เห็นได้ชัดว่าคืนนั้นซูชิงลั่วถูกเขาพาไปสัมผัสและเปิดประสบการณ์จากหนังสือภาพใหม่อีกครั้งนางไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายถึงชอบแบบนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ของลู่เหิงจือ นางก็รู้สึกทนไม่ไหว คำพูดที่ตั้งใจจะต่อว่าเขาในตอนแรกกลับกลายเป็นการพูดยั่วยวนอย่างอ่อนหวานแทน"เมื่อท่านกลับจินหลิงอย่างปลอดภัย ข้า..." นางพูดพร้อมหน้าแดง "ข้าจะปรนนิบัติท่านเช่นนี้อีก"ประโยคนี้ราวกับใช้ความกล้าทั้งหมดของนาง เมื่อพูดจบนางก็หันหลังไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเผชิญหน้าหรือฟังสิ่งที่ลู่เหิงจือจะพูดอีกลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ "ได้"แต่มือของเขากลับเคลื่อนไหวอย่างคุ้นเคยบนร่างของนางซูชิงลั่วหนีบขาแน่น "ท่านไม่ได้...""ยังไม่ได้ทำให้เจ้า""..."มือคู่นั้นของเขาช่างยอดเยี่ยมจนทำให้นางแทบไม่เป็นตัวของตัวเองและเขายังพูดให้กำลังใจนางอย่างอ่อนโยนอีกว่า "ครางออกมาสิ ข้าชอบฟังเสียงเจ้าคราง"นางเคลื่อนไหวตามจังหวะของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนเกลียวคลื่นที่กระทบฝั่งร่างกายนางอ่อนระทวยและสั่นสะท้าน แม้แต่ปลายเท้ายังหดเกร็งนางคิดว่า คนที่เหมือนลู่เหิงจือซึ่งยอมปรนเปรอให้สตรีบนเตียงเช่นนี้ คงหายากมากนางรู้ส
ความง่วงเข้าโจมตี นางจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว และฝันอีกครั้งในความฝัน ลู่เหิงจือยังคงมีเลือดท่วมตัว คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้นพร้อมกับโฉวกว่าง ซ่งเหวิน และทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่ล้มลงในกองเลือด ถูกล้อมรอบโดยคนกลุ่มหนึ่งยังคงเป็นเวลากลางคืนเช่นเดิมยังคงเป็นท่าเรือแห่งนั้นหัวใจของซูชิงลั่วเหมือนถูกดาบแทงทะลุ เจ็บปวดเจียนตาย แต่อย่างไรก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ในความมืดสลัวของยามราตรี ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งขี่ม้าถือดาบบุกเข้ามาท่ามกลางวงล้อม และดึงลู่เหิงจือขึ้นมาบนหลังม้า ก่อนจะขี่ม้าจากไปอย่างรวดเร็วที่แปลกคือ จู่ๆ คนชุดดำที่อยู่ข้างหลังล้มลงพร้อมกันลู่เหิงจือบนหลังม้า กอดเอวของหญิงสาวคนนั้นแน่น ดูเหมือนจะหมดสติไปแล้วไม่อาจบอกได้ว่าเป็นความรู้สึกขอบคุณหรือหึงหวงที่มีมากกว่า นางกำมือทั้งสองข้างแน่น และทันใดนั้นก็มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นอย่างชัดเจน...เป็นตัวนางเองซูชิงลั่วตกใจตื่นขึ้นอย่างกะทันหันนางรีบลุกขึ้นทันที และเดินออกไปด้วยความเร่งรีบ "หันเรือกลับเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับไปหังโจว"นางคิดบางอย่างได้ "ไม่สิ หยุดเรือที่หมู่บ้านข้างหน้า ข้าจะขี่ม้ากลับไป"หลี
หลังจากฉางกุ้ยได้ฟังแผนการของซูชิงลั่ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า "ฮูหยิน เราควรกลับไปแจ้งท่านอ๋องสักหน่อยหรือไม่?""ไม่ได้" ซูชิงลั่วตอบอย่างหนักแน่นก่อนหน้านี้นางได้บอกทุกเรื่องเกี่ยวกับความฝันของนางกับลู่เหิงจือไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงตกอยู่ในอันตราย แสดงว่าเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนอกจากนี้ ความฝันไม่ใช่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่น ครั้งนี้ก็แตกต่างจากครั้งก่อน หากบอกลู่เหิงจืออีกครั้งและเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยที่นางไม่ได้ฝันอีก ลู่เหิงจือจะยิ่งตกอยู่ในอันตรายนางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วให้เหตุผลที่ยากจะโต้แย้งว่า "ข้างกายลู่เหิงจือจะต้องมีคนคอยจับตาดูอยู่แน่ เราแอบซ่อนอยู่ในที่มืด จะช่วยเขาได้ดีกว่า"ฉางกุ้ยถูกโน้มน้าวสำเร็จในทันทีหลังจากที่ซูชิงลั่วสั่งการเรื่องราวทุกอย่าง อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดแล้ว ฉางกุ้ยก็เริ่มมองนางเปลี่ยนไปเดิมทีเขาคิดว่านางเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ ที่ต้องให้ใต้เท้าคอยปกป้องในทุกเรื่อง แต่กลับไม่คาดคิดว่านางจะมีทั้งความกล้าและสติปัญญาขนาดนี้หลี่ว์เผิงเทียนก็เหลือบมองซูชิงลั่วเช่นกันแล้วกล่าวว่า "น้องสาว เจ้าคิดรอบคอบมาก ข้าเองยั
โชคดีที่ซ่งเหวินพูดขึ้นว่า "ใต้เท้า ไม่สู้สวมมันไว้ให้ผ่านคืนนี้ก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่ขอรับ""ก็ดี" ลู่เหิงจือคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเก็บเกราะจานไว้ในอ้อมอก*ช่วงบ่าย เมื่อการยึดทรัพย์สินสิ้นสุดลง ลู่เหิงจือก็ได้เดินทางมาถึงจวนของหวังเหลียงฮั่นครั้งนี้ไม่เพียงแต่ยึดทองคำและอัญมณีได้จำนวนมหาศาล เติมเต็มคลังหลวง ยังพบจดหมายโต้ตอบระหว่างเขากับขุนนางหลายคนในราชสำนักด้วยแค่จดหมายจากลายมือขององค์รัชทายาทเองยังมีถึงยี่สิบฉบับ บนนั้นยังประทับตราส่วนตัวไว้ด้วย ไม่น่าแปลกใจที่องค์รัชทายาททนไม่ไหวจนต้องส่งองครักษ์ลับมาจัดการกับเขาลู่เหิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เปิดจดหมายอ่านอย่างละเอียด เลือกสามฉบับที่สามารถใช้เล่นงานได้ แล้วส่งส่วนที่เหลือให้โฉวกว่าง "คืนนี้เจ้าส่งจดหมายเหล่านี้จากท่าเรือกลับไปยังเมืองหลวงซะ"โฉวกว่างตอบรับเสียงหนักแน่นส่วนอีกสามฉบับ ลู่เหิงจือนำจดหมายออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บไว้ในเกราะจานที่พกติดตัว แล้วโยนซองจดหมายให้โฉวกว่างกว่าจะตรวจสอบทรัพย์สินที่ยึดได้หมดก็มืดค่ำแล้ว เขาจึงพาคนของตัวเองออกจากจวนของหวังเหลียงฮั่นตราบใดที่จดหมายเหล่านี้ถูกส่ง
ซูชิงลั่วนั่งยองๆ อยู่ในพุ่มไม้ริมแม่น้ำ ฟังเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจนางเห็นพลุสัญญาณดอกนั้นแล้ว อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ลู่เหิงจือน่าจะใกล้มาถึงแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าโฉวกว่างถูกบีบให้มาถึงที่ท่าเรือก่อนเขาถูกคนสี่คนไล่ฆ่า กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งจนนางสามารถได้กลิ่นแม้จะอยู่ไกลฉางกุ้ยเตรียมจะลงมือ แต่ซูชิงลั่วกดมือเขาไว้ "รอก่อน ยังมีคนอื่นอีก"และไม่นานเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นลู่เหิงจือและซ่งเหวินกระโดดลงจากหลังม้า ข้างหลังมีองครักษ์ลับอีกแปดคนตามมาติดๆเมื่อหัวหน้าองครักษ์ลับมองเห็นพวกของตนเองแล้วก็หัวเราะเย็นชา "มากันครบแล้ว พอดีจะได้ส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปลงนรกพร้อมกัน"สิ้นเสียงของเขา ก็ได้ยินเสียงดัง "ปัง ปัง ปัง" ท่าเรือพลันถูกปกคลุมไปด้วยควันสีขาว"ระเบิดควัน?" หัวหน้าองครักษ์ลับพูด "กระจายกำลังออกไป"เหล่าองครักษ์ลับกระจายกันออกไปรอบๆ ทันที แม้ว่ามองไม่เห็นตัวคน แต่พวกเขาก็ยังล้อมทุกคนไว้ในกลุ่มควันทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงม้าร้องขึ้นเสียงดังมีผู้หญิงคนหนึ่งถือดาบยาวฟาดฟันเข้ามาลู่เหิงจือหรี่ตามองเล็กน้อย และจำได้ในทันทีว่ากระบวนท่าไร้แบบแผนนี้เป็น
เหตุใดจึงมีคนโผล่มาอีก?ซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ ใช้มือกำไปที่แผงคอม้าแน่นลู่เหิงจือบังคับม้าให้หยุด เงยหน้ามองไปไม่ใช่องครักษ์ลับ เพราะองครักษ์ลับไม่มีทางมีรูปร่างอ้วนท้วนขนาดนี้เขาเงยหน้ามองแวบหนึ่ง หัวหน้าของพวกนั้นมีใบหน้าดุดัน รูปร่างใหญ่โตจนดูคุ้นตา"ลี่หลู""ใช้แล้ว" ลี่หลูพูดด้วยความโกรธแค้น "ลู่เหิงจือ เจ้าสังหารบุตรชายคนเดียวของข้า ข้าจะเอาชีวิตเจ้ามาชดใช้!"เมื่อเขาเห็นซูชิงลั่ว ก็หัวเราะอย่างน่ารังเกียจ "ฮูหยินก็อยู่ด้วยสินะ วางใจเถอะ หลังจากเขาตาย ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ข่มขืนก่อนค่อยฆ่า จากนั้นค่อนส่งเจ้าไปอยู่กับลูกชายข้าในปรโลก!"คนผู้นี้ช่างวิปริตนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกชายของเขาก็ชั่วร้ายไม่แพ้กันซูชิงลั่วสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือบังคับม้าให้เปลี่ยนทิศทางในทันที ตะโกนออกมาเสียงดัง "ไป..."หากมีเขาคนเดียว บางทีอาจจะสู้สักตั้งได้แต่ซูชิงลั่วอยู่ที่นี่ เขาไม่อาจเสี่ยงลี่หลูหัวเราะเยาะ หยิบธนูขึ้นมา แล้วยิงลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็วม้าล้มลงในทันทีลู่เหิงจือกอดซูชิงลั่วกลิ้งลงมาจากหลังม้าลี่หลูหัวเราะเยาะพร้อมเดินเข้ามาช้าๆ "ลู่เหิงจือ นี่เจ้าไม่รู้
ลี่หลูกล่าวด้วยความหมายลึกซึ้ง "ฮูหยินช่างมีความรักลึกซึ้งต่อใต้เท้ายิ่งนัก"ซูชิงลั่ววิ่งมาอยู่ข้างกายลู่เหิงจือ หายใจหอบเหนื่อย นางพยุงแขนเขา ใช้ไหล่ของตัวเองพยุงร่างที่กำลังจะล้มของลู่เหิงจือ ราวกับในเวลานี้นางเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของเขากลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่รอบตัวเขารอบๆ มีศพของคนชุดดำหกถึงเจ็ดคนนอนเกลื่อนกลาดดูเหมือนหลังจากลู่เหิงจือฆ่าพวกนั้น เขาก็หมดแรงจนไม่สามารถยืนได้อีก ขณะที่ลี่หลูมีแค่บาดแผลเล็กน้อยที่ขาเท่านั้นลู่เหิงจือกล่าวเสียงเครียด "รีบไป!"ซูชิงลั่ว "ท่านไม่ต้องพูด"นางรีบดึงชายกระโปรงออกมา ผูกมัดแผลที่เอวของเขาไว้เพื่อห้ามเลือด การเคลื่อนไหวของนางราบรื่นดั่งสายน้ำ"ชิงลั่ว!" เขาเรียกนางอย่างร้อนรนซูชิงลั่วค่อยๆ พยุงเขานั่งลง กุมมือของเขาเบาๆ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุดนางหันไปหยิบมีดจากศพที่ตายบนพื้น มือทั้งสองข้างของนางสั่น มีดในมือสั่นจนปลายมีดกระดิกไปมาลี่หลูหัวเราะลั่น "น่าสนใจจริง เจ้าถือมีดยังไม่มั่นเลย ยังคิดจะฆ่าข้าอีกหรือ?"นางมองลี่หลูด้วยสายตาน่าสงสาร"ท่านปล่อยเขาไปได้หรือไม่?"ลี่หลูหัวเราะ "งามก็จริง แต่เสียทีที่โง่ ดูรูปร่างแล้ว ร
ซูชิงลั่วมองเขา "พี่ท่าน ช่วยสามีของข้าก่อน..."แล้วนางก็หมดสติล้มลงในอ้อมแขนของลู่เหิงจือลู่เหิงจือกอดนางไว้ มองดูดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วก็รู้สึกหนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหมดสติไปเช่นกัน*ลู่เหิงจือตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็นของวันถัดมาเขาสูญเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นทุนเดิม และในตอนนั้นเพื่อนในยุทธภพของหลี่ว์เผิงเทียนก็ได้นำยาสมานแผลชั้นยอดมาให้เขาใช้ ดังนั้นแม้จะดูเหมือนมีบาดแผลมากมาย แต่ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแค่มีไข้สูงเท่านั้นคำถามแรกเมื่อเขาลืมตาคือ "ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง?"เสียงของเขาแหบและแห้งเพราะพิษไข้ซ่งเหวินรีบยกน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งมาวางตรงหน้าแล้วกล่าวว่า "ใต้เท้าอย่าได้กังวล ฮูหยินไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่ตกใจ ตอนนี้ยังหลับอยู่ แต่อีกไม่นานก็คงจะตื่นแล้ว"ลู่เหิงจือดื่มน้ำอุ่นลงไปสองอึกแล้วกล่าวว่า "พยุงข้าไปดูนางหน่อย"ซ่งเหวินกล่าว "จื๋อหยวนกำลังดูแลฮูหยินอยู่ ใต้เท้าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่สู้กินข้าวต้มก่อนสักหน่อยเถิดขอรับ"ลู่เหิงจือเหลือบมองซ่งเหวิน น้ำเสียงเย็นชา "ไม่ใช่ฮูหยินของเจ้า เจ้าย่อมไม่กังวล"ซ่งเหวินถึงกับสะดุ้งไม่