[ซ่งจางอิงแต่เดิมก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ถูกคนขององค์ชายสามหมายตาเข้าได้อย่างไร][แต่ในหนังสือนิทานบอกว่าตระกูลชุยทรงอิทธิพลในเมืองหลวงนัก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กัวเยว่เส้าจะมายังจวนติ้งกัวโหว][แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายสามยังล่ำซำอยู่หรือเปล่า?][ถ้าจะบอกว่าซ่งจางอิงเป็นคนเลวร้าย เขาก็ไม่เคยคาดหวังต่อฐานะตัวเองในจวนติ้งกั๋วแต่อย่างใด และเขาก็รู้ว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ยังไงก็เป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสวยสุขไปวันๆ ยังจะดีเสียกว่า][แต่เขาก็โง่นัก โง่ที่ถูกคนรอบข้างขององค์ชายสามหลอกใช้ ถือกระบี่เล่มหนึ่งกลับมายังจวนโหวและส่งไปที่หนังสือของท่านตา แต่ท่านตากลับไม่รู้อะไรด้วย][แต่ภายหลังในฝักกระบี่ กลับพบจดหมายติดต่อระหว่างติ้งกั๋วโหวกับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งประหารติ้งกั๋วโหวทั้งครอบครัว]ซ่งชิงเหยียนฟังถึงตรงนี้ พลันพรวดพราดยืนขึ้น พร้อมมองไปยังห้องหนังสือของบิดา แต่กลับคิดได้ว่าตนมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงนั่งลงอีกครั้งทุกคนแม้จะตกใจเพราะท่าทีของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงพูดคุยไปตามปกติซ่งชิงเหยียนก็พลอยเออออห่อหมกไป
ทุกคนต่างหัวเราะร่วนอีกครั้งและที่ติ้งกั๋วโหวกลับมาเมืองหลวงรอบนี้ มีเพียงบุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ รองแม่ทัพจ้าวหานยวน พี่ชายฮองเฮาเสิ่นหนิงนามว่าเสิ่นเซียว และทหารอีกสิบกว่าคนติดตามมาด้วยเท่านั้นทุกคนล้วนขี่ม้าเก่ง อีกทั้งหวังกลับบ้านโดยเร็ว ตลอดทางจึงมาด้วยความรวดเร็วยิ่งเมื่อมาถึงวังหลวงก็ลงจากหลังม้า เร่งรีบไปทางห้องทรงอักษรจึงได้พบกับฮองเฮาซึ่งเพิ่งออกจากห้องทรงอักษรเช่นกันรู้ว่าติ้งกั๋วโหวกับพวกไม่ได้อยู่ร่วมพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ย่อมไม่รู้จักฮองเฮาองค์ใหม่แน่ ขันทีที่นำทางให้พวกเขาจึงรีบตรงไปถวายบังคม “บ่าวขอถวายบังคมฮองเฮา”ติ้งกั๋วโหวกับพวกจึงได้รีบทำตาม “ถวายบังคมฮองเฮา”แต่เสิ่นหนิงกลับจำติ้งกั๋วโหวได้ “ท่านโหวไม่ได้เข้าวังมานาน คงจะลืมธรรมเนียมไปแล้วกระมัง”ติ้งกั๋วโหวตกตะลึง เงยหน้ามองเสิ่นหนิงแม้ตนจะไม่เคยพบนางมาก่อน แต่เคยได้ยินบุตรสาวเอ่ยถึงฮองเฮาองค์นี้ ก่อนหน้านี้องค์หญิงหย่งอันถูกคนวางยาพิษ ฮองเฮาเป็นคนช่วยนางเอาไว้แต่ทว่าบัดนี้...ในความคิดของเสิ่นหนิง ในเมื่อบาดหมางกับซ่งชิงเหยียนไปแล้ว มาวันนี้ได้เจอบิดาของนาง แล้วเหตุใดจึงต้องเกรงใจอีกที่อยู่ด้านขวาม
อวิ๋นจูซึ่งตามหลังเสิ่นหนิงพลันเอ่ยปาก “ฮองเฮาจะไปถือสาคนเหล่านั้นทำไมเพคะ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกหยาบกร้าน มีแต่กลิ่นดินและเหม็นสาบเหงื่อไคลไปทั้งตัว”ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นพัดหน้าจมูก คล้ายต้องการไล่กลิ่นเหม็นให้หมดไป“ไปเถิด” เสิ่นหนิงไม่ตอบกลับ เพียงเดินนำอวิ๋นจูไปทางตำหนักจิ่นซิ่วส่วนทางเสิ่นเซียวนั้น กลับรู้สึกผิดต่อท่านโหวและรองแม่ทัพซ่งเป็นอย่างมาก รอจนเมิ่งฉวนเต๋อเดินห่างไปไกล จึงได้เอ่ยปากเสียงเบา “ท่านโหวอย่าได้ถือสาน้องสาวข้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”ติ้งกั๋วโหวย่อมไม่ถือสาเสิ่นเซียวอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นทหารที่มีความสามารถ ตนยังคิดส่งเสริมให้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพเสียด้วยซ้ำแต่ว่าเรื่องนี้ สุดท้ายยังต้องให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงพิจารณาจึงได้ตอบกลับเสียงเบา “ไม่เป็นไร นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง สมัยก่อนพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็มีนิสัยเถรตรงเช่นนี้”“ที่จริงวันนี้ข้าเองก็ทำไม่ถูก พบฮองเฮาครั้งแรก ควรต้องถวายบังคมต่อนาง”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รู้กาลเทศะ” เสิ่นเซียวคารวะต่อติ้งกั๋วโหว น้องสาวของตนนั้น อย่างไรก็ไม่อาจเทียบพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นผู้ห้าวหาญในการออกศึกในขณะที่เมิ่งฉวนเต๋อซึ่งเดิน
ทันทีที่ติ้งกั๋วโหวเอ่ยประโยคนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจในความหมาย พร้อมกับนั่งตัวตรงขึ้นแน่นอนว่า บัดนี้ติ้งกั๋วโหวได้เข้าสู่วัยชราแล้ว สมควรกลับไปอยู่กับครอบครัวเสพสุขในบั้นปลาย แต่ยังต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายรบทัพจับศึกเพื่อแคว้นต้าฉู่อีกฮ่องเต้ต้าฉู่เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็อดปวดใจเสียมิได้ บุคคลเช่นนี้ ตนยังสั่งประหารเก้าชั่วโคตรได้ลงคอตอนนั้นตนถูกผีเข้าหรืออย่างไร?“ใต้เท้าซ่งกล่าวถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เอ่ยปาก “ถึงเวลาต้องมีคนใหม่มารับช่วงแทน”รับสั่งจบก็เงยหน้าขึ้นมองติ้งกั๋วโหว “ท่านพอมีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่?”“ดั่งคำว่าคนนอกไม่สู้คนใน เลือกคนที่ผลงาน กระหม่อมเห็นว่า บุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด”“ชิงฉี่ติดตามกระหม่อมไปออกรบตั้งแต่เด็ก ผ่านการเคี่ยวกรำจนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การรบ สติปัญญายิ่งเหนือกว่ากระหม่อม อีกทั้งเคยอยู่ในกองทัพภาคตะวันตกถึงสามสิบกว่าปี นับว่าเหมาะสมยิ่งกว่าใคร” ติ้งกั๋วโหวกล่าวจบ สายตาก็มองไปยังฮ่องเต้ต้าฉู่ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นความมุ่งมั่นและจริงใจในแววตาของเขา พร้อมรู้สึกตื้นตันต่อความฮึกเหิมของ
“จ้าวหานยวน?” ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูนัก ฉับพลันก็ทรงนึกได้ “เป็นบิดาของฟางกุ้ยเหรินใช่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ติ้งกั๋วโหวตอบด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนึกได้ว่าซ่งชิงเหยียนเคยพูดเรื่องเกี่ยวกับสนมฟางกุ้ยเหรินให้ฟัง พลางรู้สึกปวดพระทัยยิ่ง ไหนๆ นางก็จากไปแล้ว ควรต้องดูแลพ่อแม่ของนางต่อ จึงได้รับปากทันที “ตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายซ้ายของกรมกลาโหมยังว่างอยู่ ก็ให้เขารับไปแล้วกัน”ออกจากห้องทรงอักษรมา ติ้งกั๋วโหวได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่จ้าวหานยวนได้รู้เดิมทีจ้าวหานยวนก็ไม่ต้องการไปลำบากลำบนอยู่ในค่ายทหารอีกแล้ว ไม่นึกว่ากลับมาเมืองหลวงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการระดับสามของกรมกลาโหม นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากและย่อมต้องขอบคุณติ้งกั๋วโหวที่ให้การช่วยเหลือจ้าวหานยวนในยามนี้ คิดแต่จะรีบกลับบ้านไปเยี่ยมลูกและภรรยาของตนส่วนเสิ่นเซียวนั้น ได้ติตามพ่อลูกติ้งกั๋วโหวไปยังจวนโหวแทนยามนี้ในจวนโหว หญิงหลายคนต่างสนทนาออกรสอยู่ในห้องโถง และท่านรองซ่งจางอิงก็มาจากข้างนอกพอดี“ดูจากข้างนอกก็รู้ว่ามีคนในวังมา ปรากฏว่าเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยจริงๆ” ซ่งจางอิงสมแ
และพ่อบ้านจ้าว ก็หนีจาก ‘อุ้มมือมาร’ ของติ้งกั๋วโหวไม่พ้นทุกคนต่างออกไปต้อนรับ ตามธรรมเนียมแล้ว ซ่งชิงเหยียนต้องยืนอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดแต่ธรรมเนียมก็ส่วนธรรมเนียม ติ้งกั๋วโหวพาลูกชายและเสิ่นเซียวมาคารวะพระสนมหวงกุ้ยเฟยก่อนไม่ทันรอให้บิดาได้คุกเข่า ซ่งชิงเหยียนรีบไปพยุงเขา “ท่านพ่อไม่ต้องมากพิธี ฝ่าบาทเคยรับสั่ง แม้แต่พระองค์เอง ท่านพ่อก็ไม่ต้องคุกเข่าให้ แต่มาทำเช่นนี้กับลูก ลูกจะอายุสั้นมากกว่านะเจ้าคะ”คำพูดของซ่งชิงเหยียนเต็มไปด้วยความออดอ้อนเสิ่นเซียวคาดคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้ต้าฉู่จะอนุญาตให้ติ้งกั๋วโหวละเว้นการคุกเข่าให้พระองค์ นั่นแสดงว่าเมื่อครู่นี้ เขาได้พบเสิ่นหนิงแล้วไม่คุกเข่า ก็ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมแต่อย่างใดเพียงแต่ท่านโหวไม่ได้เอ่ยปากพูดเท่านั้นอาจเพราะไม่ต้องการให้ฮองเฮาเสียหน้า อีกทั้งเป็นการให้เกียรติแก่ตนด้วยเมื่อนึกถึงเสิ่นหนิงผู้เป็นน้องสาว เสิ่นเซียวก็อดเอื้อมมือไปจับสร้อยข้อมือลูกประคำในแขนเสื้อไม่ได้ แต่กลับซุ่มซ่ามไม่ทันได้ถือดีๆ จึงทำเอาสร้อยตกพื้นไปสายตาทุกคนไปอยู่ที่สิ่งของบนพื้น ซ่งชิงฉี่รีบเดินไปหยิบขึ้นมา “นี่คือสร้อยข้อมือที่หลายวันก่อนท่
เมื่อเห็นจวนโหวมีแขกมาเยือน เสิ่นเซียวจึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากอำลาทุกคนแล้ว ก็รีบกลับไปยังจวนเสิ่นซ่งจางอิงก็เช่นกัน“วันนี้ข้าได้มาถูกจังหวะนัก” ซ่งจางอิงเดินขึ้นหน้า จนยืนอยู่หน้าติ้งกั๋วโหว “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้กระบี่ดีมาหนึ่งเล่ม ได้ให้คนส่งไปห้องหนังสือของท่านแล้ว”ห้องหนังสือเป็นที่ส่วนบุคคล เขาไม่อาจเข้าได้ตามอำเภอใจ จึงให้คนไปวางที่โถงด้านข้างห้องหนังสือเท่านั้นเมื่อได้ยินดังนี้ ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกคล้ายมีไออุ่นพุ่งขึ้นในสมอง ที่ควรจะมายังไงก็ต้องมาวันยังค่ำเห็นทีว่า ภายใต้การชี้แนะของหวานหว่าน ตนพยายามเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องเกิดอยู่ดีแต่บัดนี้ตระกูลชุยถูกทำลายสิ้นแล้ว องค์ชายสามจะอาศัยอิทธิพลของใครได้อีก หากเบื้องหลังองค์ชายสามมีคนสนับสนุนจริง คนผู้นี้ก็ช่างกล้านัก ถึงขนาดเอื้อมมือมาแตะจวนติ้งกั๋วโหวได้ลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้ว ก็คิดว่ากระบี่เล่มนี้ก็คือสิ่งที่ในหนังสือนิทานได้เอ่ยถึง[ยังไงท่านแม่ไปไหนก็จะพาข้าไปด้วยอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าท่านตายังมีแก่ใจจะไปดูกระบี่เล่มนั้นหรือไม่][หากท่านตาไม่ยอมดู อีกสัก
เมื่อเห็นท่าทีของเผยฉู่เยี่ยน ซ่งชิงเหยียนก็อดหัวเราะไม่ได้นั่นยิ่งทำให้เผยฉู่เยี่ยนใบหน้าแดงก่ำมากขึ้นจิ่นอวี้พยายามกลั้นยิ้มก่อนจะรับตัวลู่ซิงหว่านกลับมา “ลำบากซื่อจื่อเผยแล้ว”เมื่อเห็นลู่ซิงหว่านนอนหลับสนิท ทุกคนจึงไม่กล้าพูดคุยอีก นางเซียวสั่งพ่อบ้านให้จัดเตรียมอาหารค่ำไว้ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนของตนในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกลับติดตามบิดาและพี่ชายไปยังห้องหนังสือ ซ่งชิงฉี่คิดจะเปิดกล่องกระบี่ดู แต่กลับถูกซ่งชิงเหยียนกดมือเอาไว้ซ่งชิงฉี่เงยหน้ามองดูน้องสาวด้วยความฉงน เห็นแววตานางมีความแน่วแน่ซ่งชิงเหยียนจึงได้เอ่ยปาก “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ทุกวันนี้จวนติ้งกั๋วโหวอยู่ในแคว้นต้าฉู่ ก็นับว่าเป็นไม้ใหญ่ที่ต้องลมแรงแล้ว”ได้ยินคำพูดของซ่งชิงเหยียนเช่นนี้ ทั้งคู่ต่างเงียบกริบผ่านไปครู่ใหญ่ ติ้งกั๋วโหวจึงได้เอ่ยปาก “เหตุเพราะข้าเกษียณออกมากระมัง”“ฝ่าบาทแม้ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีนิสัยหวาดระแวงผู้อื่น แต่หากบ้านเราถูกปองร้าย แล้วมีคนคอยทูลยุยงใส่ไคล้ทุกวัน ก็เกรงว่าอาจไม่ค่อยดีนัก”เห็นน้องสาวสีหน้าเคร่งเครียด ซ่งชิงฉี่จึงหันไปมองนาง“วันหน้าพี่ใหญ่อยู่ในกองทัพ ยังต้องระวังให้มาก