ซูชิงลั่วรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้แช่น้ำอุ่น ร่างกายอบอุ่นและความเมื่อยล้าก็หายไปปัญหาเดียวคืออ่างอาบน้ำเล็กเกินไปสำหรับสองคนร่างกายของทั้งคู่สัมผัสกันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็แยกออกจากกันทันทีลู่เหิงจือไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้น เพียงแค่ตั้งใจอาบน้ำ และช่วยนางราดน้ำที่หลังเป็นระยะๆหลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน นางรู้สึกเมื่อยล้าไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะน่องที่ปวดเมื่อยมาก จนไม่มีแรงอยากจะอาบน้ำลู่เหิงจือมองออก จึงค่อยๆ ราดน้ำอุ่นลงที่หลังของนาง อาสาช่วยนางอาบน้ำซูชิงลั่วรู้สึกเพลิดเพลินกับการถูกปรนนิบัติ ถึงขั้นมีความคิดว่า “การอาบน้ำกับเขาก็ไม่เลวนะ” “ต่อจากนี้ก็อาบได้อีกหลายรอบเลย”นางพิงอกของลู่เหิงจือ อ้าปากหาวเบาๆ แล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่อ่างเล็กไปหน่อย อึดอัดมาก”ลู่เหิงจือขณะที่กำลังถูแขนให้นาง ก็โอบเอวนางจากด้านหลังแล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “พอเรากลับเมืองหลวง ค่อยทำอ่างอาบน้ำใบใหญ่กัน”“……”แผ่นหลังถูกผิวของเขาสัมผัสอย่างฉับพลัน ซูชิงลั่วอดที่จะเกร็งไหล่ไม่ได้ ความรู้สึกเสียวซ่านวิ่งจากศีรษะลงมาตามหลังของนางมือของน่งเกร็งเล็กน้อยและจับขอบถังไม้ไว้"ไม่ ไม่เป็นไร"ความหม
เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของซูชิงลั่ว แล้วปลอบโยนว่า “เจ้าวางใจได้ เรื่องที่นี่ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย”ซูชิงลั่วมักจะเชื่อฟังเขาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอม“หากท่านไม่เก็บโฉวกว่างไว้ ข้าก็จะไม่ไป" นางสะบัดมือเขาออก “พี่สามบอกแล้วว่าที่นี่ไม่มีอันตราย”ก็ไม่มีอันตรายจริงๆ แต่นางอยู่ด้วยเขาจะเสียสมาธิลู่เหิงจือถอนหายใจอย่างจนใจซูชิงลั่วมองเขาอีกครั้งแล้วพูดว่า “พี่สาม เป้าหมายของพวกเขาคือท่าน ไม่ใช่ข้า”ลู่เหิงจือตอบว่า “แต่พวกเขาจะใช้เจ้าเล่นงานข้า”ซูชิงลั่วโกรธมากจนพูดว่า “อย่างนั้นข้ากลับไเมืองหลวงเลยดีกว่า”ลู่เหิงจือมองนางยู่นาน และพูดเสียงเรียบว่า “ได้”ทั้งสายตาและน้ำเสียงบอกให้นางรู้ว่าต่อรองไม่ได้แล้วซูชิงลั่วโกรธจนหันหลังให้เขา ไม่ยอมพูดอะไรอีกลู่เหิงจือยืนอยู่ที่หัวเตียงคนเดียว ผิงผมจนแห้ง ดับเทียน แล้วขึ้นนอนท่ามกลางความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงหายใจเบาๆ ของทั้งสองคนผ่านไปนานมากก็ไม่มีใครพูดอะไรเลยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลู่เหิงจือก็ถามขึ้นมาว่า “หลับแล้วหรือไม่”ไม่มีเสียงตอบรับจากซูชิงลั่วลู่เหิงจือเอนต
เรื่องที่ซูชิงลั่วพูดออกมานั้นช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป แม้แต่ลู่เหิงจือที่พบเจอเรื่องราวใหญ่โตมานักต่อนักก็ยังต้องนิ่งไปครู่หนึ่งผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงค่อยเอ่ยว่า "ดังนั้น ที่เจ้าพบว่าลู่เหยียนแอบนัดพบคนอื่น และขอถอนหมั้นกับเขา เพราะเจ้าได้ฝันถึงเรื่องนั้นใช่หรือไม่""ใช่แล้ว"ลู่เหิงจือหลุบตาลงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน "ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่พี่สาม ท่านต้องเชื่อข้านะ...""ข้าเชื่อเจ้า" ลู่เหิงจือดึงนางเข้ามากอดฉับพลันฝ่ามือของเขาลูบไล้เส้นผมดำขลับของนางอย่างแผ่วเบา กอดนางแน่น ราวกับนางเป็นสมบัติล้ำค่าในอ้อมแขนของเขาฝ่ามือของเขาหยุดลงตรงแผ่นหลัง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า "ตอนนั้นเจ้ากลัวหรือไม่?"ซูชิงลั่วนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงตอนที่นางฝันว่าตายทั้งกลมในฝันนั้น กลัวหรือไม่หัวใจของนางรู้สึกปวดหนึบ น้ำตาแทบจะไหลลงมานางเล่าเรื่องความฝันของตัวเองให้เขาฟัง เขาเชื่อโดยไม่ถามถึงเหตุผลว่าทำไมนางถึงอยากให้โฉวกว่างอยู่ด้วย หรือนางฝันเห็นอะไรเกี่ยวกับเขา เขาจะมีอันตรายอะไร แต่กลับห่วงเพียงว่านางกลัวหรือไม่ซูชิงลั่วโอบก
"อย่างที่เจ้าบอก ให้เขาอยู่ข้างกายข้า" ลู่เหิงจือดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน น้ำเสียงมีความไม่พอใจเล็กน้อย "ให้หลี่ว์เผิงเทียนดีใจไปอีกสักสองสามวัน"หมายความว่า เขายอมให้คนของหลี่ว์เผิงเทียนส่งนางไปจินหลิงสินะซูชิงลั่วรู้สึกโล่งใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็อดขำไม่ได้ เพราะในเวลาแบบนี้ เขายังไม่ลืมเรื่องหึงหวงอีกภายนอกท้องฟ้ามืดมิดเสียงตีบอกเวลายามค่ำคืนดังมาแผ่วเบาจากตรอกเล็กๆ ตอนนี้เป็นเวลายามสามแล้วซูชิงลั่วกอดลู่เหิงจือแล้วเอนตัวลงนอนอีกครั้ง เสียงลมหายใจของทั้งสองคนค่อยๆ สอดประสานกันริมฝีปากของนางแนบอยู่ที่แก้มของเขา เอ่ยเบาๆ ว่า "สัญญากับข้านะ ท่านจะต้องปลอดภัย และจะมาหาข้าที่จินหลิง""แน่นอน" เขากระซิบข้างหูของนาง เสียงนั้นอยู่ใกล้กับใบหูของนางนางกอดเขา มือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในเสื้อของเขา สัมผัสกับแผ่นหลังกว้างแกร่งของเขา จากนั้นก็ขยับร่างกายของตัวเองมาแนบชิดลู่เหิงจือรู้สึกชาวูบวาบไปทั้งร่าง หัวใจเหมือนโดนกรงเล็บของลูกแมวข่วนเบาๆเสียงของเขาต่ำลง "ไม่ใช่เหนื่อยหรือ?""ก็เหนื่อยอยู่บ้าง" ซูชิงลั่วพูดอย่างเขินอายแต่เมื่อคิดว่าพอถึงรุ่งเช้าก็ต้องจากกัน นางรู้สึกอาลัยและไม่อ
เห็นได้ชัดว่าคืนนั้นซูชิงลั่วถูกเขาพาไปสัมผัสและเปิดประสบการณ์จากหนังสือภาพใหม่อีกครั้งนางไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายถึงชอบแบบนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ของลู่เหิงจือ นางก็รู้สึกทนไม่ไหว คำพูดที่ตั้งใจจะต่อว่าเขาในตอนแรกกลับกลายเป็นการพูดยั่วยวนอย่างอ่อนหวานแทน"เมื่อท่านกลับจินหลิงอย่างปลอดภัย ข้า..." นางพูดพร้อมหน้าแดง "ข้าจะปรนนิบัติท่านเช่นนี้อีก"ประโยคนี้ราวกับใช้ความกล้าทั้งหมดของนาง เมื่อพูดจบนางก็หันหลังไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเผชิญหน้าหรือฟังสิ่งที่ลู่เหิงจือจะพูดอีกลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ "ได้"แต่มือของเขากลับเคลื่อนไหวอย่างคุ้นเคยบนร่างของนางซูชิงลั่วหนีบขาแน่น "ท่านไม่ได้...""ยังไม่ได้ทำให้เจ้า""..."มือคู่นั้นของเขาช่างยอดเยี่ยมจนทำให้นางแทบไม่เป็นตัวของตัวเองและเขายังพูดให้กำลังใจนางอย่างอ่อนโยนอีกว่า "ครางออกมาสิ ข้าชอบฟังเสียงเจ้าคราง"นางเคลื่อนไหวตามจังหวะของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่งร่างกายนางอ่อนระทวยและสั่นสะท้าน แม้แต่ปลายเท้ายังหดเกร็งนางคิดว่า คนที่เหมือนลู่เหิงจือซึ่งยอมปรนเปรอให้สตรีบนเตียงเช่นนี้ คงหายากมากนางรู้ส
ความง่วงเข้าโจมตี นางจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว และฝันอีกครั้งในความฝัน ลู่เหิงจือยังคงมีเลือดท่วมตัว คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้นพร้อมกับโฉวกว่าง ซ่งเหวิน และทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่ล้มลงในกองเลือด ถูกล้อมรอบโดยคนกลุ่มหนึ่งยังคงเป็นเวลากลางคืนเช่นเดิมยังคงเป็นท่าเรือแห่งนั้นหัวใจของซูชิงลั่วเหมือนถูกดาบแทงทะลุ เจ็บปวดเจียนตาย แต่อย่างไรก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ในความมืดสลัวของยามราตรี ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งขี่ม้าถือดาบบุกเข้ามาท่ามกลางวงล้อม และดึงลู่เหิงจือขึ้นมาบนหลังม้า ก่อนจะขี่ม้าจากไปอย่างรวดเร็วที่แปลกคือ จู่ๆ คนชุดดำที่อยู่ข้างหลังล้มลงพร้อมกันลู่เหิงจือบนหลังม้า กอดเอวของหญิงสาวคนนั้นแน่น ดูเหมือนจะหมดสติไปแล้วไม่อาจบอกได้ว่าเป็นความรู้สึกขอบคุณหรือหึงหวงที่มีมากกว่า นางกำมือทั้งสองข้างแน่น และทันใดนั้นก็มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอย่างชัดเจน...เป็นตัวนางเองซูชิงลั่วตกใจตื่นขึ้นอย่างกะทันหันนางรีบลุกขึ้นทันที และเดินออกไปด้วยความเร่งรีบ "หันเรือกลับเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับไปหังโจว"นางคิดบางอย่างได้ "ไม่สิ หยุดเรือที่หมู่บ้านข้างหน้า ข้าจะขี่ม้ากลับไป"หลี
หลังจากฉางกุ้ยได้ฟังแผนการของซูชิงลั่ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า "ฮูหยิน เราควรกลับไปแจ้งท่านอ๋องสักหน่อยหรือไม่?""ไม่ได้" ซูชิงลั่วตอบอย่างหนักแน่นก่อนหน้านี้นางได้บอกทุกเรื่องเกี่ยวกับความฝันของนางกับลู่เหิงจือไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงตกอยู่ในอันตราย แสดงว่าเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนอกจากนี้ ความฝันไม่ใช่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่น ครั้งนี้ก็แตกต่างจากครั้งก่อน หากบอกลู่เหิงจืออีกครั้งและเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยที่นางไม่ได้ฝันอีก ลู่เหิงจือจะยิ่งตกอยู่ในอันตรายนางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วให้เหตุผลที่ยากจะโต้แย้งว่า "ข้างกายลู่เหิงจือจะต้องมีคนคอยจับตาดูอยู่แน่ เราแอบซ่อนอยู่ในที่มืด จะช่วยเขาได้ดีกว่า"ฉางกุ้ยถูกโน้มน้าวสำเร็จในทันทีหลังจากที่ซูชิงลั่วสั่งการเรื่องราวทุกอย่าง อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดแล้ว ฉางกุ้ยก็เริ่มมองนางเปลี่ยนไปเดิมทีเขาคิดว่านางเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ ที่ต้องให้ใต้เท้าคอยปกป้องในทุกเรื่อง แต่กลับไม่คาดคิดว่านางจะมีทั้งความกล้าและสติปัญญาขนาดนี้หลี่ว์เผิงเทียนก็เหลือบมองซูชิงลั่วเช่นกันแล้วกล่าวว่า "น้องสาว เจ้าคิดรอบคอบมาก ข้าเองยั
โชคดีที่ซ่งเหวินพูดขึ้นว่า "ใต้เท้า ไม่สู้สวมมันไว้ให้ผ่านคืนนี้ก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่ขอรับ""ก็ดี" ลู่เหิงจือคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเก็บเกราะจานไว้ในอ้อมอก*ช่วงบ่าย เมื่อการยึดทรัพย์สินสิ้นสุดลง ลู่เหิงจือก็ได้เดินทางมาถึงจวนของหวังเหลียงฮั่นครั้งนี้ไม่เพียงแต่ยึดทองคำและอัญมณีได้จำนวนมหาศาล เติมเต็มคลังหลวง ยังพบจดหมายโต้ตอบระหว่างเขากับขุนนางหลายคนในราชสำนักด้วยแค่จดหมายจากลายมือขององค์รัชทายาทเองยังมีถึงยี่สิบฉบับ บนนั้นยังประทับตราส่วนตัวไว้ด้วย ไม่น่าแปลกใจที่องค์รัชทายาททนไม่ไหวจนต้องส่งองครักษ์ลับมาจัดการกับเขาลู่เหิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เปิดจดหมายอ่านอย่างละเอียด เลือกสามฉบับที่สามารถใช้เล่นงานได้ แล้วส่งส่วนที่เหลือให้โฉวกว่าง "คืนนี้เจ้าส่งจดหมายเหล่านี้จากท่าเรือกลับไปยังเมืองหลวงซะ"โฉวกว่างตอบรับเสียงหนักแน่นส่วนอีกสามฉบับ ลู่เหิงจือนำจดหมายออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บไว้ในเกราะจานที่พกติดตัว แล้วโยนซองจดหมายให้โฉวกว่างกว่าจะตรวจสอบทรัพย์สินที่ยึดได้หมดก็มืดค่ำแล้ว เขาจึงพาคนของตัวเองออกจากจวนของหวังเหลียงฮั่นตราบใดที่จดหมายเหล่านี้ถูกส่ง