แม้ว่านางจะมอบหมายงานทั้งหมดให้กับตัวเองแล้วแต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องวิ่งเต้นเพื่อเรื่องนี้มานานขนาดนี้ ต้องให้นางวางใจถึงจะดีที่สําคัญกว่านั้นก็คือ ตามที่พระสนมหวงกุ้ยเฟยได้กล่าวไว้ ตอนนี้ตนเองถือว่าเป็นที่พึ่งของญาติผู้พี่แล้ว ตนเองต้องไปเดินเล่นบ่อยๆ ถึงจะได้หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เผยฉู่เยี่ยนก็หันหลังและออกจากวังไปหลังจากเผยฉู่เยี่ยนจากไป ตําหนักชิงอวิ๋นก็ต้อนรับแขกหายากสองคน“ถวายพระพรพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” คนที่มาคือสนมสนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเยว่กุ้ยเหรินเมื่อพวกนางมาถึง ซ่งชิงเหยียนกําลังวิ่งอยู่ในเรือนกับลู่ซิงหว่าน มองดูเด็กที่มีชีวิตชีวาตรงหน้า ซ่งชิงเหยียนรู้สึกผ่อนคลายมาก“องค์หญิงหย่งอันวิ่งได้แล้วหรือ?” สนมเล่อกุ้ยเหรินวิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความประหลาดใจ ซ่งชิงเหยียนเห็นแล้วหัวใจแทบจะบีบรัด"เจ้าระวังหน่อย ตอนนี้ร่างกายก็ห้าเดือนแล้ว ต้องระวังหน่อยถึงจะดี”สนมเล่อกุ้ยเหรินจึงหยุดเดิน ยิ้มอย่างอายๆ “หม่อมฉันลืมไปแล้วเพคะ”ลู่ซิงหว่านจึงหยุดเดินและเดินไปหาซ่งชิงเหยียน[การบํารุงรักษาของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นดีจริงๆ ตั้งครรภ์มาเกือบห้าเดือนแล้ว ยังผอมขนาดนี
แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าแม่นางฉยงหัวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาส่งเม็ดทองหนึ่งกํามือให้ฉยงหัวด้วยตนเอง “น้ำใจเล็กน้อยเหล่านี้ สามารถซื้อยาให้แม่นางฉยงหัวได้”“ไม่ต้องแล้ว ขอบคุณสนมกุ้ยเหริน” ฉยงหัวกลับปฏิเสธแล้ว “ข้าอาศัยอยู่ในตําหนักของพระสนม ทุกอย่างได้รับการดูแลจากพระสนม ไม่จําเป็นต้องใช้เงิน”สนมเล่อกุ้ยเหรินจึงรับอย่างเก้อเขิน “เป็นข้าเองที่บุ่มบ่าม”หลังจากเผยฉู่เยี่ยนออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เขาก็มุ่งหน้าไปยังจวนลตระกูลเหอทันทีวันนี้เหอหย่งไม่รู้ว่าทําไม รู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะการเลื่อนตําแหน่งของหลินเหอเฉิง ทําให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตามากขึ้น และอาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี้เขาได้เชิดหน้าชูตาอย่างหาได้ยาก เสนาบดีเหอจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่นางหลินกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้นางกําลังอยู่ในเรือนของเหออวิ๋นเหยา กอดเหออวิ๋นเหยาที่ร้องไห้จนหัวใจแตกสลายเพื่อปลอบโยน“ท่านแม่ ทําไมท่านพ่อถึงใจร้ายขนาดนี้ ส่งข้ากลับบ้านเกิด แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”เมื่อก่อนเหออวิ๋นเหยาอาศัยว่าพ่อของตัวเองเป็นราชเลขากรมแรงงาน ตอนที่กลับบ้านเกิดก็หยิ่งผยองกับลูกพี่ลูกน้องในบ้
พอนางหลินได้ยินก็ขมวดคิ้ว “มาก็มาแล้ว ยังต้องบอกข้าอีกหรือ?”สําหรับคนของจวนอันกั๋วกง นางมักจะหลีกเลี่ยงอยู่เสมอได้ยินว่าหลายวันก่อนเหออวิ๋นเหยายังไปมาหาสู่กับคนของจวนอันกั๋วกง หลายวันมานี้นางยุ่งอยู่กับเรื่องของอวิ๋นเหยา จึงไม่มีเวลาไปสืบดูแม่นมหลินกลับก้มศีรษะลงอย่างอึดอัดมาก จากนั้นก็มองไปที่นางหลิน “นายท่านเพิ่งออกไป ฮูหยินใหญ่บอกว่าให้ท่านไปต้อนรับ”เมื่อนางหลินมาถึงห้องโถงหลัก เผยฉู่เยี่ยนก็รอมาหนึ่งก้านธูปแล้วแต่เขาก็ระงับอารมณ์ของตัวเองและดื่มชาทีละถ้วยนางหลินพยายามมปรับสภาพจิตใจของตนเอง แล้วจึงเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเผยซื่อจื่อมา กลับทําให้ซื่อจื่อรอนานแล้ว”เผยฉู่เยี่ยนไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้มเท่านั้นนางหลินแอบด่าเผยฉู่เยี่ยนในใจ แต่กลับต้องฝืนยิ้มต้อนรับ “ไม่ทราบว่าซื่อจื่อมาจวนเหอของพวกข้ามีธุระอะไรหรือ?”“จะว่าไป ตระกูลข้ากับตระกูลเหอของพวกเจ้าก็เป็นญาติกัน” เผยฉู่เยี่ยนวางถ้วยน้ำชาลงตรงหน้าเขา จากนั้นก็มองไปที่นางหลินซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา แต่สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา“ตอนนี้จวนอันกั๋วกงของพวกข้าตกต่ำแล้ว ตระกูลเหอกลับรังเกียจที่จะไปม
หลายปีที่ผ่านมา ตัวเองสับสนว่าพ่อรักน้องหญิงมากกว่าตัวเองพัวพันว่าพ่อไม่เสียใจกับการตายของท่านแม่ ใจจดจ่ออยู่กับนางหลินเท่านั้นแต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเหอหย่งเข้าหาท่านแม่ของตัวเองโดยมีเป้าหมายตั้งแต่แรก ยิ่งรักนางหลินมากเท่าไร นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีความรักของพ่ออะไร ไม่สําคัญแล้วท่านแม่ต่างหากที่เป็นคนน่าสงสารคนนั้นเมื่อเผยฉู่เยี่ยนเห็นนางเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อปลอบใจนางอีก เขาทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “ถ้าพี่หญิงมีปัญหาในภายภาคหน้า ก็ไปหาข้าที่จวนอันกั๋วกงได้เลย”“ข้ากับท่านเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันตลอดไป”มองแผ่นหลังของเผยฉู่เยี่ยนที่จากไปและคําพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ เหออวี่เหยาก็หลั่งน้ำตาทันทีณ ตําหนักซิงหยางในเวลานี้ มีแขกที่หายากคนหนึ่งต้อนรับอยู่ราชเลขากรมขุนนางคนเดิม ใต้เท้าเสิ่น รองราชเลขากรมขุนนางคนปัจจุบันก็คือพ่อของเสิ่นเป่าเหยียนและเสิ่นเป่าซวง ใต้เท้าเสิ่นหลายวันมานี้ ใต้เท้าเสิ่นอยู่ที่บ้านเป็นห่วงมากเมื่อก่อนเขาเคยเป็นหัวหน้าของหลินเหอเฉิง แต่หลินเหอเฉิงคนนี้กลับเป็นคนที่จิตใจไม่ซื่อตรงเพราะเหตุนี้ตนเองจึงกลั่นแกล้งเขาไม่น้อยยิ่
“พระองค์โปรดวางใจ กระหม่อมจะไม่ทําให้พระองค์ผิดหวัง”องค์รัชทายาทรู้สึกว่าใต้เท้าเสิ่นดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของตนผิดแล้วเมื่อหันไปมององค์ชายรองที่อยู่ข้างกาย ทั้งสองก็หันมาสบตากัน ในดวงตายิ้มอย่างจนใจแต่มีผู้ช่วยแบบนี้ ยังไงก็ดีกว่าไม่มีทางนางหลินตั้งใจเลือกวันที่ส่งเหออวิ๋นเหยาออกจากเมืองหลวงเป็นวันที่องค์หญิงรองจะอภิเษกสมรสนี่เป็นการตัดสินใจของเสนาบดีเหอจริงๆ แล้ว ในวันที่องค์หญิงรองอภิเษกสมรส ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงเกือบทั้งหมดจะไปร่วมงานแต่งงานที่บ้านของราชครูหลินในวังก็มุ่งความสนใจไปที่องค์หญิงรอง ไม่ได้สนใจด้านนี้แต่นางลืมไปว่ายังมีนางโจวที่จ้องมองเหออวิ๋นเหยาอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อสนองความกตัญญูกตเวทีขององค์หญิงรอง องค์หญิงรองจึงออกเรือนจากตําหนักจูหวาของสนมซูผินก่อนออกเดินทาง ลู่ซิงเสวี่ยและหลินจื่อโจวสองสามีภรรยาก็แค่คุกเข่าต่อหน้าสนมซูผินในตําหนักของตําหนักจูหัวเพราะฮ่องเต้ต้าฉู่ตรัสสั่ง สนมซูผินจึงทําได้แค่มองดูบุตรสาวในตําหนัก ยืนอยู่ตําแหน่งประตูนั้นเท่านั้น แต่กลับออกไปไม่ได้ ได้แต่เฝ้าประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย มองส่งบุตรสาวของตนจากไปไกลนี่เป็นครั
การแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่จริง ๆ อย่างไรเสียราชครูหลินก็เป็นราชครูขององค์รัชทายาท แม้ว่าตอนนี้จะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีอิทธิพลอยู่องค์รัชทายาทจะเสด็จมาถึงเป็นคนแรกยิ่งครึกครื้น ทางด้านเสนาบดีเหอก็ยิ่งสบายใจ เขาก้มหน้าส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามข้างกายตน ให้เขากลับไปที่จวนเพื่อแจ้งให้นางหลินทราบว่าสามารถออกเดินทางได้แล้วเพื่อส่งเหออวิ๋นเหยาออกจากเมือง นางหลินแสร้งทําเป็นป่วยและไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานนี้ไม่ไกลนัก เผยฉู่เยี่ยนที่จ้องมองเหอหย่งมานานแล้ว เมื่อเห็นผู้ติดตามของเหอหย่งจากไป เขาก็ขยิบตาให้หลินจี้ที่อยู่ข้างๆ เขา หลินจี้ก็รีบเดินตามไปท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนจากอันกั๋วกง เผยฉู่เยี่ยนไม่จําเป็นต้องพูด หลินจี้ก็เข้าใจความหมายของเขาการเดินทางของนางหลินไม่ราบรื่นจริง ๆ เพิ่งออกจากจวนเหอได้ไม่นาน ก็ได้พบกับฮูหยินกว่างฉินโหว“ทําไมฮูหยินเหอไม่ไปเข้าร่วมงานแต่งของจวนไท่ฟู่ล่ะ?” ฮูหยินก่วงฉินโหวย่อมเป็นคนที่เหออวี่เหยาเชิญมาแต่เช้าอยู่แล้ว ก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นใด เพียงเพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้กับนางหลินเท่านั้นนางหลินคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกคนอื่นจําได
เขาสั่งให้คนขับรถม้าเดินวนรอบเมืองอีกสองสามรอบ แล้วจึงออกจากเมืองไปและหลังจากที่รถม้าของนางหลินจากไป คนที่อยู่ข้างกายฮูหยินของกว่างฉินโหวก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ที่แท้ก็คือเหออวี่เหยา“ลําบากท่านย่าก่วนแล้ว” เพราะความใกล้ชิดกับฮูหยินกว่างฉินโหว ตอนนี้เหออวี่เหยาจึงเปลี่ยนชื่อเรียกแล้ว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันหลังหากนางรู้เข้าจะโทษท่านย่าก่วนหรือไม่?”แต่ฮูหยินกว่างฉินโหวกลับทําท่าทางไม่สนใจแม้แต่น้อย ตบมือของเหออวี่เหยาเบาๆ “จะว่าไปแล้ว การทําเช่นนี้ทําให้นางอึดอัดใจ ข้ากลับรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย”“ต่อให้สามีของนางจะเก่งแค่ไหน ก็เป็นแค่ราชเลขากรมแรงงานเท่านั้น ข้ายังไม่กลัวนาง”เหออวี่เหยาหันไปมองฮูหยินกว่างฉินโหว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในใจกลับครุ่นคิดว่าเหออวิ๋นเหยาจะมีชีวิตที่น่าสังเวชอย่างไรหลังจากวันนี้รถม้าของตระกูลเหอหยุดที่ตําแหน่งห่างจากนอกเมืองไปสิบลี้นางหลินประคองเหออวิ๋นเหยาที่ถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาลงจากรถม้า ส่งสัญญาณให้รถม้าอีกคันที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเข้ามารับคนออกไปเหออวิ๋นเหย่ากลับมองนางหลินด้วยใบหน้าที่ร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านแม่ ข้าไม่อยากไป”“ไม่ได้!” นาง
คําพูดของนางหลินทําให้นางโจวโกรธขึ้นมาทันทีนางโจวรีบก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่ตรงหน้านางหลิน นางจ้องมองนางหลินอย่างโกรธเคืองเนื่องจากการทรมานในหลายวันมานี้ นางโจวจึงทนทุกข์ทรมานจนหนังหุ้มกระดูกแล้วเป็นเพราะนางที่เป็นแบบนี้ ทําให้หัวใจของนางหลินยิ่งหวาดกลัว นางรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางเหมือนปีศาจจากนรกที่มาเอาชีวิตนาง“เหออวิ๋นเหยาของเจ้าอยู่บ้านดีๆ แล้วอินเอ๋อร์ของข้าล่ะ?” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย นางโจวถึงกับกัดฟันและมองไปที่นางหลินนางหลินตกใจ นางรู้แล้วหรือ?ในใจพลันตื่นตระหนกขึ้นมา"อาซ้อ อาซ้อพูดอะไรกัน อวิ๋นเหย่ากับอินเอ๋อร์...”ประโยคนี้ของนางหลินยังพูดไม่จบ ก็ถูกนางโจวจับคอเสื้อไว้แล้ว “ข้าจะบอกให้นะ สิ่งที่อินเอ๋อร์ของข้าประสบมา ข้าจะต้องให้เหออวิ๋นเหยาชดใช้เป็นพันเท่าร้อยเท่า”พูดจบก็ปล่อยมือ ผลักนางหลินลงกับพื้นทันใดนั้นนางหลินก็ตกตะลึงแล้วตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?! เจ้าจะทําอะไรกับอวิ๋นเหยา?”เสียงของนางหลินดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา“อาซ้อ ท่านหมายความว่าอย่างไร!” นางหลินปิดปากตนเอง เดินเข้าไปหยิบสาบเสื้อของนางโจวขึ้นมาเช่นกั