ซ่งจางอิงเพียงแค่ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า"ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่พี่ใหญ่สมควรพักผ่อนบ้าง""สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าข้าจะลาออกจากตำแหน่ง" ติ้งกั๋วโหวจ้องมองไปที่ซ่งจางอิง"ลูกหลานในบ้านเราหลายคนเป็นขุนนางในราชสำนัก ประจวบกับสถานะของชิงเหยียน บัดนี้จวนโหวจึงอยู่ในจุดที่เป็นเป้าสายตาอันตรายมากที่สุดจริงๆ""ทั้งภายในและภายนอก การกระทำจะต้องถูกต้อง เหล่าพวกบ่าวไพร่ในบ้านก็ต้องถูกควบคุมให้ดี อย่าให้ใครมาจับผิดจวนติ้งกั๋วโหวได้""ยิ่งไปกว่านั้นห้ามรับของขวัญเด็ดขาด"ซ่งจางอิงรู้ดีว่าประโยคสุดท้ายนี้พาดพิงถึงตัวเขา จึงหดคอเล็กน้อย "ทราบแล้วขอรับ พี่ใหญ่""ส่วนครอบครัวสายรองก็เหมือนกัน ครอบครัวสายหลักและครอบครัวสายรองของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน มีเกียรติและอับอายร่วมกัน"คำพูดสุดท้ายของติ้งกั๋วโหว ทว่ากลับทำให้ซ่งจางอิงถึงกับนิ่งอึ้งไป เขานึกมาตลอดว่าครอบครัวสายรองเป็นเพียงส่วนประกอบของครอบครัวสายหลักเท่านั้น จะมาพูดถึงการเป็นครอบครัวเดียวกันที่ไหนแต่บัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากพี่ใหญ่ มันทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ จนถึงกับรู้สึกน้ำตาคลอ ทว่าติ้งกั๋วโ
ขณะที่ซ่งจางอิงเดินเหม่อลอยเข้าไปในเรือน โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นกัวอวี๋ที่กำลังรอตัวเขาอยู่ "เกิดอะไรขึ้น?" กัวอวี๋เห็นเขาเป็นเช่นนั้น จึงรีบเดินเข้ามาหา แต่คำตำหนิก็ไม่ได้หลุดออกจากปาก นางรู้ว่าติ้งกั๋วโหวเรียกหาสามีของนาง เพราะเขาคงทำเรื่องผิดอะไรและจะต้องเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่แน่ๆเพราะว่าติ้งกั๋วโหวมีเมตตาต่อซ่งจางอิงน้องชายผู้นี้มาโดยตลอด หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจริงๆ ก็คงไม่เรียกตัวเขาไป ซ่งจางอิงราวกับไม่ได้ยินเสียงของกัวอวี๋ ยังคงเดินต่อไปจนกระทั่งมือทั้งสองข้างของกัวอวี๋สัมผัสที่แขนของเขา เขาจึงสะดุ้งได้สติอย่างแรงและหันไปมองกัวอวี๋ "ฮูหยิน"เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของซ่งจางอิง ในใจของกัวอวี๋ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น ปราศจากท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อน "ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น?"ซ่งจางอิงไม่พูดอะไร เพียงแค่ตบมือของกัวอวี๋ เพื่อปลอบโยนจนกระทั่งเข้ามาในหห้องตำรา ซ่งจางอิงถึงได้พูดว่า "วันนี้ใต้เท้าจ้าวของราชเลขากรมพิธีการใต้เท้าจ้าวนำดาบเล่มหนึ่งมาให้ข้า ข้าจึงมอบให้พี่ใหญ่ไป"กัวอวี๋ก็ไม่ได้คิดว่ามีปัญหาอะไร การส่งของขวัญระหว่างตระกูลผู้ดีนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติซ่งจางอ
ซ่งชิงเหยียนส่ายหัว "ฝ่าบาททราบแค่เพียงมีองครักษ์เงาคอยคุ้มครองข้าก็จริง แต่พระองค์ไม่รู้ว่ามีกี่คนและไม่เคยพบพวกเขา""จิ่นอวี้ก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง ฝ่าบาทอาจจะเข้าใจผิดว่าคนที่คอยคุ้มครองข้าคือนางก็เป็นได้"ติ้งกั๋วโหวพยักหน้า "เจ้าเองควรเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองบ้าง"ยังไม่รอให้ซ่งชิงเหยียนตอบ พ่อบ้านจ้าวที่อยู่ด้านนอกก็เคาะประตู "นายท่านขอรับ แม่นางจิ่นซินคนสนิทของพระสนมมาขอรับ"เมื่อซ่งชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามองท่านพ่อและพี่ใหญ่ หมุนตัวออกไปและผลักประตู ทว่ากลับกับจิ่นซินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล "พระสนมเพคะ องค์หญิงตื่นแล้ว ใครอุ้มก็ร้องไห้งอแง บ่าวถึงได้มาหาพระสนมเพคะ""พวกเรากลับกันเถิด" อย่างไรก็ตามเรื่องทางนี้ก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ซ่งชิงเหยียนหันกลับไปมองท่านพ่อ จากนั้นก็ตามจิ่นซินกลับไปที่เรือนอวิ๋นชูเรือนอวิ๋นชูเป็นเรือนที่ซ่งชิงเหยียนเคยพักอาศัยเมื่อตอนอยู่กับครอบครัวเดิม เมื่อซ่งชิงเหยียนมาถึงประตูของเรือนอวิ๋นชู ก็เห็นจิ่นอวี้ที่กำลังอุ้มลู่ซิงหว่านที่กำลังงอแงเดินมาทางประตูซ่งชิงเหยียนได้ยินเสียงลู่ซิงหว่านบ่นพึมพำมาแต่ไกล[ท่านแม่ทิ้งข้าไว้คนเ
ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น จากนั้นโผเข้ากอดในอ้อมอกของนางเซียว "พอแล้วๆ" นางเซียวเห็นนางเป็นเช่นนั้น ก็เพียงแค่ลูบหลังของนางเบาๆ "ไม่ชอบแม่พูดมากอีกแล้วใช่ไหม?""ใช่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ" ซ่งชิงเหยียนพูดเสียงออดอ้อน แต่ก็ยังคงซุกอยู่ในอ้อมกอดของนางเซียวโดยไม่ยอมลุกขึ้น "เป็นแม่คนแล้วหนา..."นางเซียวยังพูดไม่ทันจบ ซ่งชิงเหยียนก็ลุกขึ้นพรวดอย่างรวดเร็ว "ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกท่านแม่เจ้าค่ะ""ท่านแม่ยังจำได้ไหมว่าวันนี้ท่านอารองส่งดาบเล่มนั้นให้ท่านพ่อ?""จำได้สิ" นางเซียวพยักหน้า "ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก น่าจะเป็นดาบที่ดีเล่มหนึ่ง"ถึงแม้ว่านางเซียวจะไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้ แต่สามีผู้แข็งกระด้างของนางผู้นี้ เมื่อก่อนเคยพูดถึงเรื่องราวในสนามรบกับนางเป็นประจำ ดังนั้นนางจึงได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อยลู่ซิงหว่านที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินท่านแม่พูดถึงดาบเล่มนั้น ก็รีบลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น [ในที่สุดท่านแม่ก็พูดถึงดาบเล่มนั้นแล้ว หรือว่าแม่จะค้นพบปัญหาที่ซ่อนอยู่ในดาบเล่มนั้นแล้ว?][ดาบเล่มนี้จะเป็นดาบที่มีปัญหาจริงๆ หรื
นางเซียวถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจากนั้นซ่งชิงเหยียนก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาอีก จึงทำท่าบ่นพึมพำคนเดียวว่า "แต่เอาจริงๆ ท่านอารองหน้าตาก็ไม่เหมือนท่านปู่เลย สมองก็สู้ท่านพ่อไม่ได้ ลูกที่มาจากพ่อเดียวกัน เหตุใดถึงต่างกันขนาดนี้"ทันทีที่ลู่ซิงหว่านได้ยินคำพูดนี้ก็กระตือรือร้น [เมื่อครู่ข้าได้บอกท่านแม่ไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเดิมทีซ่งจางอิงผู้นี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านปู่ซ่ง จะเหมือนเขาได้อย่างไร!][โอ้ข้าลืมไปว่า นี่เป็นเพียงความคิดในใจของข้าเท่านั้น ท่านแม่คงไม่ได้ยินหรอก!][น่าเสียดาย ข้าต้องพูดให้เป็นได้เร็วๆ หน่อยเถิด!]นี่แหละคือเจตนาของซ่งชิงเหยียน ตัวนางมักจะผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือจากหว่านหว่าน ดังนั้นเด็กที่ฉลาดเช่นนี้อย่างหว่านหว่าน หากเกิดความสงสัยแล้ว วันข้างหน้าจะไม่เกิดความบาดหมางกับตัวเองหรอกหรือการเล่นละครแบบนี้ อาจช่วยลบความสงสัยของหว่านหว่านได้นางเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็พูดออกมา "เรื่องนี้เป็นเรื่องนานมาแล้ว ในเมื่อเจ้าถาม ข้าก็จะบอกเจ้า""เพียงแต่ห้ามบอกผู้อื่นเด็ดขาด เรื่องนี้ตอนนี้มีแค่ข้ากับท่านพ่อของเจ้ารู้กันสองคนเท่านั้น"
วันที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง ในวังก็เกิดเรื่องขึ้นองค์หญิงใหญ่ที่ไม่ได้เข้าวังมาเป็นเวลานาน ก็ได้เข้าวังในวันนี้ และบังเอิญคลาดกับรถม้าของซ่งชิงเหยียนที่อยู่นอกประตูวังพอดีเรื่องแรกที่เข้าวัง ก็คือมุ่งตรงไปยังตําหนักหรงเล่อ“เสด็จย่า” ลู่ซิงรั่วโผเข้าสู่อ้อมกอดของไทเฮาด้วยความดีใจ “ซิงรั่วไม่ได้พบท่านนานแล้วเพคะ”ทําให้แม่นมซุนที่อยู่ข้างๆ ตกใจ รีบเข้าไปประคององค์หญิงใหญ่ “โอ๊ย องค์หญิงเพคะ ตอนนี้พระองค์ก็ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว ต้องระวังหน่อยถึงจะได้นะเพคะ”ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็รีบดึงร่างของลู่ซิงรั่วให้ตรง “เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”องค์หญิงใหญ่กลับเอนกายพิงอกของไทเฮาไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่เป็นไรเพคะเสด็จย่า ซิงรั่วย่อมรู้จักหนักเบาเพคะ”“ทําไมวันนี้ถึงมีเวลาเข้าวังล่ะ” ไทเฮาเห็นว่านางไม่เป็นอะไร ก็ช่วยรวบผมที่ข้างขมับให้นางเบาๆ ยิ้มพลางพูดว่า “ไม่ได้เจอเจ้าครึ่งเดือนแล้ว”“หลายวันมานี้แค่รู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างหนัก ก็เลยเลี้ยงร่างกายอยู่ที่บ้านน่ะเพคะ” ลู่ซิงรั่วพูดเบาๆ และปลอบโยนไทเฮาอีกครั้ง "เสด็จย่าโปรดวางใจ ตอนนี้หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วเพคะ""ดีจริงๆ เหรอ จะให
หลายวันก่อนหลังจากที่องค์หญิงห้าได้รับการสั่งสอนจากเสด็จแม่ของตนแล้ว ก็มีความซื่อสัตย์มากขึ้นมากแล้ว เพียงเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม “พี่หญิงใหญ่เพคะ”องค์หญิงหกก็ทําความเคารพอยู่ข้างๆ อย่างไม่เต็มใจ “พี่หญิงใหญ่เพคะ”ลู่ซิงรั่วไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กน้อยเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแค่ยิ้มพลางพูดว่า “ตอนนี้พวกเจ้าสองคนรู้ความมากขึ้นแล้ว รีบไปทําความเคารพเสด็จย่าเถอะ ข้าจะออกจากวังแล้ว”เมื่อก่อนตอนอยู่ในวังองค์หญิงใหญ่ดูแลน้องชายน้องสาวเหล่านี้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด เมื่อเห็นนางกําลังจะออกจากวัง ลู่ซิงยุ่นก็ดูเหมือนอาลัยอาวรณ์ไม่น้อย “พี่หญิงใหญ่จะออกจากวังแล้ว”“อืม” ลู่ซิงรั่วก้าวไปข้างหน้าและลูบหัวนาง “รีบกลับไปหาเสด็จย่าพร้อมกับซิงซิงเถอะ”พูดจบก็หันหลังเดินออกไปนอกวังและด้านหลังของนาง ลู่ซิงหุยมองลู่ซิงรั่วด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด ลู่ซิงยุ่นหันกลับมาเห็นสีหน้าขององค์หญิงหก จึงรีบดึงนาง “น้องหก”ลู่ซิงหุยกลับมีความคิดบางอย่างในใจ และไม่ได้พูดกับลู่ซิงยุ่นมากนัก “ท่านไปที่ตำหนักของเสด็จย่าเองเถอะ ข้ายังมีธุระ”พูดจบก็มุ่งหน้าไปตําหนักฉางชิวโดยไม่หันกลับมามองลู่ซิงยุ่นถอนหายใจและม
เวินชุนได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าเป็นองค์รัชทายาท ก็ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าคลานไปก้าวหนึ่ง “องค์รัชทายาท...องค์รัชทายาทเพคะ"ลู่จิ่นเหยาไม่สนใจจะพูดอะไรมาก รีบก้าวไปข้างหน้า อุ้มลู่ซิงรั่วที่ยังนอนอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วหันหลังเดินไปที่ตําหนักซิงหยางแม้ว่าฝีเท้าจะเร็ว แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยแต่องค์รัชทายาทจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร? แค่พยายามทําให้ตัวเองมั่นคงเท่านั้น“จงผิง ไปเชิญหมอหลวง” หลังจากลู่จิ่นเหยาหันหลังไป เขาก็ออกคําสั่งกับจงผิง“พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท” จงผิงวิ่งเหยาะๆ ไปยังสำนักหมอหลวงทันทีในขณะที่องค์รัชทายาทอุ้มองค์หญิงใหญ่ขึ้นมา เวินชุนก็ลุกขึ้นจากพื้นและเดินตามหลังองค์หญิงใหญ่อย่างระมัดระวังเวินชุนติดตามอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ตั้งแต่เล็ก เป็นสาวใช้ที่ไว้ใจได้มากที่สุด ก่อนออกจากบ้านวันนี้นางยังขอร้ององค์หญิงครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้อายุครรภ์ก็มากแล้ว ออกไปข้างนอกต้องพาคนไปด้วยหลายคน แต่องค์หญิงใหญ่เป็นคนที่เคยชินกับความเป็นอิสระมาโดยตลอด เวินชุนจึงยอมตามใจนางไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแ