หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสิ่นหนิงก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง "ช่วงหลายวันมานี้ หม่อมฉันได้รับผิดชอบเรื่องในวังหลัง กลับมีความรู้สึกหลายอย่างเพคะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ช่วงนี้ลืมถามเจ้าไปเลย ว่าจัดการเรื่องในวังหลังเป็นอย่างไรบ้าง? ปรับตัวได้หรือยัง?"ในใจของเสิ่นหนิงแอบบ่นอย่างเงียบ ๆ ท่านไม่ได้ลืมถามข้าหรอก ท่านนี่คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีข้าเป็นฮองเฮาอยู่กระมัง! มีฮ่องเต้คนไหนบ้างที่แต่งตั้งฮองเฮาแล้วไม่เคยโผล่หน้าไปที่ตำหนักของฮองเฮาสักครั้งเลยแต่ภายนอกเสิ่นหนิงกลับไม่แสดงออก เพียงยิ้มและประจบว่า "ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงเพคะ หวงกุ้ยเฟยจัดการเรื่องในวังหลังได้ดีมาก หม่อมฉันแค่รับช่วงต่อเท่านั้น ไม่มีอะไรยากลำบากเลยเพคะ"ตอนนี้อำนาจในการจัดการวังหลังทั้งหกอยู่ในมือของนางแล้ว นางจะยอมแบ่งให้คนอื่นได้อย่างไร"เพียงแต่มีเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันคิดไปคิดมา รู้สึกว่าอย่างไรก็ควรกราบทูลฝ่าบาท" หลังจากพูดคุยไปสักพัก ก็พาเข้าสู่ประเด็นหลักเสิ่นหนิงรู้สึกชัดเจนว่า พอพูดถึงพระสนมเต๋อเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตัวแข็งทื่อทันที แต่แสร้งทําเป็นใจเย็นว่า "เกิดอะไรขึ้น?
ไม่นานนัก อวิ๋นจูก็วิ่งกลับมาด้วยความตกใจหลังจากค้นหาอยู่นาน “พระสนม ตู้ใบนั้นวางเปล่าเพคะ”ว่างเปล่าหรือ?” เสิ่นหนิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าตนเองจะถูกจับตามองจริงเสียแล้ว ตู้ใบนั้นใส่ยาถอนพิษของตนเองไว้ ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะนำยาถอนพิษไปหมด ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตนเองเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของวันนี้ตอนนี้ก็ถึงยามเย็นแล้ว อีกไม่นานงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้นแวลายามระกา หากตอนนี้จะไปปรุงยา แล้วแช่ยาสมุนไพร แถมยังแต่งตัวอีก คงไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ อวิ๋นหลาน เจ้าไปกราบทูลฮ่องเต้ บอกว่าข้าเพิ่งกลับมาจากตำหนักหลงเซิง แล้วพักผ่อนไปเพียงครู่เดียว ก็เกิดผื่นขึ้นตามตัว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ ขอให้หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รับหน้าที่แทน”“อย่าได้ทูลว่าข้ามีไข้เด็ดขาด”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไร้สมอง ตรงกันข้าม เขาทรงมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง หากบังเอิญทรงตระหนักได้ว่าอาการของตัวเองคล้ายคลึงกับอาการของลู่ซิงหว่านในตอนนั้น...หากพบว่าอาการป่วยเหมือนกันทุกประการ แล้วตนเองจะทำเช่นไรดีอวิ๋นหลานถูกสายตาที่ดุดันของฮองเฮาทำให้ตกใจจนไม่ก
เดิมทีอวิ๋นหลานตั้งใจจะหลบเลี่ยงจิ่นอวี้ แต่กลับห้ามตัวเองไม่ให้พูดมากไม่ได้ “งานเลี้ยงในคืนนี้ เกรงว่าพระมเหสีคงจะเสด็จไปไม่ได้แล้ว”“เพราะเหตุใดหรือ?” จิ่นอวี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ แต่ในใจกลับชื่นชมสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของพระสนมนายของตนเอง พระสนมกล่าวว่า ตำหนักจิ่นซิ่วจะต้องส่งคนไปยังตำหนักหลงเซิง และเกรงว่าฮองเฮาคงไม่สามารถเสด็จร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ได้ จึงให้จิ่นอวี้มาสร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายตรงข้ามอวิ๋นหลานเพียงแค่ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “พระองค์ทรงไม่ค่อยสบาย”แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมิได้กล่าวความจริงจิ่นอวี้หาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ จึงเพียงพึมพำว่า “ได้กราบทูลเชิญหมอหลวงมาถวายการรักษาหรือยัง?”ไม่รอให้อวิ๋นหลานตอบ จิ่นอวี้ก็พูดต่อเองว่า “ลืมไปเสียสนิท พระมเหสีเองก็เป็นหมออยู่แล้ว! เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่องค์หญิงหย่งอันเกิดผื่นขึ้นและมีไข้สูง ก็เป็นเพราะพระองค์ที่ทรงปรุงยาให้จนหายดี!”“องค์หญิงหย่งอันก็เคยมีพระอาการไข้สูงและเผื่นขึ้นหรือ?” อวิ๋นหลานรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่นอวี้จิ่นอวี้ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติในคำพูดของอวิ๋นหลาน จึงรีบดึงแขนของนางไว้แล้วถามว่า “หรือ
“เช่นนั้นเหตุใดพระสนมจึงให้บ่าวจงใจพูดถึงเรื่องที่พระองค์หญิงของพวกเราเคยถูกวางยาพิษล่ะเพคะ...?”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า “เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ข้าก็แค่อยากให้นางรู้ว่าข้าเป็นคนวางยาพิษนี้ กล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องหวานหว่านน้อยของข้า นี่เป็นเพียงคำเตือนเท่านั้น”[ว้าว ท่านแม่ดีต่อหวานหว่านเหลือเกิน หวานหว่านซาบซึ้งยิ่งนัก หวานหว่านจะร้องไห้แล้ว][ท่านแม่เป็นคนเด็ดขาดแบบนี้เองหรือ? แบบนี้ถึงจะเหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในนิทาน ที่มีนิสัยต้องแก้แค้น][เป็นดังที่คิดไว้จริง ๆ เมื่อไม่มีเรื่องวุ่นวายในวังหลังมารบกวน ท่านแม่ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของข้าก็กลับมาแล้ว!]แต่เมื่ออวิ๋นหลานมาถึงตำหนักหลงเซิง พอดีกับที่ฮ่องเต้ต้าฉู่เสด็จออกมา จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและถวายบังคมว่า “ขอถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นว่าเป็นนางกำนัลของตำหนักจิ่นซิ่ว ก็ทรงถามพลางเสด็จดำเนินต่อไปว่า “มีเรื่องอันใดหรือ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ตั้งใจจะเสด็จไปยังตำหนักหรงเล่อ เขาเดินอย่างรวดเร็ว อวิ๋นหลานจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ตามหลัง “กราบทูลฝ่าบาท พระมเหสีเมื่อเสด็จกลับตำหนักก็ทรงมีอาการไม่สบาย ร่างกายถึงกับผื่นขึ้น จึงรับสั่ง
อวิ๋นหลานรีบส่ายหัว “ขอพระมเหสีโปรดทรงพิจารณาด้วย บ่าวไม่ได้บอกอะไรเลย บ่าวเพียงกล่าวว่าพระสนมทรงทรงเหนื่อยล้าในช่วงนี้ แค่ทรงอ่อนเพลียเท่านั้นเอง”กล่าวจบ อวิ๋นหลานก็มองไปทางฮองเฮาด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ไม่เอ่ยวาจาใดเสิ่นหนิงแกล้งทำเป็นกริ้ว แล้วกล่าวกับอวิ๋นจูว่า “ต่อไปในภายหน้า เมื่อใดที่เข้าใจชัดเจนแล้วจึงค่อยพูด พวกเจ้าเป็นผู้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดข้า จะมาบาดหมางกันไม่ได้เด็ดขาด”อวิ๋นจูได้แต่ตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ”“เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดเอง” เสิ่นหนิงจึงกล่าวพลางมองไปที่อวิ๋นหลาน “ครั้งนี้เจ้าทำหน้าที่ได้ดี ไปเตรียมตัวแล้วไปต้มยาให้ข้าเถิด”พูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้อวิ๋นจูยื่นยาที่ถืออยู่ในมือส่งให้อวิ๋นหลานเมื่อเห็นว่าฮองเฮาตำหนิอวิ๋นจูเพื่อปกป้องตนเอง อวิ๋นหลานก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ในขณะที่ก้าวออกจากห้องในก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยรออวิ๋นหลานออกจากห้องในไปแล้ว เสิ่นหนิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ซ่งชิงเหยียนใช้ปากของอวิ๋นหลานมาเตือนข้า”อวิ๋นจูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพระสนมต้องระมัดระวังในการกระทำเรื่องใด ๆ ในภายภาคหน้าให้มากขึ้นเพคะ”“ใช่” เสิ่นหนิงเสิ่นหนิงไปที่อื่น “ต้องระวังตำหนั
ซ่งชิงเหยียนมีฝีมือในการต่อสู้ไม่น้อย ย่อมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น แต่นางมิได้ใส่ใจนัก จึงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ[ใช้งานความงามรับใช้ผู้คนหรือ? ถ้าเจ้าแน่จริง ก็แสดงความงามออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ!][นี่แหละที่ในนิทานที่ว่า “รังเกียจองุ่นเปรี้ยวเพราะตนไม่มีกิน” เฮ้อ อยากกินองุ่นสักลูกจัง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นองุ่นในต้าฉู่เลย เลย สงสัยตอนนี้องุ่นยังเป็นของหายากอยู่หรือเปล่า??]ลู่ซิงหว่านเองก็ไม่ทันสังเกตว่า ดูเหมือนว่านางจะตื่นรู้พลังวิญญาณบางอย่างโดยไม่รู้ตัว นางไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ ติดตัว แต่กลับสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลเช่นนี้ได้ทางด้านเหวินเฟยและพระสนมหลานเฟยก็เสด็จมาหาซ่งชิงเหยียน ซ่งชิงเหยียนก็รีบลุกขึ้น “พี่หญิงทั้งสองมาแต่เช้าจริง ๆ เพคะ”พระสนมหลานเฟยอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อว่า “น้องหญิงเหวินรีบมาแต่เช้า ร้อนใจอยากจะมาเจอพี่ชายของตนเองเหลือเกิน!”ซ่งชิงเหยียนมองไปทางพระสนมเหวินเฟย นางได้เปลี่ยนจากชุดยามเช้าออก เหลือเพียงชุดในวังของเหล่าพระสนมแคว้นต้าฉู่เท่านั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ เสียงของเมิ่งฉวนเต๋อก็ดังขึ้น“ฮ่อง
“รองแม่ทัพซ่ง ไม่เจอกันนานเลย”ฟู่เหยายืนขึ้น และเคารพซ่งชิงเหยียนตามความเคยชินจากในค่ายทหารเหมือนเมื่อก่อน ทว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินกลับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนอย่างฉงนรองแม่ทัพซ่ง คือยศทหารในอดีตของชิงเหยียน ตอนนั้นนางถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ และยังส่งจดหมายมาหาชิงหย่าด้วยความปิติยินดี บอกว่าภายภาคหน้าตนจะสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นและปกป้องแคว้นต้าฉู่พระชายาอี้ซวนอ๋องเรียกชิงเหยียนว่ารองแม่ทัพซ่ง น่าจะเป็นคนรู้จักในค่ายทหารของนางเมื่อก่อนซ่งชิงเหยียนเพียงยืนขึ้นพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนทักทายกลับฟู่เหยา “ผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ไม่เจอกันนานจริงๆ นั่นแหล่ะ”ก่อนหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ กล่าวอธิบาย “เมื่อก่อนตอนที่หม่อมฉันอยู่ในค่ายทหาร เคยได้ประมือกับผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ซึ่งนับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”ฟู่เหยาหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่เช่นเดียวกัน “รองแม่ทัพซ่ง ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหวงกุ้ยเฟยแล้ว วรยุทธ์ของหวงกุ้ยเฟยนั้นดีกว่าข้าไปหลายโข ข้าแทบพ่ายอยู่ใต้ฝ่ามือนางร่ำไป ฝ่าบาทช่างโชคดีจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินรอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้า “พระชายาอี้ซวนอ๋องมิต้องฝืนหรอก หากเจ้าชินเรียกยศทหารของชิงเหยีย
ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้กลับตกตะลึงไปเล็กน้อยครั้นหันไปมอง ซ่งชิงเหยียนเองก็ดูประหลาดใจเต็มเปี่ยม ดูท่าเรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันทันใดนั้นไทเฮากลับกล่าวขึ้น “ข้าว่าก็ไม่เลวเลย ทว่าที่นี้มีสตรีมากมาย มิสู้ฝ่าบาทให้คนไปเตรียมดาบไม้ ให้ชิงเหยียนกับพระชายาอี้ซวนอ๋องได้ประลองกัน”ฟู่เหยาได้ยินวาจาของไทเฮา ก็จะลุกขึ้นมาคัดค้าน แต่กับถูกอี้ซวนอ๋องกดมือไว้ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆ พลางหันมาส่ายหน้าให้นางเขาย่อมรู้เจตนาของพระชายาตัวเองดี นางมีนิสัยดื้อรั้นซุกซนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามนี้คงคิดว่าดาบไม้คงไม่สะใจ แค่อยากใช้ดาบจริงมาสู้กันก็เท่านั้นแต่อย่างไรนี่ก็คือวังหลังของฮ่องเต้ต้าฉู่ ทั้งยังมีสตรีมากมายอยู่ที่นี่ด้วย ดาบกระบี่ไร้ตา หากเกิดว่าฟาดฟันไปโดนคนเข้า คงยากจะพูดได้ฮ่องเต้ต้าฉู่อนุญาติให้ทั้งสองคนสูักัน สนองความปรารถนาให้ภรรยาตัวเอง ก็นับว่าเป็นเมตตาพอแล้วครั้นเห็นสามีตนเช่นนี้ ฟู่เหยาก็เข้าใจเจตนาเขาทันที และทำแค่เพียงพยักหน้า“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยไทเฮาแห่งต้าฉู่เป็นอย่างยิ่ง”ในเวลานี้เองฮ่องเต้ต้าฉู่ก็กล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉวนเต๋อไปเตรียมดาบไม้มาสองเล่ม”ก่อ
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต