[ข้าเพิ่งนึกถึงกัวหรูขึ้นมาได้]เสียงบ่นพึมพำของลู่ซิงหว่านแว่วเข้าหูซ่งชิงเหยียนอีกครั้ง[ท่านตามีน้องชายต่างมารดาคนหนึ่งชื่อซ่งจางอิงใช่หรือไม่ และกัวหรูก็คือภรรยาของซ่งจางอิง]ราวกับต้องการให้ลู่ซิงหว่านได้รู้จัก ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปากถามถึง “ทำไมไม่เห็นอารองล่ะ ไปทำงานที่กรมพิธีการหรืออย่างไร?”ทุกวันนี้ซ่งจางอิงทำงานอยู่กรมพิธีการ ในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญอันใด นอกจากให้บรรดาลูกขุนนางแขวนชื่อไว้ ถึงเวลาก็รับบำนาญสบายๆ เท่านั้น เป็นตำแหน่งขุนนางในระดับห้า แม้ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ถือว่าพอมีงานให้ทำ ดีชั่วอย่างไรก็ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้าซ่ง’เมื่อเอ่ยถึงสามีของตน สีหน้ากัวหรูก็ปรากฏแววบึ้งตึง ก่อนหน้านี้ได้ถูกติ้งกั๋วโหวเรียกไปอบรม ทำให้เขาพอสงบเสงี่ยมอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ทำงานทำการบ้าง ถึงเวลาก็ไปลงชื่อเข้างานในกรมพิธีการแต่หลายวันมานี้ ไม่รู้ไปรู้จักเพื่อนกินกลุ่มไหนเข้าอีก วันๆ เริ่มไปเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์อีกครั้งแต่มาอยู่ต่อหน้าครอบครัวของติ้งกั๋วโหว อย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง “เมื่อครู่เพิ่งกลับมา แต่ก็รีบร้อนออกไปอีก คาดว่าคงมีงานด่วนกระมัง”ครอบครัวติ้งกั๋วโหวย
[ซ่งจางอิงแต่เดิมก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ถูกคนขององค์ชายสามหมายตาเข้าได้อย่างไร][แต่ในหนังสือนิทานบอกว่าตระกูลชุยทรงอิทธิพลในเมืองหลวงนัก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กัวเยว่เส้าจะมายังจวนติ้งกัวโหว][แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายสามยังล่ำซำอยู่หรือเปล่า?][ถ้าจะบอกว่าซ่งจางอิงเป็นคนเลวร้าย เขาก็ไม่เคยคาดหวังต่อฐานะตัวเองในจวนติ้งกั๋วแต่อย่างใด และเขาก็รู้ว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ยังไงก็เป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสวยสุขไปวันๆ ยังจะดีเสียกว่า][แต่เขาก็โง่นัก โง่ที่ถูกคนรอบข้างขององค์ชายสามหลอกใช้ ถือกระบี่เล่มหนึ่งกลับมายังจวนโหวและส่งไปที่หนังสือของท่านตา แต่ท่านตากลับไม่รู้อะไรด้วย][แต่ภายหลังในฝักกระบี่ กลับพบจดหมายติดต่อระหว่างติ้งกั๋วโหวกับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งประหารติ้งกั๋วโหวทั้งครอบครัว]ซ่งชิงเหยียนฟังถึงตรงนี้ พลันพรวดพราดยืนขึ้น พร้อมมองไปยังห้องหนังสือของบิดา แต่กลับคิดได้ว่าตนมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงนั่งลงอีกครั้งทุกคนแม้จะตกใจเพราะท่าทีของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงพูดคุยไปตามปกติซ่งชิงเหยียนก็พลอยเออออห่อหมกไป
ทุกคนต่างหัวเราะร่วนอีกครั้งและที่ติ้งกั๋วโหวกลับมาเมืองหลวงรอบนี้ มีเพียงบุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ รองแม่ทัพจ้าวหานยวน พี่ชายฮองเฮาเสิ่นหนิงนามว่าเสิ่นเซียว และทหารอีกสิบกว่าคนติดตามมาด้วยเท่านั้นทุกคนล้วนขี่ม้าเก่ง อีกทั้งหวังกลับบ้านโดยเร็ว ตลอดทางจึงมาด้วยความรวดเร็วยิ่งเมื่อมาถึงวังหลวงก็ลงจากหลังม้า เร่งรีบไปทางห้องทรงอักษรจึงได้พบกับฮองเฮาซึ่งเพิ่งออกจากห้องทรงอักษรเช่นกันรู้ว่าติ้งกั๋วโหวกับพวกไม่ได้อยู่ร่วมพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ย่อมไม่รู้จักฮองเฮาองค์ใหม่แน่ ขันทีที่นำทางให้พวกเขาจึงรีบตรงไปถวายบังคม “บ่าวขอถวายบังคมฮองเฮา”ติ้งกั๋วโหวกับพวกจึงได้รีบทำตาม “ถวายบังคมฮองเฮา”แต่เสิ่นหนิงกลับจำติ้งกั๋วโหวได้ “ท่านโหวไม่ได้เข้าวังมานาน คงจะลืมธรรมเนียมไปแล้วกระมัง”ติ้งกั๋วโหวตกตะลึง เงยหน้ามองเสิ่นหนิงแม้ตนจะไม่เคยพบนางมาก่อน แต่เคยได้ยินบุตรสาวเอ่ยถึงฮองเฮาองค์นี้ ก่อนหน้านี้องค์หญิงหย่งอันถูกคนวางยาพิษ ฮองเฮาเป็นคนช่วยนางเอาไว้แต่ทว่าบัดนี้...ในความคิดของเสิ่นหนิง ในเมื่อบาดหมางกับซ่งชิงเหยียนไปแล้ว มาวันนี้ได้เจอบิดาของนาง แล้วเหตุใดจึงต้องเกรงใจอีกที่อยู่ด้านขวาม
อวิ๋นจูซึ่งตามหลังเสิ่นหนิงพลันเอ่ยปาก “ฮองเฮาจะไปถือสาคนเหล่านั้นทำไมเพคะ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกหยาบกร้าน มีแต่กลิ่นดินและเหม็นสาบเหงื่อไคลไปทั้งตัว”ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นพัดหน้าจมูก คล้ายต้องการไล่กลิ่นเหม็นให้หมดไป“ไปเถิด” เสิ่นหนิงไม่ตอบกลับ เพียงเดินนำอวิ๋นจูไปทางตำหนักจิ่นซิ่วส่วนทางเสิ่นเซียวนั้น กลับรู้สึกผิดต่อท่านโหวและรองแม่ทัพซ่งเป็นอย่างมาก รอจนเมิ่งฉวนเต๋อเดินห่างไปไกล จึงได้เอ่ยปากเสียงเบา “ท่านโหวอย่าได้ถือสาน้องสาวข้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”ติ้งกั๋วโหวย่อมไม่ถือสาเสิ่นเซียวอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นทหารที่มีความสามารถ ตนยังคิดส่งเสริมให้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพเสียด้วยซ้ำแต่ว่าเรื่องนี้ สุดท้ายยังต้องให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงพิจารณาจึงได้ตอบกลับเสียงเบา “ไม่เป็นไร นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง สมัยก่อนพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็มีนิสัยเถรตรงเช่นนี้”“ที่จริงวันนี้ข้าเองก็ทำไม่ถูก พบฮองเฮาครั้งแรก ควรต้องถวายบังคมต่อนาง”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รู้กาลเทศะ” เสิ่นเซียวคารวะต่อติ้งกั๋วโหว น้องสาวของตนนั้น อย่างไรก็ไม่อาจเทียบพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นผู้ห้าวหาญในการออกศึกในขณะที่เมิ่งฉวนเต๋อซึ่งเดิน
ทันทีที่ติ้งกั๋วโหวเอ่ยประโยคนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจในความหมาย พร้อมกับนั่งตัวตรงขึ้นแน่นอนว่า บัดนี้ติ้งกั๋วโหวได้เข้าสู่วัยชราแล้ว สมควรกลับไปอยู่กับครอบครัวเสพสุขในบั้นปลาย แต่ยังต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายรบทัพจับศึกเพื่อแคว้นต้าฉู่อีกฮ่องเต้ต้าฉู่เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็อดปวดใจเสียมิได้ บุคคลเช่นนี้ ตนยังสั่งประหารเก้าชั่วโคตรได้ลงคอตอนนั้นตนถูกผีเข้าหรืออย่างไร?“ใต้เท้าซ่งกล่าวถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เอ่ยปาก “ถึงเวลาต้องมีคนใหม่มารับช่วงแทน”รับสั่งจบก็เงยหน้าขึ้นมองติ้งกั๋วโหว “ท่านพอมีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่?”“ดั่งคำว่าคนนอกไม่สู้คนใน เลือกคนที่ผลงาน กระหม่อมเห็นว่า บุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด”“ชิงฉี่ติดตามกระหม่อมไปออกรบตั้งแต่เด็ก ผ่านการเคี่ยวกรำจนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การรบ สติปัญญายิ่งเหนือกว่ากระหม่อม อีกทั้งเคยอยู่ในกองทัพภาคตะวันตกถึงสามสิบกว่าปี นับว่าเหมาะสมยิ่งกว่าใคร” ติ้งกั๋วโหวกล่าวจบ สายตาก็มองไปยังฮ่องเต้ต้าฉู่ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นความมุ่งมั่นและจริงใจในแววตาของเขา พร้อมรู้สึกตื้นตันต่อความฮึกเหิมของ
“จ้าวหานยวน?” ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูนัก ฉับพลันก็ทรงนึกได้ “เป็นบิดาของฟางกุ้ยเหรินใช่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ติ้งกั๋วโหวตอบด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนึกได้ว่าซ่งชิงเหยียนเคยพูดเรื่องเกี่ยวกับสนมฟางกุ้ยเหรินให้ฟัง พลางรู้สึกปวดพระทัยยิ่ง ไหนๆ นางก็จากไปแล้ว ควรต้องดูแลพ่อแม่ของนางต่อ จึงได้รับปากทันที “ตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายซ้ายของกรมกลาโหมยังว่างอยู่ ก็ให้เขารับไปแล้วกัน”ออกจากห้องทรงอักษรมา ติ้งกั๋วโหวได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่จ้าวหานยวนได้รู้เดิมทีจ้าวหานยวนก็ไม่ต้องการไปลำบากลำบนอยู่ในค่ายทหารอีกแล้ว ไม่นึกว่ากลับมาเมืองหลวงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการระดับสามของกรมกลาโหม นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากและย่อมต้องขอบคุณติ้งกั๋วโหวที่ให้การช่วยเหลือจ้าวหานยวนในยามนี้ คิดแต่จะรีบกลับบ้านไปเยี่ยมลูกและภรรยาของตนส่วนเสิ่นเซียวนั้น ได้ติตามพ่อลูกติ้งกั๋วโหวไปยังจวนโหวแทนยามนี้ในจวนโหว หญิงหลายคนต่างสนทนาออกรสอยู่ในห้องโถง และท่านรองซ่งจางอิงก็มาจากข้างนอกพอดี“ดูจากข้างนอกก็รู้ว่ามีคนในวังมา ปรากฏว่าเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยจริงๆ” ซ่งจางอิงสมแ
และพ่อบ้านจ้าว ก็หนีจาก ‘อุ้มมือมาร’ ของติ้งกั๋วโหวไม่พ้นทุกคนต่างออกไปต้อนรับ ตามธรรมเนียมแล้ว ซ่งชิงเหยียนต้องยืนอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดแต่ธรรมเนียมก็ส่วนธรรมเนียม ติ้งกั๋วโหวพาลูกชายและเสิ่นเซียวมาคารวะพระสนมหวงกุ้ยเฟยก่อนไม่ทันรอให้บิดาได้คุกเข่า ซ่งชิงเหยียนรีบไปพยุงเขา “ท่านพ่อไม่ต้องมากพิธี ฝ่าบาทเคยรับสั่ง แม้แต่พระองค์เอง ท่านพ่อก็ไม่ต้องคุกเข่าให้ แต่มาทำเช่นนี้กับลูก ลูกจะอายุสั้นมากกว่านะเจ้าคะ”คำพูดของซ่งชิงเหยียนเต็มไปด้วยความออดอ้อนเสิ่นเซียวคาดคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้ต้าฉู่จะอนุญาตให้ติ้งกั๋วโหวละเว้นการคุกเข่าให้พระองค์ นั่นแสดงว่าเมื่อครู่นี้ เขาได้พบเสิ่นหนิงแล้วไม่คุกเข่า ก็ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมแต่อย่างใดเพียงแต่ท่านโหวไม่ได้เอ่ยปากพูดเท่านั้นอาจเพราะไม่ต้องการให้ฮองเฮาเสียหน้า อีกทั้งเป็นการให้เกียรติแก่ตนด้วยเมื่อนึกถึงเสิ่นหนิงผู้เป็นน้องสาว เสิ่นเซียวก็อดเอื้อมมือไปจับสร้อยข้อมือลูกประคำในแขนเสื้อไม่ได้ แต่กลับซุ่มซ่ามไม่ทันได้ถือดีๆ จึงทำเอาสร้อยตกพื้นไปสายตาทุกคนไปอยู่ที่สิ่งของบนพื้น ซ่งชิงฉี่รีบเดินไปหยิบขึ้นมา “นี่คือสร้อยข้อมือที่หลายวันก่อนท่
เมื่อเห็นจวนโหวมีแขกมาเยือน เสิ่นเซียวจึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากอำลาทุกคนแล้ว ก็รีบกลับไปยังจวนเสิ่นซ่งจางอิงก็เช่นกัน“วันนี้ข้าได้มาถูกจังหวะนัก” ซ่งจางอิงเดินขึ้นหน้า จนยืนอยู่หน้าติ้งกั๋วโหว “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้กระบี่ดีมาหนึ่งเล่ม ได้ให้คนส่งไปห้องหนังสือของท่านแล้ว”ห้องหนังสือเป็นที่ส่วนบุคคล เขาไม่อาจเข้าได้ตามอำเภอใจ จึงให้คนไปวางที่โถงด้านข้างห้องหนังสือเท่านั้นเมื่อได้ยินดังนี้ ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกคล้ายมีไออุ่นพุ่งขึ้นในสมอง ที่ควรจะมายังไงก็ต้องมาวันยังค่ำเห็นทีว่า ภายใต้การชี้แนะของหวานหว่าน ตนพยายามเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องเกิดอยู่ดีแต่บัดนี้ตระกูลชุยถูกทำลายสิ้นแล้ว องค์ชายสามจะอาศัยอิทธิพลของใครได้อีก หากเบื้องหลังองค์ชายสามมีคนสนับสนุนจริง คนผู้นี้ก็ช่างกล้านัก ถึงขนาดเอื้อมมือมาแตะจวนติ้งกั๋วโหวได้ลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้ว ก็คิดว่ากระบี่เล่มนี้ก็คือสิ่งที่ในหนังสือนิทานได้เอ่ยถึง[ยังไงท่านแม่ไปไหนก็จะพาข้าไปด้วยอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าท่านตายังมีแก่ใจจะไปดูกระบี่เล่มนั้นหรือไม่][หากท่านตาไม่ยอมดู อีกสัก
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต