หลังจากฉางกุ้ยได้ฟังแผนการของซูชิงลั่ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า "ฮูหยิน เราควรกลับไปแจ้งท่านอ๋องสักหน่อยหรือไม่?""ไม่ได้" ซูชิงลั่วตอบอย่างหนักแน่นก่อนหน้านี้นางได้บอกทุกเรื่องเกี่ยวกับความฝันของนางกับลู่เหิงจือไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงตกอยู่ในอันตราย แสดงว่าเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากนอกจากนี้ ความฝันไม่ใช่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่น ครั้งนี้ก็แตกต่างจากครั้งก่อน หากบอกลู่เหิงจืออีกครั้งและเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยที่นางไม่ได้ฝันอีก ลู่เหิงจือจะยิ่งตกอยู่ในอันตรายนางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วให้เหตุผลที่ยากจะโต้แย้งว่า "ข้างกายลู่เหิงจือจะต้องมีคนคอยจับตาดูอยู่แน่ เราแอบซ่อนอยู่ในที่มืด จะช่วยเขาได้ดีกว่า"ฉางกุ้ยถูกโน้มน้าวสำเร็จในทันทีหลังจากที่ซูชิงลั่วสั่งการเรื่องราวทุกอย่าง อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดแล้ว ฉางกุ้ยก็เริ่มมองนางเปลี่ยนไปเดิมทีเขาคิดว่านางเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ ที่ต้องให้ใต้เท้าคอยปกป้องในทุกเรื่อง แต่กลับไม่คาดคิดว่านางจะมีทั้งความกล้าและสติปัญญาขนาดนี้หลี่ว์เผิงเทียนก็เหลือบมองซูชิงลั่วเช่นกันแล้วกล่าวว่า "น้องสาว เจ้าคิดรอบคอบมาก ข้าเองยั
โชคดีที่ซ่งเหวินพูดขึ้นว่า "ใต้เท้า ไม่สู้สวมมันไว้ให้ผ่านคืนนี้ก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่ขอรับ""ก็ดี" ลู่เหิงจือคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเก็บเกราะจานไว้ในอ้อมอก*ช่วงบ่าย เมื่อการยึดทรัพย์สินสิ้นสุดลง ลู่เหิงจือก็ได้เดินทางมาถึงจวนของหวังเหลียงฮั่นครั้งนี้ไม่เพียงแต่ยึดทองคำและอัญมณีได้จำนวนมหาศาล เติมเต็มคลังหลวง ยังพบจดหมายโต้ตอบระหว่างเขากับขุนนางหลายคนในราชสำนักด้วยแค่จดหมายจากลายมือขององค์รัชทายาทเองยังมีถึงยี่สิบฉบับ บนนั้นยังประทับตราส่วนตัวไว้ด้วย ไม่น่าแปลกใจที่องค์รัชทายาททนไม่ไหวจนต้องส่งองครักษ์ลับมาจัดการกับเขาลู่เหิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เปิดจดหมายอ่านอย่างละเอียด เลือกสามฉบับที่สามารถใช้เล่นงานได้ แล้วส่งส่วนที่เหลือให้โฉวกว่าง "คืนนี้เจ้าส่งจดหมายเหล่านี้จากท่าเรือกลับไปยังเมืองหลวงซะ"โฉวกว่างตอบรับเสียงหนักแน่นส่วนอีกสามฉบับ ลู่เหิงจือนำจดหมายออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บไว้ในเกราะจานที่พกติดตัว แล้วโยนซองจดหมายให้โฉวกว่างกว่าจะตรวจสอบทรัพย์สินที่ยึดได้หมดก็มืดค่ำแล้ว เขาจึงพาคนของตัวเองออกจากจวนของหวังเหลียงฮั่นตราบใดที่จดหมายเหล่านี้ถูกส่ง
ซูชิงลั่วนั่งยองๆ อยู่ในพุ่มไม้ริมแม่น้ำ ฟังเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจนางเห็นพลุสัญญาณดอกนั้นแล้ว อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ลู่เหิงจือน่าจะใกล้มาถึงแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าโฉวกว่างถูกบีบให้มาถึงที่ท่าเรือก่อนเขาถูกคนสี่คนไล่ฆ่า กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งจนนางสามารถได้กลิ่นแม้จะอยู่ไกลฉางกุ้ยเตรียมจะลงมือ แต่ซูชิงลั่วกดมือเขาไว้ "รอก่อน ยังมีคนอื่นอีก"และไม่นานเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นลู่เหิงจือและซ่งเหวินกระโดดลงจากหลังม้า ข้างหลังมีองครักษ์ลับอีกแปดคนตามมาติดๆเมื่อหัวหน้าองครักษ์ลับมองเห็นพวกของตนเองแล้วก็หัวเราะเย็นชา "มากันครบแล้ว พอดีจะได้ส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปลงนรกพร้อมกัน"สิ้นเสียงของเขา ก็ได้ยินเสียงดัง "ปัง ปัง ปัง" ท่าเรือพลันถูกปกคลุมไปด้วยควันสีขาว"ระเบิดควัน?" หัวหน้าองครักษ์ลับพูด "กระจายกำลังออกไป"เหล่าองครักษ์ลับกระจายกันออกไปรอบๆ ทันที แม้ว่ามองไม่เห็นตัวคน แต่พวกเขาก็ยังล้อมทุกคนไว้ในกลุ่มควันทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงม้าร้องขึ้นเสียงดังมีผู้หญิงคนหนึ่งถือดาบยาวฟาดฟันเข้ามาลู่เหิงจือหรี่ตามองเล็กน้อย และจำได้ในทันทีว่ากระบวนท่าไร้แบบแผนนี้เป็น
เหตุใดจึงมีคนโผล่มาอีก?ซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ ใช้มือกำไปที่แผงคอม้าแน่นลู่เหิงจือบังคับม้าให้หยุด เงยหน้ามองไปไม่ใช่องครักษ์ลับ เพราะองครักษ์ลับไม่มีทางมีรูปร่างอ้วนท้วนขนาดนี้เขาเงยหน้ามองแวบหนึ่ง หัวหน้าของพวกนั้นมีใบหน้าดุดัน รูปร่างใหญ่โตจนดูคุ้นตา"ลี่หลู""ใช้แล้ว" ลี่หลูพูดด้วยความโกรธแค้น "ลู่เหิงจือ เจ้าสังหารบุตรชายคนเดียวของข้า ข้าจะเอาชีวิตเจ้ามาชดใช้!"เมื่อเขาเห็นซูชิงลั่ว ก็หัวเราะอย่างน่ารังเกียจ "ฮูหยินก็อยู่ด้วยสินะ วางใจเถอะ หลังจากเขาตาย ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ข่มขืนก่อนค่อยฆ่า จากนั้นค่อนส่งเจ้าไปอยู่กับลูกชายข้าในปรโลก!"คนผู้นี้ช่างวิปริตนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกชายของเขาก็ชั่วร้ายไม่แพ้กันซูชิงลั่วสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือบังคับม้าให้เปลี่ยนทิศทางในทันที ตะโกนออกมาเสียงดัง "ไป..."หากมีเขาคนเดียว บางทีอาจจะสู้สักตั้งได้แต่ซูชิงลั่วอยู่ที่นี่ เขาไม่อาจเสี่ยงลี่หลูหัวเราะเยาะ หยิบธนูขึ้นมา แล้วยิงลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็วม้าล้มลงในทันทีลู่เหิงจือกอดซูชิงลั่วกลิ้งลงมาจากหลังม้าลี่หลูหัวเราะเยาะพร้อมเดินเข้ามาช้าๆ "ลู่เหิงจือ นี่เจ้าไม่รู้
ลี่หลูกล่าวด้วยความหมายลึกซึ้ง "ฮูหยินช่างมีความรักลึกซึ้งต่อใต้เท้ายิ่งนัก"ซูชิงลั่ววิ่งมาอยู่ข้างกายลู่เหิงจือ หายใจหอบเหนื่อย นางพยุงแขนเขา ใช้ไหล่ของตัวเองพยุงร่างที่กำลังจะล้มของลู่เหิงจือ ราวกับในเวลานี้นางเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของเขากลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่รอบตัวเขารอบๆ มีศพของคนชุดดำหกถึงเจ็ดคนนอนเกลื่อนกลาดดูเหมือนหลังจากลู่เหิงจือฆ่าพวกนั้น เขาก็หมดแรงจนไม่สามารถยืนได้อีก ขณะที่ลี่หลูมีแค่บาดแผลเล็กน้อยที่ขาเท่านั้นลู่เหิงจือกล่าวเสียงเครียด "รีบไป!"ซูชิงลั่ว "ท่านไม่ต้องพูด"นางรีบดึงชายกระโปรงออกมา ผูกมัดแผลที่เอวของเขาไว้เพื่อห้ามเลือด การเคลื่อนไหวของนางราบรื่นดั่งสายน้ำ"ชิงลั่ว!" เขาเรียกนางอย่างร้อนรนซูชิงลั่วค่อยๆ พยุงเขานั่งลง กุมมือของเขาเบาๆ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุดนางหันไปหยิบมีดจากศพที่ตายบนพื้น มือทั้งสองข้างของนางสั่น มีดในมือสั่นจนปลายมีดกระดิกไปมาลี่หลูหัวเราะลั่น "น่าสนใจจริง เจ้าถือมีดยังไม่มั่นเลย ยังคิดจะฆ่าข้าอีกหรือ?"นางมองลี่หลูด้วยสายตาน่าสงสาร"ท่านปล่อยเขาไปได้หรือไม่?"ลี่หลูหัวเราะ "งามก็จริง แต่เสียทีที่โง่ ดูรูปร่างแล้ว ร
ซูชิงลั่วมองเขา "พี่ท่าน ช่วยสามีของข้าก่อน..."แล้วนางก็หมดสติล้มลงในอ้อมแขนของลู่เหิงจือลู่เหิงจือกอดนางไว้ มองดูดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วก็รู้สึกหนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหมดสติไปเช่นกัน*ลู่เหิงจือตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็นของวันถัดมาเขาสูญเสียเลือดไปมาก แต่โชคดีที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นทุนเดิม และในตอนนั้นเพื่อนในยุทธภพของหลี่ว์เผิงเทียนก็ได้นำยาสมานแผลชั้นยอดมาให้เขาใช้ ดังนั้นแม้จะดูเหมือนมีบาดแผลมากมาย แต่ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแค่มีไข้สูงเท่านั้นคำถามแรกเมื่อเขาลืมตาคือ "ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง?"เสียงของเขาแหบและแห้งเพราะพิษไข้ซ่งเหวินรีบยกน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งมาวางตรงหน้าแล้วกล่าวว่า "ใต้เท้าอย่าได้กังวล ฮูหยินไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่ตกใจ ตอนนี้ยังหลับอยู่ แต่อีกไม่นานก็คงจะตื่นแล้ว"ลู่เหิงจือดื่มน้ำอุ่นลงไปสองอึกแล้วกล่าวว่า "พยุงข้าไปดูนางหน่อย"ซ่งเหวินกล่าว "จื๋อหยวนกำลังดูแลฮูหยินอยู่ ใต้เท้าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่สู้กินข้าวต้มก่อนสักหน่อยเถิดขอรับ"ลู่เหิงจือเหลือบมองซ่งเหวิน น้ำเสียงเย็นชา "ไม่ใช่ฮูหยินของเจ้า เจ้าย่อมไม่กังวล"ซ่งเหวินถึงกับสะดุ้งไม่
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ลู่เหิงจือก็รู้สึกว่าสมองเริ่มตื้ออย่างไรเขาก็บาดเจ็บหนัก ร่างกายอ่อนล้าอย่างมากเขาลุกขึ้นแล้วกลับไปยังห้องข้างๆ เอนกายนอนลงข้างๆ ซูชิงลั่วนางยังคงหลับลึก แต่ดูเหมือนจะหลับไม่ค่อยสนิท บางครั้งก็ครางออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังฝันร้ายอยู่อีกหรือเปล่าหญิงสาวบอบบางเช่นนางต้องฆ่าคนเพื่อเขา เลือดอุ่นสาดกระเซ็นเต็มใบหน้าและร่างกาย จะไม่ให้หวาดกลัวได้อย่างไรเขาลูบแขนของนางใต้ผ้าห่ม ลากนิ้วลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะสอดนิ้วประสานเข้ากับนิ้วของนางไข้ของนางลดลงแล้ว ฝ่ามือก็ไม่ร้อนเท่าเดิมแล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางรู้สึกถึงสัมผัสของเขาหรือไม่ นางจึงค่อยๆ นอนหลับอย่างสงบลงลู่เหิงจือได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอของนางจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไปเช่นกัน*เลือดทั้งมือ ใบหน้า และทั่วทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยเลือดเลือดอุ่นๆ กลิ่นคาวเหนียวเหนอะ และใบหน้าที่ราวกับปีศาจของเขาคนนั้นลู่เหิงจือเหมือนกำลังจมลงในทะเลเลือด นางพยายามเอื้อมมือไปคว้าเขาไว้ แต่เขากลับยิ่งจมหายไปไกลขึ้นเรื่อยๆ...ทั้งที่นางฆ่าลี่หลูไปแล้ว แต่จู่ๆ ศพของเขากลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนว่าต่อให้เป็นผีก็จะ
ไม่นานนางก็คิดได้ว่าเขาคงแค่แกล้งนาง จึงไม่ได้สนใจ ยื่นมือไปถอดเสื้อเขาออกลู่เหิงจือปล่อยให้นางทำตามใจก่อนหน้านี้ที่เขาทั้งกอดและจุมพิตนางบาดแผลก็เปิดออก จนเลือดสีแดงซึมออกมาที่ผ้าพันแผลแล้วซูชิงลั่วพูดอย่างโมโห "ตัวท่านเป็นอย่างไรไม่รู้ตัวเองเลยหรือ? บาดเจ็บหนักขนาดนี้ยังกล้ากอดข้าไว้แน่น แถมยังย่อตัวมาจูบข้าอีก ท่านคิดจะทิ้งชีวิตแล้วหรือไร?"นางแทบอยากจะตบลู่เหิงจือสักที แต่พอเห็นร่างกายของเขาที่แทบไม่เหลือส่วนดี นางก็อดสงสารจนแทบจะร้องไห้ออดมาไม่ได้นางตะโกนออกไปว่า "ซ่งเหวินอยู่หรือไม่? ไปเรียกหมอมาทำแผลให้ใต้เท้าหน่อย"หมอมาถึงอย่างรวดเร็ว ซ่งเหวินเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูลู่เหิงจือมองซูชิงลั่ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ถึงไม่กอดเจ้า แผลก็ต้องเปิดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว...""ท่านเงียบไปเลย!" ซูชิงลั่วดุเขาลู่เหิงจือก็ได้เพียงปิดปากตามคำสั่ง ปล่อยให้หมอทำแผลให้หมอท่านนี้เป็นหมอชื่อดังของหังโจว เคยรักษาขุนนางผู้มีชื่อเสียงมามาก แต่คนที่ยศสูงอย่างท่านอัครมหาเสนาบดีก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกขณะที่เขาทำแผลไปก็รู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อเต้น ได้แต่คิดในใจว่าเรื่อ