อวิ๋นหลานรีบส่ายหัว “ขอพระมเหสีโปรดทรงพิจารณาด้วย บ่าวไม่ได้บอกอะไรเลย บ่าวเพียงกล่าวว่าพระสนมทรงทรงเหนื่อยล้าในช่วงนี้ แค่ทรงอ่อนเพลียเท่านั้นเอง”กล่าวจบ อวิ๋นหลานก็มองไปทางฮองเฮาด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ไม่เอ่ยวาจาใดเสิ่นหนิงแกล้งทำเป็นกริ้ว แล้วกล่าวกับอวิ๋นจูว่า “ต่อไปในภายหน้า เมื่อใดที่เข้าใจชัดเจนแล้วจึงค่อยพูด พวกเจ้าเป็นผู้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดข้า จะมาบาดหมางกันไม่ได้เด็ดขาด”อวิ๋นจูได้แต่ตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ”“เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดเอง” เสิ่นหนิงจึงกล่าวพลางมองไปที่อวิ๋นหลาน “ครั้งนี้เจ้าทำหน้าที่ได้ดี ไปเตรียมตัวแล้วไปต้มยาให้ข้าเถิด”พูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้อวิ๋นจูยื่นยาที่ถืออยู่ในมือส่งให้อวิ๋นหลานเมื่อเห็นว่าฮองเฮาตำหนิอวิ๋นจูเพื่อปกป้องตนเอง อวิ๋นหลานก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ในขณะที่ก้าวออกจากห้องในก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยรออวิ๋นหลานออกจากห้องในไปแล้ว เสิ่นหนิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ซ่งชิงเหยียนใช้ปากของอวิ๋นหลานมาเตือนข้า”อวิ๋นจูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพระสนมต้องระมัดระวังในการกระทำเรื่องใด ๆ ในภายภาคหน้าให้มากขึ้นเพคะ”“ใช่” เสิ่นหนิงเสิ่นหนิงไปที่อื่น “ต้องระวังตำหนั
ซ่งชิงเหยียนมีฝีมือในการต่อสู้ไม่น้อย ย่อมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น แต่นางมิได้ใส่ใจนัก จึงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ[ใช้งานความงามรับใช้ผู้คนหรือ? ถ้าเจ้าแน่จริง ก็แสดงความงามออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ!][นี่แหละที่ในนิทานที่ว่า “รังเกียจองุ่นเปรี้ยวเพราะตนไม่มีกิน” เฮ้อ อยากกินองุ่นสักลูกจัง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นองุ่นในต้าฉู่เลย เลย สงสัยตอนนี้องุ่นยังเป็นของหายากอยู่หรือเปล่า??]ลู่ซิงหว่านเองก็ไม่ทันสังเกตว่า ดูเหมือนว่านางจะตื่นรู้พลังวิญญาณบางอย่างโดยไม่รู้ตัว นางไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ ติดตัว แต่กลับสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลเช่นนี้ได้ทางด้านเหวินเฟยและพระสนมหลานเฟยก็เสด็จมาหาซ่งชิงเหยียน ซ่งชิงเหยียนก็รีบลุกขึ้น “พี่หญิงทั้งสองมาแต่เช้าจริง ๆ เพคะ”พระสนมหลานเฟยอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อว่า “น้องหญิงเหวินรีบมาแต่เช้า ร้อนใจอยากจะมาเจอพี่ชายของตนเองเหลือเกิน!”ซ่งชิงเหยียนมองไปทางพระสนมเหวินเฟย นางได้เปลี่ยนจากชุดยามเช้าออก เหลือเพียงชุดในวังของเหล่าพระสนมแคว้นต้าฉู่เท่านั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ เสียงของเมิ่งฉวนเต๋อก็ดังขึ้น“ฮ่อง
“รองแม่ทัพซ่ง ไม่เจอกันนานเลย”ฟู่เหยายืนขึ้น และเคารพซ่งชิงเหยียนตามความเคยชินจากในค่ายทหารเหมือนเมื่อก่อน ทว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินกลับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนอย่างฉงนรองแม่ทัพซ่ง คือยศทหารในอดีตของชิงเหยียน ตอนนั้นนางถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ และยังส่งจดหมายมาหาชิงหย่าด้วยความปิติยินดี บอกว่าภายภาคหน้าตนจะสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นและปกป้องแคว้นต้าฉู่พระชายาอี้ซวนอ๋องเรียกชิงเหยียนว่ารองแม่ทัพซ่ง น่าจะเป็นคนรู้จักในค่ายทหารของนางเมื่อก่อนซ่งชิงเหยียนเพียงยืนขึ้นพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนทักทายกลับฟู่เหยา “ผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ไม่เจอกันนานจริงๆ นั่นแหล่ะ”ก่อนหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ กล่าวอธิบาย “เมื่อก่อนตอนที่หม่อมฉันอยู่ในค่ายทหาร เคยได้ประมือกับผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ซึ่งนับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”ฟู่เหยาหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่เช่นเดียวกัน “รองแม่ทัพซ่ง ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหวงกุ้ยเฟยแล้ว วรยุทธ์ของหวงกุ้ยเฟยนั้นดีกว่าข้าไปหลายโข ข้าแทบพ่ายอยู่ใต้ฝ่ามือนางร่ำไป ฝ่าบาทช่างโชคดีจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินรอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้า “พระชายาอี้ซวนอ๋องมิต้องฝืนหรอก หากเจ้าชินเรียกยศทหารของชิงเหยีย
ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้กลับตกตะลึงไปเล็กน้อยครั้นหันไปมอง ซ่งชิงเหยียนเองก็ดูประหลาดใจเต็มเปี่ยม ดูท่าเรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันทันใดนั้นไทเฮากลับกล่าวขึ้น “ข้าว่าก็ไม่เลวเลย ทว่าที่นี้มีสตรีมากมาย มิสู้ฝ่าบาทให้คนไปเตรียมดาบไม้ ให้ชิงเหยียนกับพระชายาอี้ซวนอ๋องได้ประลองกัน”ฟู่เหยาได้ยินวาจาของไทเฮา ก็จะลุกขึ้นมาคัดค้าน แต่กับถูกอี้ซวนอ๋องกดมือไว้ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆ พลางหันมาส่ายหน้าให้นางเขาย่อมรู้เจตนาของพระชายาตัวเองดี นางมีนิสัยดื้อรั้นซุกซนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามนี้คงคิดว่าดาบไม้คงไม่สะใจ แค่อยากใช้ดาบจริงมาสู้กันก็เท่านั้นแต่อย่างไรนี่ก็คือวังหลังของฮ่องเต้ต้าฉู่ ทั้งยังมีสตรีมากมายอยู่ที่นี่ด้วย ดาบกระบี่ไร้ตา หากเกิดว่าฟาดฟันไปโดนคนเข้า คงยากจะพูดได้ฮ่องเต้ต้าฉู่อนุญาติให้ทั้งสองคนสูักัน สนองความปรารถนาให้ภรรยาตัวเอง ก็นับว่าเป็นเมตตาพอแล้วครั้นเห็นสามีตนเช่นนี้ ฟู่เหยาก็เข้าใจเจตนาเขาทันที และทำแค่เพียงพยักหน้า“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยไทเฮาแห่งต้าฉู่เป็นอย่างยิ่ง”ในเวลานี้เองฮ่องเต้ต้าฉู่ก็กล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉวนเต๋อไปเตรียมดาบไม้มาสองเล่ม”ก่อ
ในขณะที่ฮ่องเต้ต้าฉู่กล่าววาจานี้ คิ้วคมก็เลิกขึ้นสูง นัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นหรี่ลง เผยกลิ่นอายอันตรายออกมาพลันภายในตำหนักเงียบลงทันใด เหล่าสนมที่พร่ำบ่นเมื่อครู่ แม้แต่หายใจแรงก็ยังมิกล้าหายใจออกมามีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วโห่ร้องดีใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น[ว้าว เสด็จพ่อเท่มาก! นี่เสด็จพ่อหนุนหลังให้ท่านแม่! วันนี้เสด็จพ่อทำได้ดีมาก! หวานหว่านชอบเสด็จพ่อที่สุด!][ข้าดูแล้วเหล่าสนมของเสด็จพ่อว่างกันสุดๆ มิสู้เสด็จพ่อหางานให้พวกนางทำ พวกนางจะได้ไม่จ้องจะจับผิดหาเรื่องทะเลาะกันทั้งวัน][ข้าเห็นด้านข้างอุทยานมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง เสด็จพ่อรีบให้คนไปจัดการ จากนั้นก็เนรเทศสนมเหล่านี้ไปปลูกผัก]ฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ลูกสาวตัวน้อยของตนนี้ช่างเป็นเด็กพลังเหลือล้นจริงๆ ลูกสาวคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่ปลูกผักไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่านางสนม หากให้พวกนางไปปลูกผักจริง ตนจะไม่ขายหน้าหมดหรอกหรือได้ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนเหล่านี้ ทั้งยังเสียงเจื้อยแจ้วของลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนก็รีบก้าวออกไปปลอบใจแทนฟู่เหยา “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงถือโทษเลย ฟู่เหยามีนิสัยเปิดเผยเช่นนี้มาแต่ไหนแ
และผู้ที่สนทนากับสนมเยว่กุ้ยเหริน คือสนมเล่อกุ้ยเหรินที่บัดนี้ตั้งครรภ์แล้ว“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวรยุทธ์ของพระสนมหวงกุ้ยเฟยจะสุดยอดเช่นนี้”เมื่อกล่าวถึงพระสนมหวงกุ้ยเฟย สนมเล่อกุ้ยเหรินเต็มไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย “พระสนมหวงกุ้ยเฟยยังจิตใจดีอีกด้วย!”“หลายวันก่อนข้าอารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงนัก ก็ได้พระสนมหวงกุ้ยเฟยนี่แหล่ะทูกฝ่าบาทให้มารดาข้าเข้าวังมาอยู่กับข้าหนึ่งวัน”สนมเล่อกุ้ยเหรินกล่าวเสียงเบาแต่เพราะเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้มากนัก ดังนั้นเมื่อก่อนสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงไม่รู้“จริงหรือ?”ในสายตาของสนมเยว่กุ้ยเหริน เหล่าพระสนมที่มียศสูงกว่านิดหน่อยเหล่านี้ ไม่คอยมองคนตัวเล็กๆ อย่างตัวเองอยู่ในสายตาเลยบิดาตนเป็นเพียงเซวียวเหว่ยเจียงจวินขั้นสี่ เบื้องหลังไม่มีวงศ์ตระกูลให้พึ่งพิง ส่วนตนนั้นก็เป็นแค่คนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ทั้งยังแย่งชิงความโปรดปรานก็ไม่เป็น และเป็นคนใจไม่สู้ เข้าวังมาเจ็ดแปดปีแล้วก็ยังออกไปไม่ได้เรื่องที่พระสนมเต๋อเฟยกระทำต่อสนมฟางกุ้ยเหรินในอดีต นางก็รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น บางครั้งคิดว่าไม่มีเด็กก็โชคดีเหมือนกัน แถมยังรักษาชีวิตตัวเองได้ด้วยทว่าในวังที่กว้างขวางซับซ
พระสนมเหวินเฟยไม่คอยให้ซ่งชิงหยาทันเอ่ยปาก ก็กุลีกุจอยืนขึ้นทันใด “ขอบพระทัยฝ่าบาท”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นท่าทีนางเช่นนี้ จึงมองเบนสายตามองไทเฮา ทั้งยกยิ้มสบตากัน“เจ้าน่ะ” ฮองเฮาชี้ไปทางพระสนมเหวินเฟย หากแต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความโปรดปราน นับตั้งแต่พระสนมเหวินเฟยเข้าตำหนักมา ก็เชื่อฟังกตัญญูต่อตนเป็นอย่างยิ่งนึกดูแล้ว เหมือนว่าตั้งแต่ชิงหย่าเสียไป ทุกสิ่งในวังก็เปลี่ยนแปลงไปทว่าตำหนักจิ่นซิ่วในยามนี้กลับเงียบงันเสียยิ่งกระไรเสิ่นหนิงได้รับการปรนบัติจากอวิ๋นจูและอวิ๋นหลาน แช่น้ำอาบน้ำยา กลับเตียงนอนพักผ่อนเสร็จสรรพตอนนี้อวิ๋นจูกำลังคุยกับเสิ่นหนิงในห้อง “พระสนม วันนี้ถือว่าได้เปรียบจากคนผู้นั้นในตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว ไม่รู้ว่าจะออกหน้าอวดตนอย่างไรอีก!”“ไม่เป็นไร” เสิ่นหนิงกลับหาได้ใส่ใจไม่ “ต่อให้นางได้หน้าได้ตา ก็ไม่มีทางข้ามข้าไปได้ วันนี้ข้าต่างหากที่เป็นฮองเฮาแห่งราชวังนี้”อวิ๋นจูช่วยซ่อมแซมอาภรณ์ให้เสิ่นหนิงไปพลางเอ่ยไป “กล่าวมาเช่นนี้ ฝ่าบาททรงพูดอะไรที่พอสูสีกันสินะ”เมื่อเห็นเสิ่นหนิงยังคงทำท่าทีไม่แยแส จึงไม่เอ่ยเอ่ยอันใดให้มากความทว่าอวิ๋นหลานกลับถูกไล่ออกมาเสียเองอวิ๋นหลานไ
ในตําหนักซวนฝู ผู้คนกําลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน แต่องค์ชายสี่กลับมาดื่มคารวะต่อหน้าพระสนมหวงกุ้ยเฟย“พระสนมเฉินมีฝีมือยอดเยี่ยมเหลือเกิน กระหม่อมขอคารวะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่ถือจอกเหล้าเดินเข้ามาหลังจากดื่มให้กับซ่งชิงเหยียนแล้ว เขาก็มานั่งข้าง ๆ นาง แสร้งทําเป็นขอคําแนะนํา แต่ปากของเขากลับพูดเรื่องอื่น“พระสนมเฉิน มีเรื่องหนึ่ง เสด็จแม่ให้ข้าแจ้งพระสนมเฉินโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”ซ่งชิงเหยียนเห็นองค์ชายสี่ตั้งใจเช่นนี้ ก็เอียงคอฟังอย่างตั้งใจ“วันนี้ตอนที่กระหม่อมเดินทางจากตําหนักชิงอวิ๋นไปยังตําหนักหลงเซิง บังเอิญพบมหาขันทีเมิ่งกลับมาจากตําหนักหานกวางพอดีพ่ะย่ะค่ะ”“ตําหนักหานกวาง?” ซ่งชิงเหยียนได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้องค์ชายสี่พยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ มหาขันทีเมิ่งบอกว่า เป็นพระบัญชาของเสด็จพ่อ ให้เขาไปตําหนักหานกวางเพื่อเชิญเสด็จแม่ไปเข้าเฝ้าอ๋องอี้ซวนและพระชายาที่ตําหนักหลงเซิง”องค์ชายสี่กล่าวถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็เข้าใจดังนั้นไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่ให้เหวินเฟยพบพี่ชายของตัวเอง แต่ฮองเฮาได้บอกกับอวิ๋นจูที่เฝ้าอยู่นอกประตูล่วงหน้าว่าไม่ให้เหวินเฟยเข้าไปคิดไม่ถึงว่