ซูชิงลั่วกินอาหารเช้าเสร็จ ก็รู้สึกใจลอยด้านหนึ่งรู้สึกว่าลู่เหิงจือเพิ่งจะหยุดพักไม่กี่วัน ไม่ให้เขาเข้าห้องเหมือนจะเสียของไปเปล่าๆด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าควรให้เขาได้รับบทเรียนบ้าง ใครใช้ให้เขาพูดจาไม่ดี ถหากพูดกันตรงๆ ว่าชอบนาง นางจะไม่ให้เขาจูบได้อย่างไรนางกอดเสื้อทรงยาวที่เย็บให้ลู่เหิงจือไว้ มองออกไปนอกหน้าต่างไม่หยุด รู้สึกว่าค่ำคืนนี้เขาต้องมาแน่ๆแน่นอนว่าไม่นานนัก ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกหน้าต่างอีกครั้งจื๋อหยวนบอกว่าซ่งเหวินมาอีกแล้วซูชิงลั่วสั่งให้คนเข้ามา ขณะเดียวกันก็ก้มศีรษะทำเป็นเย็บเสื้ออย่างตั้งใจซ่งเหวินสีหน้าเคร่งเครียดและพูดว่า “ฮุหยิน ขอร้องท่านให้ไปดูหน่อยเถิด ใต้เท้าข้ากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่สวนบุปผาหลังบ้าน ข้าน้อยพยายามเกลี้ยกล่อมเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง ใต้เท้าไม่ได้ดื่มสุราหนักเช่นนี้มานานแล้ว”กลยุทธ์ทุกข์กายล่ะสิ ยังเป็นสวนบุปผาหลังบ้านที่พวกเขาเคยพบหน้ากันอีก ช่างเยี่ยมจริงๆเสียดายที่นางมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านพ่อก็เคยใช้วิธีนี้ท่านแม่ทำเช่นไรนะ ปล่อยให้เขาแสดงไปก่อนซูชิงลั่วพูดเสียงราบเรียบ "ใต้เท้าอยากดื่มเป็นเรื่องดี จะไปห้ามทำไม เจ้าไปเ
นางรักใคร่ชอบพอลู่เหิงจือมาโดยตลอด เพียงแต่เขาไม่สนใจเรื่องแต่งงานหรือผู้หญิงนางใด นางจึงไม่เคยมีโอกาสเผยความรู้สึกออกมา ทว่าบัดนี้เขาได้แต่งงานแล้ว คงได้ลิ้มรสความรักระหว่างชายหญิงแล้วเป็นแน่นางมั่นใจว่าตนเองไม่ด้อยไปกว่าซูชิงลั่วนางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก้าวเท้าเดินออกจากประตูอย่างแผ่วเบานางจะต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ได้ เพราะปกติแล้วลู่เหิงจือไม่ค่อยเข้ามาที่สวนหลังบ้าน ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ไม่รู้ว่าครั้งหน้าต้องรออีกนานเพียงใดนางเดินมาจนถึงทางเข้าสวน ก็เห็นซ่งเหวินยืนเฝ้าอยู่ที่นั่นท้องฟ้ามืดสลัว ซ่งเหวินเห็นนางก็เอ่ยถาม "ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็มา เหตุใดไม่พาจื๋อหยวนมาด้วยเล่า?"ลู่หมิงซือไม่ตอบ เพียงแค่หันไปมองเข้าไปในสวนในศาลามีเพียงแสงตะเกียงสลัวที่ส่องให้เห็นรูปร่างของลู่เหิงจือเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ นางรีบเดินเข้าไปข้างใน และซ่งเหวินก็ไม่ห้ามนางจริงๆในศาลามีการจุดตะเกียงส่องสว่าง นางหยุดยืนอยู่ตรงขั้นบันไดของศาลา หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น นางกลัวเกินกว่าจะเดินเข้าไปลู่เหิงจือวางจอกเหล้าลงทันที แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหานางเขาเดินลงบันไดมาอย่างสง่างามลู่เหิง
ลู่เหิงจือเองก็ดูออกอย่างชัดเจนว่าคนที่หมอบอยู่บนพื้นคือใครผ้าคลุมศีรษะของนางหลุดลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกับซูชิงลั่วอยู่หลายส่วนเขาหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ "อย่างนั้นหรือ"ลู่หมิงซือไม่คิดว่าเขาจะช่างสังเกตได้รวดเร็วเช่นนี้ แค่ชั่วครู่ก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่ซูชิงลั่ว ไม่คิดด้วยว่าเขาจะผลักนางลงกับพื้น และยิ่งไม่คิดว่าจะเจอซูชิงลั่วตัวจริงที่นี่ช่างโชคร้ายจริงๆนางลุกขึ้นยืน เตรียมจะอธิบายด้วยความดันทุรัง แต่กลับได้ยินเสียงอันเย็นเยือกของลู่เหิงจือ "คุกเข่าซะ"ลู่หมิงซือสะดุ้ง หันไปมองซูชิงลั่วที่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน กัดฟันแต่ไม่ยอมขยับนางรู้สึกยอมไม่ได้จริงๆนางคือลูกสาวคนโตสายตรงของบ้านตระกูลลู่ ส่วนซูชิงลั่วก็แค่หลานสาวนอกตระกูล แล้วทำไมซูชิงลั่วถึงได้นั่ง ส่วนนางกลับต้องคุกเข่าลู่เหิงจือพูดเสียงเย็น "ซ่งเหวิน"ซ่งเหวินรีบเดินเข้ามาและเตะนางจนล้มลงคุกเข่า ก่อนจะกดหลังนางไว้นางกรีดร้องออกมา "พวกเจ้าจะทำอะไร? ข้าเป็นบุตรสาวคนโตของบ้านตระกูลลู่ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาตัดสินข้า!"ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "ไปเชิญท่านย่ากับนายหญิงใหญ่มา"หัวใจของลู่หมิงซือเย็นเ
แต่ในใจนางก็เริ่มตระหนักได้ว่า หลังจากได้เป็นภรรยาของลู่เหิงจือแล้ว เกรงว่าต่อไปจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งคราว นางคงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองจัดการเรื่องแบบนี้ไม่เป็นได้นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็ลงโทษนางกักบริเวณสักหนึ่งเดือนเถิด"คงจะรุนแรงพอแล้วใช่ไหม?ลู่เหิงจือขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวลู่หมิงซือพอได้ยินเช่นนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหญิงชราเองก็ถอนหายใจเช่นกันแล้วกล่าวว่า "ชิงลั่วจิตใจดีเสมอ เอาอย่างนี้แล้วกัน ลงโทษหมิงซือกักบริเวณครึ่งปี ลดเบี้ยเลี้ยงลงครึ่งหนึ่ง และให้คัดกฎแห่งสตรีสามบททุกวัน"เมื่อซูชิงลั่วเอ่ยปากไปแล้ว ลู่เหิงจือจึงไม่อาจแย้งได้ เขาพูดเสียงเรียบว่า "ขายตัวสาวใช้ของนางออกไปเสีย"น้ำตาของลู่หมิงซือไหลพราก "ไม่...ไม่ได้นะ...เยว่เสี่ยวเติบโตมากับข้าตั้งแต่เล็ก ข้าขอร้องล่ะ ได้โปรด..."นางพุ่งเข้ามากอดเท้าซูชิงลั่ว ดึงชายกระโปรงของนาง "ท่านพี่ ข้าขอร้องล่ะ จะให้เยว่เสี่ยวถูกขายไม่ได้นะ ข้าขอร้องล่ะ…"ซูชิงลั่วเริ่มรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อยจึงหันไปมองลู่เหิงจือลู่เหิงจือจับมือนางไว้ บีบเบาๆ นางจึงไม่เอ่ยอะไรออกไปอีกเรื่องราวจึงได้
หน้าอกร้อนผ่าวของเขา แนบชิดกับแผ่นหลังของนาง ส่งต่อความร้อนและจังหวะหัวใจรัวเร็วให้นางได้สัมผัสเขาบอกว่า "ชอบเจ้า" สองคำด้วยเน้ำสียงเรียบเฉย เหมือนกำลังพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป ทว่าความธรรมดานั้นแฝงด้วยความจงใจ จึงดูไม่เป็นธรรมชาตินักซูชิงลั่วนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยคำว่า "ชอบนาง" ตรงๆ แบบนี้ นางนึกว่าจะต้องรบเร้ากันมากกว่านี้เสียอีกนางรู้สึกถึงมือของเขาที่วางอยู่บนเอวของนาง สั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับว่าเขากำลังประหม่าอยู่ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ คนผู้นี้ที่รับมือกับฮ่องเต้และขุนนางในราชสำนักได้อย่างสงบนิ่ง ทว่าตอนนี้กลับดูประหม่าเสียเองเมื่อคิดว่าเป็นเพราะตัวนางที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ หัวใจของนางก็พลันอบอวลด้วยความหวานและความอิ่มเอมลู่เหิงจือกอดนางอยู่นาน โดยไม่ได้ขยับไปไหนผ่านไปสักพัก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "ฮูหยิน เจ้าถามเรื่องนี้ใช่หรือไม่?""อืม" ซูชิงลั่วตอบเบาๆ "ถ้าท่านบอกตั้งแต่แรก...ก็คงดี…"ใบหูนางแดงก่ำ เริ่มรู้สึกเขินอาย ราวกับลูกแมวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาหัวใจของลู่เหิงจือที่เคยตื่นตระหนกก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ปลายนิ้วของเขาไม่สั่นอีกต่อไป
เปลวเทียนสั่นไหวเล็กน้อย มีเสียงลมพัดจากด้านนอกไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้วพรหมลิขิตจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนซูชิงลั่วนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ความทรงจำยังคงแจ่มชัดไม่ลืมเลือนปีนั้น นางได้สูญเสียครอบครัวไปบิดาของนางตกจากม้าและล้มป่วยหนัก จากไปในเดือนมีนาคมหลังจากที่คลอดนาง มารดาก็มีสุขภาพอ่อนแอมาโดยตลอด หลังจากที่บิดาเสีย มารดานางก็พยายามประคับประคองตระกูลซูไว้ แต่ก็มาล้มป่วยในเดือนสิงหาคม และจากไปอย่างกะทันหันตระกูลซูก็เริ่มสั่นคลอนจนแทบจะล่มสลาย บ่าวไพร่ต่างพากันหนีหายพร้อมกับกวาดทองคำและทรัพย์สินไปมากมาย จนกระทั่งลู่โย่วมา ตระกูลซูถึงพอประคับประคองไปต่อได้แต่ครอบครัวของนางก็พังทลายลงไปแล้วนางในตอนนั้นยังไม่รู้ความอะไรมาก ได้แต่มองลู่โย่วและหัวหน้าตระกูลซูจัดการทุกอย่างในบ้านทีละอย่างๆ ทำเอกสารแล้วพานางกลับมายังเมืองหลวงในตอนนั้นสำหรับนาง ลู่โย่วคือญาติเพียงคนเดียว และเป็นคนที่ช่วยนางให้รอดพ้นจากวิกฤติดังนั้นหลายปีมานี้ นางจึงรู้สึกขอบคุณลู่โย่วอยู่เสมอรวมถึงลู่เหิงจือที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบหกปีด้วยวันที่นางขึ้นเรือเพื่อกลับเมืองหลวง นางได้พบกับลู่เหิงจือเป็น
โจรคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่าเขาใช้มือกุมบาดแผลที่ไหล่ เลือดไหลซึมผ่านระหว่างนิ้วเดิมคิดว่าเขาน่าจะต่อว่านางที่ช่วยอะไรไม่ได้ ขนาดนางเองก็ยังเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์แต่เขากลับพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "ไม่เป็นไร อย่ากลัว"น้ำเสียงของเขาแม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกปลอบประโลมอย่างมากน้ำตาของนางไหลพรั่งพรูออกมา อยากยื่นมือไปช่วยพยุงเขา แต่เขากลับหันหลังแล้วพูดว่า "ไปเถอะ"พวกเขาเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ตลอดทางมีศพนอนเรียงรายอยู่นางกับจื๋อหยวนไม่กล้ามอง ต่างพยุงกันเข้าไปในห้องลู่โย่วก็ได้รับบาดเจ็บ เด็กรับใช้ข้างกายร้องไห้พูดว่า "ต้องรอถึงฝั่งก่อนถึงจะหาหมอได้ ตอนนั้นไม่สู้ให้นายท่านนั่งเรือลำเล็กไปแจ้งทางการก่อนดีกว่า จะทำอย่างไรถ้าเลือดไม่หยุดไหล?"ลู่โย่วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "เหลวไหล? บุตรสาวเพียงคนเดียวของพี่สาวข้ายังอยู่บนเรือ ข้าจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างไร?"เลือดยังคงไหลไม่หยุด"ท่านน้า" นางเรียกเขา ลู่โย่วหันมายิ้มให้นางอย่างอ่อนแรงนางรีบเดินไปหยิบผ้าพันแผลจากมือของเด็กรับใช้และเปลี่ยนที่ออกแรงกดบาดแผลไว้ เลือดหยุดไหลในทันทีเด็กรับใช้ตกตะลึงอย่างมาก
ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความเขินอายนางยกมือยันหน้าอกของลู่เหิงจือไว้ พลางได้ยินเขาพูดว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เจ้าคิดดีกว่าเถิดว่าจะทำอย่างไรให้ข้ามีความสุขในตอนนี้"เสียงของเขาทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ ค่อยๆ จูบเช็ดน้ำตาของนางอย่างแผ่วเบาริมฝีปากอ่อนนุ่มไล่จูบจากเปลือกตาลงมาจนถึงแก้ม และไล่ลงไปถึงปลายคางของนาง"เหตุใดเจ้าถึงขี้ขลาดนัก?" ลู่เหิงจือนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งอยู่บนเรือ ริมฝีปากหยุดที่ริมฝีปากของนางก่อนจะเอ่ยเบาๆเหตุการณ์ทั้งหมดก็ผ่านมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว นางกลับยังกลัวจนร้องไห้ได้แต่เมื่อซูชิงลั่วได้ยินคำพูดนั้น ความหมายมันกลับแปรเปลี่ยนไป นางคิดว่าเขากำลังเยาะเย้ยตัวนางในตอนนี้นางหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดึงคอเสื้อของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเสียหน่อย"ลู่เหิงจือหันหน้าหนีเล็กน้อยแล้วหลุบตาลงดวงตาของนางส่องประกายราวกับจิ้งจอกน้อย มีความไร้เดียงสาและดื้อดึงอยู่ในที บนใบหน้าของนางปรากฏแววของคนที่ตัดสินใจแล้วลู่เหิงจือยังไม่ทันเข้าใจความหมายของสีหน้านางในตอนนี้ ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วจูบเขาลู่เหิงจือสะดุ้งต