เมื่อเห็นจวนโหวมีแขกมาเยือน เสิ่นเซียวจึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากอำลาทุกคนแล้ว ก็รีบกลับไปยังจวนเสิ่นซ่งจางอิงก็เช่นกัน“วันนี้ข้าได้มาถูกจังหวะนัก” ซ่งจางอิงเดินขึ้นหน้า จนยืนอยู่หน้าติ้งกั๋วโหว “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้กระบี่ดีมาหนึ่งเล่ม ได้ให้คนส่งไปห้องหนังสือของท่านแล้ว”ห้องหนังสือเป็นที่ส่วนบุคคล เขาไม่อาจเข้าได้ตามอำเภอใจ จึงให้คนไปวางที่โถงด้านข้างห้องหนังสือเท่านั้นเมื่อได้ยินดังนี้ ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกคล้ายมีไออุ่นพุ่งขึ้นในสมอง ที่ควรจะมายังไงก็ต้องมาวันยังค่ำเห็นทีว่า ภายใต้การชี้แนะของหวานหว่าน ตนพยายามเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องเกิดอยู่ดีแต่บัดนี้ตระกูลชุยถูกทำลายสิ้นแล้ว องค์ชายสามจะอาศัยอิทธิพลของใครได้อีก หากเบื้องหลังองค์ชายสามมีคนสนับสนุนจริง คนผู้นี้ก็ช่างกล้านัก ถึงขนาดเอื้อมมือมาแตะจวนติ้งกั๋วโหวได้ลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้ว ก็คิดว่ากระบี่เล่มนี้ก็คือสิ่งที่ในหนังสือนิทานได้เอ่ยถึง[ยังไงท่านแม่ไปไหนก็จะพาข้าไปด้วยอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าท่านตายังมีแก่ใจจะไปดูกระบี่เล่มนั้นหรือไม่][หากท่านตาไม่ยอมดู อีกสัก
เมื่อเห็นท่าทีของเผยฉู่เยี่ยน ซ่งชิงเหยียนก็อดหัวเราะไม่ได้นั่นยิ่งทำให้เผยฉู่เยี่ยนใบหน้าแดงก่ำมากขึ้นจิ่นอวี้พยายามกลั้นยิ้มก่อนจะรับตัวลู่ซิงหว่านกลับมา “ลำบากซื่อจื่อเผยแล้ว”เมื่อเห็นลู่ซิงหว่านนอนหลับสนิท ทุกคนจึงไม่กล้าพูดคุยอีก นางเซียวสั่งพ่อบ้านให้จัดเตรียมอาหารค่ำไว้ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนของตนในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกลับติดตามบิดาและพี่ชายไปยังห้องหนังสือ ซ่งชิงฉี่คิดจะเปิดกล่องกระบี่ดู แต่กลับถูกซ่งชิงเหยียนกดมือเอาไว้ซ่งชิงฉี่เงยหน้ามองดูน้องสาวด้วยความฉงน เห็นแววตานางมีความแน่วแน่ซ่งชิงเหยียนจึงได้เอ่ยปาก “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ทุกวันนี้จวนติ้งกั๋วโหวอยู่ในแคว้นต้าฉู่ ก็นับว่าเป็นไม้ใหญ่ที่ต้องลมแรงแล้ว”ได้ยินคำพูดของซ่งชิงเหยียนเช่นนี้ ทั้งคู่ต่างเงียบกริบผ่านไปครู่ใหญ่ ติ้งกั๋วโหวจึงได้เอ่ยปาก “เหตุเพราะข้าเกษียณออกมากระมัง”“ฝ่าบาทแม้ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีนิสัยหวาดระแวงผู้อื่น แต่หากบ้านเราถูกปองร้าย แล้วมีคนคอยทูลยุยงใส่ไคล้ทุกวัน ก็เกรงว่าอาจไม่ค่อยดีนัก”เห็นน้องสาวสีหน้าเคร่งเครียด ซ่งชิงฉี่จึงหันไปมองนาง“วันหน้าพี่ใหญ่อยู่ในกองทัพ ยังต้องระวังให้มาก
ทั้งคู่ยังไม่ทันได้เข้าเรือน ด้านหลังก็มีเสียงของพ่อบ้านจ้าวดังแว่วมา “ช้าก่อนท่านรอง”ทุกคนต่างหันไปมองพ่อบ้านจ้าว“ท่านรอง ท่านโหวเชิญท่านไปพบที่ห้องหนังสือ” พ่อบ้านจ้าวคารวะด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยปาก“ถ้าเช่นนั้น เจ้าพาเยว่เส้ากลับไปก่อนเถิด” ซ่งจางอิงหันไปบอกกัวหรู “พี่ใหญ่คงมีธุระกับข้ากระมัง”ปกติติ้งกั๋วโหวไม่ค่อยจะมายุ่งเกี่ยวกับซ่งจางอิง วันนี้กลับให้เขาไปพบที่ห้องหนังสือ เห็นทีคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่“อาเขยค่อยๆ เดินเจ้าค่ะ” กัวเยว่เส้ารู้ว่าซ่งจางอิงมีงานต้องทำอีก จึงรีบคารวะซ่งจางอิงพยักหน้าแล้วเดินจากไปว่าไปแล้ว เขาไม่ชอบหน้าพี่ภรรยากัวผิงยิ่งนัก เพราะในสายตาเขา กัวผิงได้เป็นถึงราชเลขากรมคลัง เพราะมีเส้นสายคอยผลักดันต่างหากทั่วเมืองหลวงใครๆ ก็รู้ ว่ากัวผิงเป็นศิษย์เอกของเสนาบดีชุย และเสนาบดีชุยก็เป็นคนเสนอชื่อเขาต่อฮ่องเต้เองแม้ว่าตนก็อาศัยอิทธิพลของพี่ชายกว่าจะมีตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ แต่ก็ยังไม่ชอบคนเหล่านี้อยู่ดีแต่ก็ยอมรับว่า บุตรสาวของกัวผิงผู้นี้ ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี ทั้งรู้จักวางตัว กิริยามารยาทก็อ่อนโยนน่ารักและเขาก็รู้ถึงจุดประสงค์ที่ฮูหยินพ
ซ่งจางอิงเพียงแค่ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า"ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่พี่ใหญ่สมควรพักผ่อนบ้าง""สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าข้าจะลาออกจากตำแหน่ง" ติ้งกั๋วโหวจ้องมองไปที่ซ่งจางอิง"ลูกหลานในบ้านเราหลายคนเป็นขุนนางในราชสำนัก ประจวบกับสถานะของชิงเหยียน บัดนี้จวนโหวจึงอยู่ในจุดที่เป็นเป้าสายตาอันตรายมากที่สุดจริงๆ""ทั้งภายในและภายนอก การกระทำจะต้องถูกต้อง เหล่าพวกบ่าวไพร่ในบ้านก็ต้องถูกควบคุมให้ดี อย่าให้ใครมาจับผิดจวนติ้งกั๋วโหวได้""ยิ่งไปกว่านั้นห้ามรับของขวัญเด็ดขาด"ซ่งจางอิงรู้ดีว่าประโยคสุดท้ายนี้พาดพิงถึงตัวเขา จึงหดคอเล็กน้อย "ทราบแล้วขอรับ พี่ใหญ่""ส่วนครอบครัวสายรองก็เหมือนกัน ครอบครัวสายหลักและครอบครัวสายรองของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน มีเกียรติและอับอายร่วมกัน"คำพูดสุดท้ายของติ้งกั๋วโหว ทว่ากลับทำให้ซ่งจางอิงถึงกับนิ่งอึ้งไป เขานึกมาตลอดว่าครอบครัวสายรองเป็นเพียงส่วนประกอบของครอบครัวสายหลักเท่านั้น จะมาพูดถึงการเป็นครอบครัวเดียวกันที่ไหนแต่บัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากพี่ใหญ่ มันทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ จนถึงกับรู้สึกน้ำตาคลอ ทว่าติ้งกั๋วโ
ขณะที่ซ่งจางอิงเดินเหม่อลอยเข้าไปในเรือน โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นกัวอวี๋ที่กำลังรอตัวเขาอยู่ "เกิดอะไรขึ้น?" กัวอวี๋เห็นเขาเป็นเช่นนั้น จึงรีบเดินเข้ามาหา แต่คำตำหนิก็ไม่ได้หลุดออกจากปาก นางรู้ว่าติ้งกั๋วโหวเรียกหาสามีของนาง เพราะเขาคงทำเรื่องผิดอะไรและจะต้องเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่แน่ๆเพราะว่าติ้งกั๋วโหวมีเมตตาต่อซ่งจางอิงน้องชายผู้นี้มาโดยตลอด หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจริงๆ ก็คงไม่เรียกตัวเขาไป ซ่งจางอิงราวกับไม่ได้ยินเสียงของกัวอวี๋ ยังคงเดินต่อไปจนกระทั่งมือทั้งสองข้างของกัวอวี๋สัมผัสที่แขนของเขา เขาจึงสะดุ้งได้สติอย่างแรงและหันไปมองกัวอวี๋ "ฮูหยิน"เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของซ่งจางอิง ในใจของกัวอวี๋ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น ปราศจากท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อน "ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น?"ซ่งจางอิงไม่พูดอะไร เพียงแค่ตบมือของกัวอวี๋ เพื่อปลอบโยนจนกระทั่งเข้ามาในหห้องตำรา ซ่งจางอิงถึงได้พูดว่า "วันนี้ใต้เท้าจ้าวของราชเลขากรมพิธีการใต้เท้าจ้าวนำดาบเล่มหนึ่งมาให้ข้า ข้าจึงมอบให้พี่ใหญ่ไป"กัวอวี๋ก็ไม่ได้คิดว่ามีปัญหาอะไร การส่งของขวัญระหว่างตระกูลผู้ดีนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติซ่งจางอ
ซ่งชิงเหยียนส่ายหัว "ฝ่าบาททราบแค่เพียงมีองครักษ์เงาคอยคุ้มครองข้าก็จริง แต่พระองค์ไม่รู้ว่ามีกี่คนและไม่เคยพบพวกเขา""จิ่นอวี้ก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง ฝ่าบาทอาจจะเข้าใจผิดว่าคนที่คอยคุ้มครองข้าคือนางก็เป็นได้"ติ้งกั๋วโหวพยักหน้า "เจ้าเองควรเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองบ้าง"ยังไม่รอให้ซ่งชิงเหยียนตอบ พ่อบ้านจ้าวที่อยู่ด้านนอกก็เคาะประตู "นายท่านขอรับ แม่นางจิ่นซินคนสนิทของพระสนมมาขอรับ"เมื่อซ่งชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามองท่านพ่อและพี่ใหญ่ หมุนตัวออกไปและผลักประตู ทว่ากลับกับจิ่นซินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล "พระสนมเพคะ องค์หญิงตื่นแล้ว ใครอุ้มก็ร้องไห้งอแง บ่าวถึงได้มาหาพระสนมเพคะ""พวกเรากลับกันเถิด" อย่างไรก็ตามเรื่องทางนี้ก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ซ่งชิงเหยียนหันกลับไปมองท่านพ่อ จากนั้นก็ตามจิ่นซินกลับไปที่เรือนอวิ๋นชูเรือนอวิ๋นชูเป็นเรือนที่ซ่งชิงเหยียนเคยพักอาศัยเมื่อตอนอยู่กับครอบครัวเดิม เมื่อซ่งชิงเหยียนมาถึงประตูของเรือนอวิ๋นชู ก็เห็นจิ่นอวี้ที่กำลังอุ้มลู่ซิงหว่านที่กำลังงอแงเดินมาทางประตูซ่งชิงเหยียนได้ยินเสียงลู่ซิงหว่านบ่นพึมพำมาแต่ไกล[ท่านแม่ทิ้งข้าไว้คนเ
ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น จากนั้นโผเข้ากอดในอ้อมอกของนางเซียว "พอแล้วๆ" นางเซียวเห็นนางเป็นเช่นนั้น ก็เพียงแค่ลูบหลังของนางเบาๆ "ไม่ชอบแม่พูดมากอีกแล้วใช่ไหม?""ใช่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ" ซ่งชิงเหยียนพูดเสียงออดอ้อน แต่ก็ยังคงซุกอยู่ในอ้อมกอดของนางเซียวโดยไม่ยอมลุกขึ้น "เป็นแม่คนแล้วหนา..."นางเซียวยังพูดไม่ทันจบ ซ่งชิงเหยียนก็ลุกขึ้นพรวดอย่างรวดเร็ว "ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกท่านแม่เจ้าค่ะ""ท่านแม่ยังจำได้ไหมว่าวันนี้ท่านอารองส่งดาบเล่มนั้นให้ท่านพ่อ?""จำได้สิ" นางเซียวพยักหน้า "ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก น่าจะเป็นดาบที่ดีเล่มหนึ่ง"ถึงแม้ว่านางเซียวจะไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้ แต่สามีผู้แข็งกระด้างของนางผู้นี้ เมื่อก่อนเคยพูดถึงเรื่องราวในสนามรบกับนางเป็นประจำ ดังนั้นนางจึงได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อยลู่ซิงหว่านที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินท่านแม่พูดถึงดาบเล่มนั้น ก็รีบลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น [ในที่สุดท่านแม่ก็พูดถึงดาบเล่มนั้นแล้ว หรือว่าแม่จะค้นพบปัญหาที่ซ่อนอยู่ในดาบเล่มนั้นแล้ว?][ดาบเล่มนี้จะเป็นดาบที่มีปัญหาจริงๆ หรื
นางเซียวถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจากนั้นซ่งชิงเหยียนก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาอีก จึงทำท่าบ่นพึมพำคนเดียวว่า "แต่เอาจริงๆ ท่านอารองหน้าตาก็ไม่เหมือนท่านปู่เลย สมองก็สู้ท่านพ่อไม่ได้ ลูกที่มาจากพ่อเดียวกัน เหตุใดถึงต่างกันขนาดนี้"ทันทีที่ลู่ซิงหว่านได้ยินคำพูดนี้ก็กระตือรือร้น [เมื่อครู่ข้าได้บอกท่านแม่ไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเดิมทีซ่งจางอิงผู้นี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านปู่ซ่ง จะเหมือนเขาได้อย่างไร!][โอ้ข้าลืมไปว่า นี่เป็นเพียงความคิดในใจของข้าเท่านั้น ท่านแม่คงไม่ได้ยินหรอก!][น่าเสียดาย ข้าต้องพูดให้เป็นได้เร็วๆ หน่อยเถิด!]นี่แหละคือเจตนาของซ่งชิงเหยียน ตัวนางมักจะผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือจากหว่านหว่าน ดังนั้นเด็กที่ฉลาดเช่นนี้อย่างหว่านหว่าน หากเกิดความสงสัยแล้ว วันข้างหน้าจะไม่เกิดความบาดหมางกับตัวเองหรอกหรือการเล่นละครแบบนี้ อาจช่วยลบความสงสัยของหว่านหว่านได้นางเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็พูดออกมา "เรื่องนี้เป็นเรื่องนานมาแล้ว ในเมื่อเจ้าถาม ข้าก็จะบอกเจ้า""เพียงแต่ห้ามบอกผู้อื่นเด็ดขาด เรื่องนี้ตอนนี้มีแค่ข้ากับท่านพ่อของเจ้ารู้กันสองคนเท่านั้น"