เมื่อเห็นนางกัวยอมจำนน ซ่งชิงเหยียนจึงได้สั่งการ “จิ่นซิน พยุงอาสะใภ้ไปนั่งเก้าอี้”กัวเยว่เส้าเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีน้ำใจเช่นนี้ พลันรู้สึกเลื่อมใสยิ่ง ความองอาจของพระสนมเมื่อครู่นี้ แม้แต่ตนก็ยังอดนึกกลัวไม่ได้อาหญิงทำเกินไปจริงๆ ความสุขสบายที่อาหญิงกับอาเขยมีในทุกวันนี้ ล้วนมาจากจวนติ้งกั๋วโหวทั้งสิ้นแม้ว่าแต่ก่อนอาหญิงอยู่บ้านจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ยังนับว่าดีต่อตนอยู่ไม่น้อยดังนั้นเมื่อเห็นอาหญิงถูกพระสนมหวงกุ้ยเฟยตำหนิ ในใจนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งเมื่อได้ยินพระสนมหวงกุ้ยเฟยยอมให้อาหญิงนั่งลง กัวเยว่เส้าจึงรีบไปพยุงกัวหรู เมื่อเห็นนางนั่งลงแล้ว จึงค่อยนั่งที่ด้านข้างกัวหรูอีกทีเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ทำให้บรรยากาศในห้องโถงเกิดความตึงเครียดบ้างแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ตกใจกับความขึงขังของแม่ตัวเอง[ว้าว ท่านแม่ออกหน้าแทนท่านยาย ดูแล้วน่ากลัวมาก][แต่คนเราไม่อาจดูแค่หน้าตา ไม่นึกว่ากัวเยว่เส้าจะเป็นคนถ่อมตัวเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นคุณหนูที่ตระกูลกัวตั้งใจอบรมสั่งสอน]ซ่งชิงเหยียนได้ยินลู่ซิงหว่านกล่าวเช่นนี้ พลันรู้สึกนึกสงสัย ในหนังสือนิทานก็มีกล่าวถึง
[ข้าเพิ่งนึกถึงกัวหรูขึ้นมาได้]เสียงบ่นพึมพำของลู่ซิงหว่านแว่วเข้าหูซ่งชิงเหยียนอีกครั้ง[ท่านตามีน้องชายต่างมารดาคนหนึ่งชื่อซ่งจางอิงใช่หรือไม่ และกัวหรูก็คือภรรยาของซ่งจางอิง]ราวกับต้องการให้ลู่ซิงหว่านได้รู้จัก ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปากถามถึง “ทำไมไม่เห็นอารองล่ะ ไปทำงานที่กรมพิธีการหรืออย่างไร?”ทุกวันนี้ซ่งจางอิงทำงานอยู่กรมพิธีการ ในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญอันใด นอกจากให้บรรดาลูกขุนนางแขวนชื่อไว้ ถึงเวลาก็รับบำนาญสบายๆ เท่านั้น เป็นตำแหน่งขุนนางในระดับห้า แม้ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ถือว่าพอมีงานให้ทำ ดีชั่วอย่างไรก็ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้าซ่ง’เมื่อเอ่ยถึงสามีของตน สีหน้ากัวหรูก็ปรากฏแววบึ้งตึง ก่อนหน้านี้ได้ถูกติ้งกั๋วโหวเรียกไปอบรม ทำให้เขาพอสงบเสงี่ยมอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ทำงานทำการบ้าง ถึงเวลาก็ไปลงชื่อเข้างานในกรมพิธีการแต่หลายวันมานี้ ไม่รู้ไปรู้จักเพื่อนกินกลุ่มไหนเข้าอีก วันๆ เริ่มไปเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์อีกครั้งแต่มาอยู่ต่อหน้าครอบครัวของติ้งกั๋วโหว อย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง “เมื่อครู่เพิ่งกลับมา แต่ก็รีบร้อนออกไปอีก คาดว่าคงมีงานด่วนกระมัง”ครอบครัวติ้งกั๋วโหวย
[ซ่งจางอิงแต่เดิมก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ถูกคนขององค์ชายสามหมายตาเข้าได้อย่างไร][แต่ในหนังสือนิทานบอกว่าตระกูลชุยทรงอิทธิพลในเมืองหลวงนัก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กัวเยว่เส้าจะมายังจวนติ้งกัวโหว][แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายสามยังล่ำซำอยู่หรือเปล่า?][ถ้าจะบอกว่าซ่งจางอิงเป็นคนเลวร้าย เขาก็ไม่เคยคาดหวังต่อฐานะตัวเองในจวนติ้งกั๋วแต่อย่างใด และเขาก็รู้ว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ยังไงก็เป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสวยสุขไปวันๆ ยังจะดีเสียกว่า][แต่เขาก็โง่นัก โง่ที่ถูกคนรอบข้างขององค์ชายสามหลอกใช้ ถือกระบี่เล่มหนึ่งกลับมายังจวนโหวและส่งไปที่หนังสือของท่านตา แต่ท่านตากลับไม่รู้อะไรด้วย][แต่ภายหลังในฝักกระบี่ กลับพบจดหมายติดต่อระหว่างติ้งกั๋วโหวกับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งประหารติ้งกั๋วโหวทั้งครอบครัว]ซ่งชิงเหยียนฟังถึงตรงนี้ พลันพรวดพราดยืนขึ้น พร้อมมองไปยังห้องหนังสือของบิดา แต่กลับคิดได้ว่าตนมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงนั่งลงอีกครั้งทุกคนแม้จะตกใจเพราะท่าทีของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงพูดคุยไปตามปกติซ่งชิงเหยียนก็พลอยเออออห่อหมกไป
ทุกคนต่างหัวเราะร่วนอีกครั้งและที่ติ้งกั๋วโหวกลับมาเมืองหลวงรอบนี้ มีเพียงบุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ รองแม่ทัพจ้าวหานยวน พี่ชายฮองเฮาเสิ่นหนิงนามว่าเสิ่นเซียว และทหารอีกสิบกว่าคนติดตามมาด้วยเท่านั้นทุกคนล้วนขี่ม้าเก่ง อีกทั้งหวังกลับบ้านโดยเร็ว ตลอดทางจึงมาด้วยความรวดเร็วยิ่งเมื่อมาถึงวังหลวงก็ลงจากหลังม้า เร่งรีบไปทางห้องทรงอักษรจึงได้พบกับฮองเฮาซึ่งเพิ่งออกจากห้องทรงอักษรเช่นกันรู้ว่าติ้งกั๋วโหวกับพวกไม่ได้อยู่ร่วมพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ย่อมไม่รู้จักฮองเฮาองค์ใหม่แน่ ขันทีที่นำทางให้พวกเขาจึงรีบตรงไปถวายบังคม “บ่าวขอถวายบังคมฮองเฮา”ติ้งกั๋วโหวกับพวกจึงได้รีบทำตาม “ถวายบังคมฮองเฮา”แต่เสิ่นหนิงกลับจำติ้งกั๋วโหวได้ “ท่านโหวไม่ได้เข้าวังมานาน คงจะลืมธรรมเนียมไปแล้วกระมัง”ติ้งกั๋วโหวตกตะลึง เงยหน้ามองเสิ่นหนิงแม้ตนจะไม่เคยพบนางมาก่อน แต่เคยได้ยินบุตรสาวเอ่ยถึงฮองเฮาองค์นี้ ก่อนหน้านี้องค์หญิงหย่งอันถูกคนวางยาพิษ ฮองเฮาเป็นคนช่วยนางเอาไว้แต่ทว่าบัดนี้...ในความคิดของเสิ่นหนิง ในเมื่อบาดหมางกับซ่งชิงเหยียนไปแล้ว มาวันนี้ได้เจอบิดาของนาง แล้วเหตุใดจึงต้องเกรงใจอีกที่อยู่ด้านขวาม
อวิ๋นจูซึ่งตามหลังเสิ่นหนิงพลันเอ่ยปาก “ฮองเฮาจะไปถือสาคนเหล่านั้นทำไมเพคะ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกหยาบกร้าน มีแต่กลิ่นดินและเหม็นสาบเหงื่อไคลไปทั้งตัว”ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นพัดหน้าจมูก คล้ายต้องการไล่กลิ่นเหม็นให้หมดไป“ไปเถิด” เสิ่นหนิงไม่ตอบกลับ เพียงเดินนำอวิ๋นจูไปทางตำหนักจิ่นซิ่วส่วนทางเสิ่นเซียวนั้น กลับรู้สึกผิดต่อท่านโหวและรองแม่ทัพซ่งเป็นอย่างมาก รอจนเมิ่งฉวนเต๋อเดินห่างไปไกล จึงได้เอ่ยปากเสียงเบา “ท่านโหวอย่าได้ถือสาน้องสาวข้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”ติ้งกั๋วโหวย่อมไม่ถือสาเสิ่นเซียวอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นทหารที่มีความสามารถ ตนยังคิดส่งเสริมให้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพเสียด้วยซ้ำแต่ว่าเรื่องนี้ สุดท้ายยังต้องให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงพิจารณาจึงได้ตอบกลับเสียงเบา “ไม่เป็นไร นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง สมัยก่อนพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็มีนิสัยเถรตรงเช่นนี้”“ที่จริงวันนี้ข้าเองก็ทำไม่ถูก พบฮองเฮาครั้งแรก ควรต้องถวายบังคมต่อนาง”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รู้กาลเทศะ” เสิ่นเซียวคารวะต่อติ้งกั๋วโหว น้องสาวของตนนั้น อย่างไรก็ไม่อาจเทียบพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นผู้ห้าวหาญในการออกศึกในขณะที่เมิ่งฉวนเต๋อซึ่งเดิน
ทันทีที่ติ้งกั๋วโหวเอ่ยประโยคนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจในความหมาย พร้อมกับนั่งตัวตรงขึ้นแน่นอนว่า บัดนี้ติ้งกั๋วโหวได้เข้าสู่วัยชราแล้ว สมควรกลับไปอยู่กับครอบครัวเสพสุขในบั้นปลาย แต่ยังต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายรบทัพจับศึกเพื่อแคว้นต้าฉู่อีกฮ่องเต้ต้าฉู่เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็อดปวดใจเสียมิได้ บุคคลเช่นนี้ ตนยังสั่งประหารเก้าชั่วโคตรได้ลงคอตอนนั้นตนถูกผีเข้าหรืออย่างไร?“ใต้เท้าซ่งกล่าวถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เอ่ยปาก “ถึงเวลาต้องมีคนใหม่มารับช่วงแทน”รับสั่งจบก็เงยหน้าขึ้นมองติ้งกั๋วโหว “ท่านพอมีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่?”“ดั่งคำว่าคนนอกไม่สู้คนใน เลือกคนที่ผลงาน กระหม่อมเห็นว่า บุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด”“ชิงฉี่ติดตามกระหม่อมไปออกรบตั้งแต่เด็ก ผ่านการเคี่ยวกรำจนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การรบ สติปัญญายิ่งเหนือกว่ากระหม่อม อีกทั้งเคยอยู่ในกองทัพภาคตะวันตกถึงสามสิบกว่าปี นับว่าเหมาะสมยิ่งกว่าใคร” ติ้งกั๋วโหวกล่าวจบ สายตาก็มองไปยังฮ่องเต้ต้าฉู่ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นความมุ่งมั่นและจริงใจในแววตาของเขา พร้อมรู้สึกตื้นตันต่อความฮึกเหิมของ
“จ้าวหานยวน?” ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูนัก ฉับพลันก็ทรงนึกได้ “เป็นบิดาของฟางกุ้ยเหรินใช่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ติ้งกั๋วโหวตอบด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนึกได้ว่าซ่งชิงเหยียนเคยพูดเรื่องเกี่ยวกับสนมฟางกุ้ยเหรินให้ฟัง พลางรู้สึกปวดพระทัยยิ่ง ไหนๆ นางก็จากไปแล้ว ควรต้องดูแลพ่อแม่ของนางต่อ จึงได้รับปากทันที “ตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายซ้ายของกรมกลาโหมยังว่างอยู่ ก็ให้เขารับไปแล้วกัน”ออกจากห้องทรงอักษรมา ติ้งกั๋วโหวได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่จ้าวหานยวนได้รู้เดิมทีจ้าวหานยวนก็ไม่ต้องการไปลำบากลำบนอยู่ในค่ายทหารอีกแล้ว ไม่นึกว่ากลับมาเมืองหลวงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการระดับสามของกรมกลาโหม นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากและย่อมต้องขอบคุณติ้งกั๋วโหวที่ให้การช่วยเหลือจ้าวหานยวนในยามนี้ คิดแต่จะรีบกลับบ้านไปเยี่ยมลูกและภรรยาของตนส่วนเสิ่นเซียวนั้น ได้ติตามพ่อลูกติ้งกั๋วโหวไปยังจวนโหวแทนยามนี้ในจวนโหว หญิงหลายคนต่างสนทนาออกรสอยู่ในห้องโถง และท่านรองซ่งจางอิงก็มาจากข้างนอกพอดี“ดูจากข้างนอกก็รู้ว่ามีคนในวังมา ปรากฏว่าเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยจริงๆ” ซ่งจางอิงสมแ
และพ่อบ้านจ้าว ก็หนีจาก ‘อุ้มมือมาร’ ของติ้งกั๋วโหวไม่พ้นทุกคนต่างออกไปต้อนรับ ตามธรรมเนียมแล้ว ซ่งชิงเหยียนต้องยืนอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดแต่ธรรมเนียมก็ส่วนธรรมเนียม ติ้งกั๋วโหวพาลูกชายและเสิ่นเซียวมาคารวะพระสนมหวงกุ้ยเฟยก่อนไม่ทันรอให้บิดาได้คุกเข่า ซ่งชิงเหยียนรีบไปพยุงเขา “ท่านพ่อไม่ต้องมากพิธี ฝ่าบาทเคยรับสั่ง แม้แต่พระองค์เอง ท่านพ่อก็ไม่ต้องคุกเข่าให้ แต่มาทำเช่นนี้กับลูก ลูกจะอายุสั้นมากกว่านะเจ้าคะ”คำพูดของซ่งชิงเหยียนเต็มไปด้วยความออดอ้อนเสิ่นเซียวคาดคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้ต้าฉู่จะอนุญาตให้ติ้งกั๋วโหวละเว้นการคุกเข่าให้พระองค์ นั่นแสดงว่าเมื่อครู่นี้ เขาได้พบเสิ่นหนิงแล้วไม่คุกเข่า ก็ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมแต่อย่างใดเพียงแต่ท่านโหวไม่ได้เอ่ยปากพูดเท่านั้นอาจเพราะไม่ต้องการให้ฮองเฮาเสียหน้า อีกทั้งเป็นการให้เกียรติแก่ตนด้วยเมื่อนึกถึงเสิ่นหนิงผู้เป็นน้องสาว เสิ่นเซียวก็อดเอื้อมมือไปจับสร้อยข้อมือลูกประคำในแขนเสื้อไม่ได้ แต่กลับซุ่มซ่ามไม่ทันได้ถือดีๆ จึงทำเอาสร้อยตกพื้นไปสายตาทุกคนไปอยู่ที่สิ่งของบนพื้น ซ่งชิงฉี่รีบเดินไปหยิบขึ้นมา “นี่คือสร้อยข้อมือที่หลายวันก่อนท่