ทันทีที่ติ้งกั๋วโหวเอ่ยประโยคนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจในความหมาย พร้อมกับนั่งตัวตรงขึ้นแน่นอนว่า บัดนี้ติ้งกั๋วโหวได้เข้าสู่วัยชราแล้ว สมควรกลับไปอยู่กับครอบครัวเสพสุขในบั้นปลาย แต่ยังต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายรบทัพจับศึกเพื่อแคว้นต้าฉู่อีกฮ่องเต้ต้าฉู่เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็อดปวดใจเสียมิได้ บุคคลเช่นนี้ ตนยังสั่งประหารเก้าชั่วโคตรได้ลงคอตอนนั้นตนถูกผีเข้าหรืออย่างไร?“ใต้เท้าซ่งกล่าวถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เอ่ยปาก “ถึงเวลาต้องมีคนใหม่มารับช่วงแทน”รับสั่งจบก็เงยหน้าขึ้นมองติ้งกั๋วโหว “ท่านพอมีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่?”“ดั่งคำว่าคนนอกไม่สู้คนใน เลือกคนที่ผลงาน กระหม่อมเห็นว่า บุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด”“ชิงฉี่ติดตามกระหม่อมไปออกรบตั้งแต่เด็ก ผ่านการเคี่ยวกรำจนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การรบ สติปัญญายิ่งเหนือกว่ากระหม่อม อีกทั้งเคยอยู่ในกองทัพภาคตะวันตกถึงสามสิบกว่าปี นับว่าเหมาะสมยิ่งกว่าใคร” ติ้งกั๋วโหวกล่าวจบ สายตาก็มองไปยังฮ่องเต้ต้าฉู่ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นความมุ่งมั่นและจริงใจในแววตาของเขา พร้อมรู้สึกตื้นตันต่อความฮึกเหิมของ
“จ้าวหานยวน?” ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูนัก ฉับพลันก็ทรงนึกได้ “เป็นบิดาของฟางกุ้ยเหรินใช่หรือไม่?”“ทูลฝ่าบาท ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ติ้งกั๋วโหวตอบด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนึกได้ว่าซ่งชิงเหยียนเคยพูดเรื่องเกี่ยวกับสนมฟางกุ้ยเหรินให้ฟัง พลางรู้สึกปวดพระทัยยิ่ง ไหนๆ นางก็จากไปแล้ว ควรต้องดูแลพ่อแม่ของนางต่อ จึงได้รับปากทันที “ตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายซ้ายของกรมกลาโหมยังว่างอยู่ ก็ให้เขารับไปแล้วกัน”ออกจากห้องทรงอักษรมา ติ้งกั๋วโหวได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่จ้าวหานยวนได้รู้เดิมทีจ้าวหานยวนก็ไม่ต้องการไปลำบากลำบนอยู่ในค่ายทหารอีกแล้ว ไม่นึกว่ากลับมาเมืองหลวงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการระดับสามของกรมกลาโหม นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากและย่อมต้องขอบคุณติ้งกั๋วโหวที่ให้การช่วยเหลือจ้าวหานยวนในยามนี้ คิดแต่จะรีบกลับบ้านไปเยี่ยมลูกและภรรยาของตนส่วนเสิ่นเซียวนั้น ได้ติตามพ่อลูกติ้งกั๋วโหวไปยังจวนโหวแทนยามนี้ในจวนโหว หญิงหลายคนต่างสนทนาออกรสอยู่ในห้องโถง และท่านรองซ่งจางอิงก็มาจากข้างนอกพอดี“ดูจากข้างนอกก็รู้ว่ามีคนในวังมา ปรากฏว่าเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยจริงๆ” ซ่งจางอิงสมแ
และพ่อบ้านจ้าว ก็หนีจาก ‘อุ้มมือมาร’ ของติ้งกั๋วโหวไม่พ้นทุกคนต่างออกไปต้อนรับ ตามธรรมเนียมแล้ว ซ่งชิงเหยียนต้องยืนอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดแต่ธรรมเนียมก็ส่วนธรรมเนียม ติ้งกั๋วโหวพาลูกชายและเสิ่นเซียวมาคารวะพระสนมหวงกุ้ยเฟยก่อนไม่ทันรอให้บิดาได้คุกเข่า ซ่งชิงเหยียนรีบไปพยุงเขา “ท่านพ่อไม่ต้องมากพิธี ฝ่าบาทเคยรับสั่ง แม้แต่พระองค์เอง ท่านพ่อก็ไม่ต้องคุกเข่าให้ แต่มาทำเช่นนี้กับลูก ลูกจะอายุสั้นมากกว่านะเจ้าคะ”คำพูดของซ่งชิงเหยียนเต็มไปด้วยความออดอ้อนเสิ่นเซียวคาดคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้ต้าฉู่จะอนุญาตให้ติ้งกั๋วโหวละเว้นการคุกเข่าให้พระองค์ นั่นแสดงว่าเมื่อครู่นี้ เขาได้พบเสิ่นหนิงแล้วไม่คุกเข่า ก็ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมแต่อย่างใดเพียงแต่ท่านโหวไม่ได้เอ่ยปากพูดเท่านั้นอาจเพราะไม่ต้องการให้ฮองเฮาเสียหน้า อีกทั้งเป็นการให้เกียรติแก่ตนด้วยเมื่อนึกถึงเสิ่นหนิงผู้เป็นน้องสาว เสิ่นเซียวก็อดเอื้อมมือไปจับสร้อยข้อมือลูกประคำในแขนเสื้อไม่ได้ แต่กลับซุ่มซ่ามไม่ทันได้ถือดีๆ จึงทำเอาสร้อยตกพื้นไปสายตาทุกคนไปอยู่ที่สิ่งของบนพื้น ซ่งชิงฉี่รีบเดินไปหยิบขึ้นมา “นี่คือสร้อยข้อมือที่หลายวันก่อนท่
เมื่อเห็นจวนโหวมีแขกมาเยือน เสิ่นเซียวจึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากอำลาทุกคนแล้ว ก็รีบกลับไปยังจวนเสิ่นซ่งจางอิงก็เช่นกัน“วันนี้ข้าได้มาถูกจังหวะนัก” ซ่งจางอิงเดินขึ้นหน้า จนยืนอยู่หน้าติ้งกั๋วโหว “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้กระบี่ดีมาหนึ่งเล่ม ได้ให้คนส่งไปห้องหนังสือของท่านแล้ว”ห้องหนังสือเป็นที่ส่วนบุคคล เขาไม่อาจเข้าได้ตามอำเภอใจ จึงให้คนไปวางที่โถงด้านข้างห้องหนังสือเท่านั้นเมื่อได้ยินดังนี้ ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกคล้ายมีไออุ่นพุ่งขึ้นในสมอง ที่ควรจะมายังไงก็ต้องมาวันยังค่ำเห็นทีว่า ภายใต้การชี้แนะของหวานหว่าน ตนพยายามเปลี่ยนแปลงมากถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้น ยังไงก็ต้องเกิดอยู่ดีแต่บัดนี้ตระกูลชุยถูกทำลายสิ้นแล้ว องค์ชายสามจะอาศัยอิทธิพลของใครได้อีก หากเบื้องหลังองค์ชายสามมีคนสนับสนุนจริง คนผู้นี้ก็ช่างกล้านัก ถึงขนาดเอื้อมมือมาแตะจวนติ้งกั๋วโหวได้ลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้ว ก็คิดว่ากระบี่เล่มนี้ก็คือสิ่งที่ในหนังสือนิทานได้เอ่ยถึง[ยังไงท่านแม่ไปไหนก็จะพาข้าไปด้วยอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าท่านตายังมีแก่ใจจะไปดูกระบี่เล่มนั้นหรือไม่][หากท่านตาไม่ยอมดู อีกสัก
เมื่อเห็นท่าทีของเผยฉู่เยี่ยน ซ่งชิงเหยียนก็อดหัวเราะไม่ได้นั่นยิ่งทำให้เผยฉู่เยี่ยนใบหน้าแดงก่ำมากขึ้นจิ่นอวี้พยายามกลั้นยิ้มก่อนจะรับตัวลู่ซิงหว่านกลับมา “ลำบากซื่อจื่อเผยแล้ว”เมื่อเห็นลู่ซิงหว่านนอนหลับสนิท ทุกคนจึงไม่กล้าพูดคุยอีก นางเซียวสั่งพ่อบ้านให้จัดเตรียมอาหารค่ำไว้ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนของตนในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกลับติดตามบิดาและพี่ชายไปยังห้องหนังสือ ซ่งชิงฉี่คิดจะเปิดกล่องกระบี่ดู แต่กลับถูกซ่งชิงเหยียนกดมือเอาไว้ซ่งชิงฉี่เงยหน้ามองดูน้องสาวด้วยความฉงน เห็นแววตานางมีความแน่วแน่ซ่งชิงเหยียนจึงได้เอ่ยปาก “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ทุกวันนี้จวนติ้งกั๋วโหวอยู่ในแคว้นต้าฉู่ ก็นับว่าเป็นไม้ใหญ่ที่ต้องลมแรงแล้ว”ได้ยินคำพูดของซ่งชิงเหยียนเช่นนี้ ทั้งคู่ต่างเงียบกริบผ่านไปครู่ใหญ่ ติ้งกั๋วโหวจึงได้เอ่ยปาก “เหตุเพราะข้าเกษียณออกมากระมัง”“ฝ่าบาทแม้ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีนิสัยหวาดระแวงผู้อื่น แต่หากบ้านเราถูกปองร้าย แล้วมีคนคอยทูลยุยงใส่ไคล้ทุกวัน ก็เกรงว่าอาจไม่ค่อยดีนัก”เห็นน้องสาวสีหน้าเคร่งเครียด ซ่งชิงฉี่จึงหันไปมองนาง“วันหน้าพี่ใหญ่อยู่ในกองทัพ ยังต้องระวังให้มาก
ทั้งคู่ยังไม่ทันได้เข้าเรือน ด้านหลังก็มีเสียงของพ่อบ้านจ้าวดังแว่วมา “ช้าก่อนท่านรอง”ทุกคนต่างหันไปมองพ่อบ้านจ้าว“ท่านรอง ท่านโหวเชิญท่านไปพบที่ห้องหนังสือ” พ่อบ้านจ้าวคารวะด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยปาก“ถ้าเช่นนั้น เจ้าพาเยว่เส้ากลับไปก่อนเถิด” ซ่งจางอิงหันไปบอกกัวหรู “พี่ใหญ่คงมีธุระกับข้ากระมัง”ปกติติ้งกั๋วโหวไม่ค่อยจะมายุ่งเกี่ยวกับซ่งจางอิง วันนี้กลับให้เขาไปพบที่ห้องหนังสือ เห็นทีคงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่“อาเขยค่อยๆ เดินเจ้าค่ะ” กัวเยว่เส้ารู้ว่าซ่งจางอิงมีงานต้องทำอีก จึงรีบคารวะซ่งจางอิงพยักหน้าแล้วเดินจากไปว่าไปแล้ว เขาไม่ชอบหน้าพี่ภรรยากัวผิงยิ่งนัก เพราะในสายตาเขา กัวผิงได้เป็นถึงราชเลขากรมคลัง เพราะมีเส้นสายคอยผลักดันต่างหากทั่วเมืองหลวงใครๆ ก็รู้ ว่ากัวผิงเป็นศิษย์เอกของเสนาบดีชุย และเสนาบดีชุยก็เป็นคนเสนอชื่อเขาต่อฮ่องเต้เองแม้ว่าตนก็อาศัยอิทธิพลของพี่ชายกว่าจะมีตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ แต่ก็ยังไม่ชอบคนเหล่านี้อยู่ดีแต่ก็ยอมรับว่า บุตรสาวของกัวผิงผู้นี้ ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี ทั้งรู้จักวางตัว กิริยามารยาทก็อ่อนโยนน่ารักและเขาก็รู้ถึงจุดประสงค์ที่ฮูหยินพ
ซ่งจางอิงเพียงแค่ส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า"ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่พี่ใหญ่สมควรพักผ่อนบ้าง""สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าข้าจะลาออกจากตำแหน่ง" ติ้งกั๋วโหวจ้องมองไปที่ซ่งจางอิง"ลูกหลานในบ้านเราหลายคนเป็นขุนนางในราชสำนัก ประจวบกับสถานะของชิงเหยียน บัดนี้จวนโหวจึงอยู่ในจุดที่เป็นเป้าสายตาอันตรายมากที่สุดจริงๆ""ทั้งภายในและภายนอก การกระทำจะต้องถูกต้อง เหล่าพวกบ่าวไพร่ในบ้านก็ต้องถูกควบคุมให้ดี อย่าให้ใครมาจับผิดจวนติ้งกั๋วโหวได้""ยิ่งไปกว่านั้นห้ามรับของขวัญเด็ดขาด"ซ่งจางอิงรู้ดีว่าประโยคสุดท้ายนี้พาดพิงถึงตัวเขา จึงหดคอเล็กน้อย "ทราบแล้วขอรับ พี่ใหญ่""ส่วนครอบครัวสายรองก็เหมือนกัน ครอบครัวสายหลักและครอบครัวสายรองของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน มีเกียรติและอับอายร่วมกัน"คำพูดสุดท้ายของติ้งกั๋วโหว ทว่ากลับทำให้ซ่งจางอิงถึงกับนิ่งอึ้งไป เขานึกมาตลอดว่าครอบครัวสายรองเป็นเพียงส่วนประกอบของครอบครัวสายหลักเท่านั้น จะมาพูดถึงการเป็นครอบครัวเดียวกันที่ไหนแต่บัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากพี่ใหญ่ มันทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ จนถึงกับรู้สึกน้ำตาคลอ ทว่าติ้งกั๋วโ
ขณะที่ซ่งจางอิงเดินเหม่อลอยเข้าไปในเรือน โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นกัวอวี๋ที่กำลังรอตัวเขาอยู่ "เกิดอะไรขึ้น?" กัวอวี๋เห็นเขาเป็นเช่นนั้น จึงรีบเดินเข้ามาหา แต่คำตำหนิก็ไม่ได้หลุดออกจากปาก นางรู้ว่าติ้งกั๋วโหวเรียกหาสามีของนาง เพราะเขาคงทำเรื่องผิดอะไรและจะต้องเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่แน่ๆเพราะว่าติ้งกั๋วโหวมีเมตตาต่อซ่งจางอิงน้องชายผู้นี้มาโดยตลอด หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจริงๆ ก็คงไม่เรียกตัวเขาไป ซ่งจางอิงราวกับไม่ได้ยินเสียงของกัวอวี๋ ยังคงเดินต่อไปจนกระทั่งมือทั้งสองข้างของกัวอวี๋สัมผัสที่แขนของเขา เขาจึงสะดุ้งได้สติอย่างแรงและหันไปมองกัวอวี๋ "ฮูหยิน"เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของซ่งจางอิง ในใจของกัวอวี๋ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น ปราศจากท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อน "ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น?"ซ่งจางอิงไม่พูดอะไร เพียงแค่ตบมือของกัวอวี๋ เพื่อปลอบโยนจนกระทั่งเข้ามาในหห้องตำรา ซ่งจางอิงถึงได้พูดว่า "วันนี้ใต้เท้าจ้าวของราชเลขากรมพิธีการใต้เท้าจ้าวนำดาบเล่มหนึ่งมาให้ข้า ข้าจึงมอบให้พี่ใหญ่ไป"กัวอวี๋ก็ไม่ได้คิดว่ามีปัญหาอะไร การส่งของขวัญระหว่างตระกูลผู้ดีนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติซ่งจางอ
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ