หลายปีที่ผ่านมา ตัวเองสับสนว่าพ่อรักน้องหญิงมากกว่าตัวเองพัวพันว่าพ่อไม่เสียใจกับการตายของท่านแม่ ใจจดจ่ออยู่กับนางหลินเท่านั้นแต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเหอหย่งเข้าหาท่านแม่ของตัวเองโดยมีเป้าหมายตั้งแต่แรก ยิ่งรักนางหลินมากเท่าไร นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีความรักของพ่ออะไร ไม่สําคัญแล้วท่านแม่ต่างหากที่เป็นคนน่าสงสารคนนั้นเมื่อเผยฉู่เยี่ยนเห็นนางเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อปลอบใจนางอีก เขาทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “ถ้าพี่หญิงมีปัญหาในภายภาคหน้า ก็ไปหาข้าที่จวนอันกั๋วกงได้เลย”“ข้ากับท่านเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันตลอดไป”มองแผ่นหลังของเผยฉู่เยี่ยนที่จากไปและคําพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ เหออวี่เหยาก็หลั่งน้ำตาทันทีณ ตําหนักซิงหยางในเวลานี้ มีแขกที่หายากคนหนึ่งต้อนรับอยู่ราชเลขากรมขุนนางคนเดิม ใต้เท้าเสิ่น รองราชเลขากรมขุนนางคนปัจจุบันก็คือพ่อของเสิ่นเป่าเหยียนและเสิ่นเป่าซวง ใต้เท้าเสิ่นหลายวันมานี้ ใต้เท้าเสิ่นอยู่ที่บ้านเป็นห่วงมากเมื่อก่อนเขาเคยเป็นหัวหน้าของหลินเหอเฉิง แต่หลินเหอเฉิงคนนี้กลับเป็นคนที่จิตใจไม่ซื่อตรงเพราะเหตุนี้ตนเองจึงกลั่นแกล้งเขาไม่น้อยยิ่
“พระองค์โปรดวางใจ กระหม่อมจะไม่ทําให้พระองค์ผิดหวัง”องค์รัชทายาทรู้สึกว่าใต้เท้าเสิ่นดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของตนผิดแล้วเมื่อหันไปมององค์ชายรองที่อยู่ข้างกาย ทั้งสองก็หันมาสบตากัน ในดวงตายิ้มอย่างจนใจแต่มีผู้ช่วยแบบนี้ ยังไงก็ดีกว่าไม่มีทางนางหลินตั้งใจเลือกวันที่ส่งเหออวิ๋นเหยาออกจากเมืองหลวงเป็นวันที่องค์หญิงรองจะอภิเษกสมรสนี่เป็นการตัดสินใจของเสนาบดีเหอจริงๆ แล้ว ในวันที่องค์หญิงรองอภิเษกสมรส ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงเกือบทั้งหมดจะไปร่วมงานแต่งงานที่บ้านของราชครูหลินในวังก็มุ่งความสนใจไปที่องค์หญิงรอง ไม่ได้สนใจด้านนี้แต่นางลืมไปว่ายังมีนางโจวที่จ้องมองเหออวิ๋นเหยาอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อสนองความกตัญญูกตเวทีขององค์หญิงรอง องค์หญิงรองจึงออกเรือนจากตําหนักจูหวาของสนมซูผินก่อนออกเดินทาง ลู่ซิงเสวี่ยและหลินจื่อโจวสองสามีภรรยาก็แค่คุกเข่าต่อหน้าสนมซูผินในตําหนักของตําหนักจูหัวเพราะฮ่องเต้ต้าฉู่ตรัสสั่ง สนมซูผินจึงทําได้แค่มองดูบุตรสาวในตําหนัก ยืนอยู่ตําแหน่งประตูนั้นเท่านั้น แต่กลับออกไปไม่ได้ ได้แต่เฝ้าประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย มองส่งบุตรสาวของตนจากไปไกลนี่เป็นครั
การแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่จริง ๆ อย่างไรเสียราชครูหลินก็เป็นราชครูขององค์รัชทายาท แม้ว่าตอนนี้จะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีอิทธิพลอยู่องค์รัชทายาทจะเสด็จมาถึงเป็นคนแรกยิ่งครึกครื้น ทางด้านเสนาบดีเหอก็ยิ่งสบายใจ เขาก้มหน้าส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามข้างกายตน ให้เขากลับไปที่จวนเพื่อแจ้งให้นางหลินทราบว่าสามารถออกเดินทางได้แล้วเพื่อส่งเหออวิ๋นเหยาออกจากเมือง นางหลินแสร้งทําเป็นป่วยและไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานนี้ไม่ไกลนัก เผยฉู่เยี่ยนที่จ้องมองเหอหย่งมานานแล้ว เมื่อเห็นผู้ติดตามของเหอหย่งจากไป เขาก็ขยิบตาให้หลินจี้ที่อยู่ข้างๆ เขา หลินจี้ก็รีบเดินตามไปท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนจากอันกั๋วกง เผยฉู่เยี่ยนไม่จําเป็นต้องพูด หลินจี้ก็เข้าใจความหมายของเขาการเดินทางของนางหลินไม่ราบรื่นจริง ๆ เพิ่งออกจากจวนเหอได้ไม่นาน ก็ได้พบกับฮูหยินกว่างฉินโหว“ทําไมฮูหยินเหอไม่ไปเข้าร่วมงานแต่งของจวนไท่ฟู่ล่ะ?” ฮูหยินก่วงฉินโหวย่อมเป็นคนที่เหออวี่เหยาเชิญมาแต่เช้าอยู่แล้ว ก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นใด เพียงเพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้กับนางหลินเท่านั้นนางหลินคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกคนอื่นจําได
เขาสั่งให้คนขับรถม้าเดินวนรอบเมืองอีกสองสามรอบ แล้วจึงออกจากเมืองไปและหลังจากที่รถม้าของนางหลินจากไป คนที่อยู่ข้างกายฮูหยินของกว่างฉินโหวก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ที่แท้ก็คือเหออวี่เหยา“ลําบากท่านย่าก่วนแล้ว” เพราะความใกล้ชิดกับฮูหยินกว่างฉินโหว ตอนนี้เหออวี่เหยาจึงเปลี่ยนชื่อเรียกแล้ว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันหลังหากนางรู้เข้าจะโทษท่านย่าก่วนหรือไม่?”แต่ฮูหยินกว่างฉินโหวกลับทําท่าทางไม่สนใจแม้แต่น้อย ตบมือของเหออวี่เหยาเบาๆ “จะว่าไปแล้ว การทําเช่นนี้ทําให้นางอึดอัดใจ ข้ากลับรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย”“ต่อให้สามีของนางจะเก่งแค่ไหน ก็เป็นแค่ราชเลขากรมแรงงานเท่านั้น ข้ายังไม่กลัวนาง”เหออวี่เหยาหันไปมองฮูหยินกว่างฉินโหว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในใจกลับครุ่นคิดว่าเหออวิ๋นเหยาจะมีชีวิตที่น่าสังเวชอย่างไรหลังจากวันนี้รถม้าของตระกูลเหอหยุดที่ตําแหน่งห่างจากนอกเมืองไปสิบลี้นางหลินประคองเหออวิ๋นเหยาที่ถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาลงจากรถม้า ส่งสัญญาณให้รถม้าอีกคันที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเข้ามารับคนออกไปเหออวิ๋นเหย่ากลับมองนางหลินด้วยใบหน้าที่ร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านแม่ ข้าไม่อยากไป”“ไม่ได้!” นาง
คําพูดของนางหลินทําให้นางโจวโกรธขึ้นมาทันทีนางโจวรีบก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่ตรงหน้านางหลิน นางจ้องมองนางหลินอย่างโกรธเคืองเนื่องจากการทรมานในหลายวันมานี้ นางโจวจึงทนทุกข์ทรมานจนหนังหุ้มกระดูกแล้วเป็นเพราะนางที่เป็นแบบนี้ ทําให้หัวใจของนางหลินยิ่งหวาดกลัว นางรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางเหมือนปีศาจจากนรกที่มาเอาชีวิตนาง“เหออวิ๋นเหยาของเจ้าอยู่บ้านดีๆ แล้วอินเอ๋อร์ของข้าล่ะ?” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย นางโจวถึงกับกัดฟันและมองไปที่นางหลินนางหลินตกใจ นางรู้แล้วหรือ?ในใจพลันตื่นตระหนกขึ้นมา"อาซ้อ อาซ้อพูดอะไรกัน อวิ๋นเหย่ากับอินเอ๋อร์...”ประโยคนี้ของนางหลินยังพูดไม่จบ ก็ถูกนางโจวจับคอเสื้อไว้แล้ว “ข้าจะบอกให้นะ สิ่งที่อินเอ๋อร์ของข้าประสบมา ข้าจะต้องให้เหออวิ๋นเหยาชดใช้เป็นพันเท่าร้อยเท่า”พูดจบก็ปล่อยมือ ผลักนางหลินลงกับพื้นทันใดนั้นนางหลินก็ตกตะลึงแล้วตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?! เจ้าจะทําอะไรกับอวิ๋นเหยา?”เสียงของนางหลินดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา“อาซ้อ ท่านหมายความว่าอย่างไร!” นางหลินปิดปากตนเอง เดินเข้าไปหยิบสาบเสื้อของนางโจวขึ้นมาเช่นกั
ทางด้านเหออวิ๋นเหย่า มีคนของเผยฉู่เยี่ยนรออยู่นอกเมืองมานานแล้วหลายวันก่อน ในที่สุดนางโจวก็คิดได้แล้ว อาศัยตัวเองคนเดียว ต้องการให้เหออวิ๋นเหยาชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ใช่เรื่องยากแต่นางไม่เพียงแต่ต้องการให้นางชดใช้ด้วยชีวิตของหลินอินเท่านั้น สิ่งที่นางคิดคือต้องการให้เหออวิ๋นเหย่าได้ลิ้มรสสิ่งที่หลินอินเคยประสบมาดังนั้นนางจึงริเริ่มที่จะหาเผยฉู่เยี่ยนในเมื่อเผยซื่อจื่อสามารถเสนอออกมาเพื่อตัดสินใจแทนตนเองได้ เช่นนั้นย่อมสามารถทําในสิ่งที่ตนเองอยากทําได้อย่างแน่นอนเพียงแต่เผยฉู่เยี่ยนไม่ได้แค่ช่วยนางเท่านั้น แต่ยังเสนอเงื่อนไขด้วยจุดประสงค์ของตระกูลโจวคือการแก้แค้นให้หลินอินจุดประสงค์ของเผยฉู่เยี่ยนคือดึงเหอหย่งลงจากหลังม้าเรื่องนี้ต้องการโอกาส โอกาสนี้ เสนอโดยนางโจวจะดีที่สุดแล้วเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นแน่นอนว่านางโจวเห็นด้วยแน่นอนว่านางต้องการแก้แค้นแทนหลินอิน ไม่เพียงแต่แก้แค้นเหออวิ๋นเหยาเท่านั้น แต่ยังต้องแก้แค้นนางหลินที่ตามใจเหออวิ๋นเหยา แม้กระทั่งใต้เท้าหลินที่ไม่สนใจหลินอิน สามีของนางแม้แต่เผยฉู่เยี่ยนยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วแต่จะบ้าหรือไม่ไม
สถานที่ที่หลินจีส่งเหออวิ๋นเหย่าไปก็คือซ่องโสเภณีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงกฎระเบียบของต้าฉู่เขียนไว้อย่างชัดเจนและชัดเจนว่าขุนนางไม่ได้รับอนุญาตให้ค้าประเวณีแต่เหล่าขุนนางที่ร่ำรวยเหล่านี้ย่อมรู้ว่าดอกไม้ในบ้านไม่ดีเท่าดอกไม้ป่าไม่ว่าภรรยาที่บ้านจะเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแค่ไหน ต่อให้มีภรรยาและอนุภรรยาอยู่เป็นฝูง ก็อยากจะลองชิมรสชาติของข้างนอกบ้างไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ซ่องลับแห่งนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นพอเปิดกิจการ ก็ดึงดูดเหล่าขุนนางนับไม่ถ้วนมา นานวันเข้าก็กลายเป็นความลับที่ขุนนางในเมืองหลวงรู้อยู่แก่ใจและความลับของซ่องลับนี้เข้มงวดมากทุกคนที่เข้ามาต้องแยกมาต่างหาก และต้องสวมหน้ากากเมื่อเข้ามาประการแรก คือจะไม่พบคนรู้จักอย่างแน่นอน ประการที่สองคือ แม้ว่าจะเกิดความผิดพลาดใดๆ ก็ต้องมีหน้ากากปิดบังไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้ตัวตนแต่งขุนนางพวกนี้ ส่วนใหญ่มีนิสัยชอบเล่นเล่นท่ามากอีกต่างหากซ้ำยังคร่าชีวิตผู้คนไปหลายชีวิตแต่ท่านแม่เล้าของซ่องนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เอาแต่ตามใจเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การค้าก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นแม้จะไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังซ่องลับคนนี้คือใ
นางรีบปีนลงจากเตียงแต่ขาสองข้างก็ลอยเล็กน้อยเพราะความกลัว นางหลินล้มตัวลงนอนตรงใต้เตียงสาวใช้ที่รับใช้ข้างกายนางรีบก้าวเข้าไปรับนางไว้ แต่ก็ถูกเท้าของตัวเองสะดุดล้มนายบ่าวสองคนล้มลงบนพื้น สถานการณ์ดูน่าขันอยู่บ้างสาวใช้คนนั้นลุกขึ้นแล้วคลานไปข้างๆ นางหลิน คิดจะประคองนางขึ้นมานางหลินอาศัยแรงของสาวใช้คนนั้น แต่เพราะร่างกายไร้เรี่ยวแรง กลับไม่ได้ลุกขึ้น จึงล้มเลิกการกระทํา แล้วเงยหน้าขึ้นถามว่า “นายท่านกลับมาแล้วหรือ?”“เรียนฮูหยิน ยังครับ”คําพูดนี้ของสาวใช้ทําให้นางหลินหมดความมั่นใจทันทีในขณะที่นางหลินไม่รู้จะทําอย่างไรดี เสนาบดีเหอก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา ยังไม่ทันถึงเสียงก็ดังมาก่อน “เป็นอย่างไรบ้าง?”กลับเห็นนางหลินเอนกายพิงขอบเตียงเลอะเทอะมากในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรังเกียจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เพียงแค่นั่งลงบนเตียงนุ่มด้านข้าง มองนางหลินที่อยู่ตรงหน้า ถามอีกครั้ง “อวิ๋นเหยาส่งไปแล้วหรือ?”นางหลินเพิ่งได้สติ กระโจนเข้าหาเสนาบดีเหออย่างบ้าคลั่ง “นายท่าน นายท่าน ท่านช่วยอวิ๋นเหยาด้วย เร็วหน่อย...”เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางหลินก็ดูเหมือนจะสําลักน้ำลายของตัวเองและไ