราดหนึ่งกลับมาพัดในเวลาแบบนี้เสียได้ดูท่าไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซูชิงลั่วตั้งใจจะรอให้ลมระรอกนี้พัดผ่านไปก่อน จึงหย
ข้าหลวงผู้นั้นเข้าใจในทันที รีบเดินออกไป ไม่นานนักก็กลับมาด้วยท่าทางร้อนรนศรลูกสุดท้ายแล้วซูชิงลั่วโน้มตัวลงไปหยิบศร กลั้นหายใจเพ่งสมาธิ วางศรไว้บนสายธนูเพียงแค่แตะ ศรก็จะพุ่งออกไปทันทีบรรยากาศเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใดๆหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า มือถือคันธนู ร่างผอมเพรียวบาง ยืนอยู่ลำพัง ชุดสีเหลืองอำพันถูกลมพัดสะบัด เส้นผมปลิวไสวอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกที่งดงามกว่าทั่วไปศรถูกปล่อยออกมาทว่าทันใดนั้นเอง กลับมีแสงสว่างสีขาวแสบตาส่องเข้ามาจากทางด้านขวาอย่างกะทันหัน พุ่งตรงเข้ามาในดวงตาของนางคือกระจก !ซูชิงลั่วถูกแสงนี้ส่องกระทบทำให้ตรงหน้าสว่างจ้าเป็นสีขาวขึ้นมาปุบปับ มองจุดแดงบนเป้าได้ไม่ค่อยชัดนัก ทว่าแรงที่มือรั้งกลับมาไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงแค่มองดูลูกศรพุ่งออกมาตรงหน้า ก่อนจะร่วงลงบนพื้นไม่ต้องรอให้ข้าหลวงรายงาน ทุกคนล้วนแต่รู้แล้วว่าศรไม่เข้าเป้าทันทีที่ศรพุ่งห่างออกไปจากสายธนู ซูชิงลั่วก็หันไปมองยังทิศทางที่มาของแสงสีขาวทันทีแทบจะในขณะเดียวกัน ศรลูกหนึ่งพุ่งไปทางกลุ่มคนอย่างกะทันหัน กระจกทองแดงด้ามหนึ่งถูกทิ่มทะลุ แล้วแตกกระจัดกระจายไปคนละทิศทางก่อนจะตกลง
เสียงโห่ร้องยินดีกระหน่ำจนกลบแทบจะทุกสิ่งอย่าง"ยอดไปเลย !""ฮูหยินลู่ยิงเข้าใจกลางเป้าติดกันสิบลูก นี่คืออัจฉริยภาพตัวจริง""ต่อให้เป็นบุรุษก็มีน้อยคนที่จะมีทักษะยิงธนูที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้""คราวนี้องค์หญิงอวี้หยางไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วใช่หรือไม่...""ชู่ว เบาๆ หน่อย…"ขณะที่ผู้คนกำลังดื่มด่ำอยู่กับภาพเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นเมื่อครู่ มีเพียงลู่เหิงจือที่เห็นหยดเลือดตรงปลายนิ้วของซูชิงลั่วเลือดสีแดงสดหยดลงบนหิมะสีขาวสะอาด ราวกับดอกกุหลาบดอกหนึ่งใจเขาพลันบีบรัดด้วยความเจ็บปวด ราวกับถูกสายธนูรัดไว้ทว่าซูชิงลั่วกลับสงบนิ่งใจเย็น ยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่ตอนยิงธนู นางมีลางสังหรณ์ที่ประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนรู้ว่าตัวเองจะยิงเข้ากลางเป้าติดกันกระทั่งลู่เหิงจือก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงไปตรงหน้านาง นางถึงจะรู้สึกตัวว่าปลายนิ้วกำลังมีเลือดไหลออกมา ขณะเดียวกันความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามาในเวลานี้ด้วยบรรยากาศที่คึกคักร้อนแรงพลันเงียบสงบลงไปในทันตาเห็นอัครมหาเสนาบดีที่ดูเฉยชาและอยู่สูงดุจดวงจันทร์สุกสกาว หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ พันแผลรอบนิ
เพียงแต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ากลับต้องไปแต่งกับองค์ชายผู้ที่ไม่เป็นที่รักและสำมะเลเทเมาที่สุดในเมืองหลวง ได้ยินมาว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ร่วมหอกันเลยไม่รู้ว่าปีที่แล้วที่นางพลัดตกน้ำ ถูกผู้ใดลอบทำร้ายกันแน่ฮ่องเต้ทรงตรัส : "เจ้าอยากแต่งกับหญิงสาวบ้านใด"องค์รัชทายาทเอ่ย : "ลูกอยากแต่งคุณหนูใหญ่จวนหย่งซุ่นป๋อลู่หมิงซือเป็นชายารอง"ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วขณะทุกคนเองก็ตะลึงงันไปเช่นกันคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งซุ่นป๋อ...ท่านตาของนางหลิ่วเจิ้งเฉิงเป็นผู้คุมสอบคัดเลือกขุนนางในปีนี้ถ้าหากจะบอกว่าในใจองค์รัชทายาทไร้ซึ่งแผนการใดๆ ไม่ได้คิดจะหยิบยืมโอกาสนี้เสาะหาผู้ที่มีความสามารถ เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อมุมปากฉีอ๋องเผยให้เห็นยิ้มเยาะทีหนึ่งมีหลิ่วเจิ้งเฉิงแล้วจะอย่างไร เจ้ากำจัดลู่เหิงจือได้หรือองค์รัชทายาทพูดต่อ : "พระชายาอายุยังน้อย เพิ่งจะแต่งเข้ามาในจวน วันทั่วไปงานราชการของลูกก็มีมากมาย เลี่ยงไม่ได้ที่จะหมางเมินนาง ทำให้นางรู้สึกเหงา นางเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับแม่นางลู่มาตลอด หากแม่นางลู่เข้ามาในจวนแล้ว พวกนางสองคนจะได้เป็นเพื่อนกันพอดี"ประโยคนี้ฟังดูแล้วไม่มีช่องโหว่ใดๆ เล