“รองแม่ทัพซ่ง ไม่เจอกันนานเลย”ฟู่เหยายืนขึ้น และเคารพซ่งชิงเหยียนตามความเคยชินจากในค่ายทหารเหมือนเมื่อก่อน ทว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินกลับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนอย่างฉงนรองแม่ทัพซ่ง คือยศทหารในอดีตของชิงเหยียน ตอนนั้นนางถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ และยังส่งจดหมายมาหาชิงหย่าด้วยความปิติยินดี บอกว่าภายภาคหน้าตนจะสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นและปกป้องแคว้นต้าฉู่พระชายาอี้ซวนอ๋องเรียกชิงเหยียนว่ารองแม่ทัพซ่ง น่าจะเป็นคนรู้จักในค่ายทหารของนางเมื่อก่อนซ่งชิงเหยียนเพียงยืนขึ้นพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนทักทายกลับฟู่เหยา “ผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ไม่เจอกันนานจริงๆ นั่นแหล่ะ”ก่อนหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ กล่าวอธิบาย “เมื่อก่อนตอนที่หม่อมฉันอยู่ในค่ายทหาร เคยได้ประมือกับผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ซึ่งนับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”ฟู่เหยาหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่เช่นเดียวกัน “รองแม่ทัพซ่ง ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหวงกุ้ยเฟยแล้ว วรยุทธ์ของหวงกุ้ยเฟยนั้นดีกว่าข้าไปหลายโข ข้าแทบพ่ายอยู่ใต้ฝ่ามือนางร่ำไป ฝ่าบาทช่างโชคดีจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินรอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้า “พระชายาอี้ซวนอ๋องมิต้องฝืนหรอก หากเจ้าชินเรียกยศทหารของชิงเหยีย
ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้กลับตกตะลึงไปเล็กน้อยครั้นหันไปมอง ซ่งชิงเหยียนเองก็ดูประหลาดใจเต็มเปี่ยม ดูท่าเรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันทันใดนั้นไทเฮากลับกล่าวขึ้น “ข้าว่าก็ไม่เลวเลย ทว่าที่นี้มีสตรีมากมาย มิสู้ฝ่าบาทให้คนไปเตรียมดาบไม้ ให้ชิงเหยียนกับพระชายาอี้ซวนอ๋องได้ประลองกัน”ฟู่เหยาได้ยินวาจาของไทเฮา ก็จะลุกขึ้นมาคัดค้าน แต่กับถูกอี้ซวนอ๋องกดมือไว้ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆ พลางหันมาส่ายหน้าให้นางเขาย่อมรู้เจตนาของพระชายาตัวเองดี นางมีนิสัยดื้อรั้นซุกซนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามนี้คงคิดว่าดาบไม้คงไม่สะใจ แค่อยากใช้ดาบจริงมาสู้กันก็เท่านั้นแต่อย่างไรนี่ก็คือวังหลังของฮ่องเต้ต้าฉู่ ทั้งยังมีสตรีมากมายอยู่ที่นี่ด้วย ดาบกระบี่ไร้ตา หากเกิดว่าฟาดฟันไปโดนคนเข้า คงยากจะพูดได้ฮ่องเต้ต้าฉู่อนุญาติให้ทั้งสองคนสูักัน สนองความปรารถนาให้ภรรยาตัวเอง ก็นับว่าเป็นเมตตาพอแล้วครั้นเห็นสามีตนเช่นนี้ ฟู่เหยาก็เข้าใจเจตนาเขาทันที และทำแค่เพียงพยักหน้า“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยไทเฮาแห่งต้าฉู่เป็นอย่างยิ่ง”ในเวลานี้เองฮ่องเต้ต้าฉู่ก็กล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉวนเต๋อไปเตรียมดาบไม้มาสองเล่ม”ก่อ
ในขณะที่ฮ่องเต้ต้าฉู่กล่าววาจานี้ คิ้วคมก็เลิกขึ้นสูง นัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นหรี่ลง เผยกลิ่นอายอันตรายออกมาพลันภายในตำหนักเงียบลงทันใด เหล่าสนมที่พร่ำบ่นเมื่อครู่ แม้แต่หายใจแรงก็ยังมิกล้าหายใจออกมามีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วโห่ร้องดีใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น[ว้าว เสด็จพ่อเท่มาก! นี่เสด็จพ่อหนุนหลังให้ท่านแม่! วันนี้เสด็จพ่อทำได้ดีมาก! หวานหว่านชอบเสด็จพ่อที่สุด!][ข้าดูแล้วเหล่าสนมของเสด็จพ่อว่างกันสุดๆ มิสู้เสด็จพ่อหางานให้พวกนางทำ พวกนางจะได้ไม่จ้องจะจับผิดหาเรื่องทะเลาะกันทั้งวัน][ข้าเห็นด้านข้างอุทยานมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง เสด็จพ่อรีบให้คนไปจัดการ จากนั้นก็เนรเทศสนมเหล่านี้ไปปลูกผัก]ฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ลูกสาวตัวน้อยของตนนี้ช่างเป็นเด็กพลังเหลือล้นจริงๆ ลูกสาวคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่ปลูกผักไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่านางสนม หากให้พวกนางไปปลูกผักจริง ตนจะไม่ขายหน้าหมดหรอกหรือได้ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนเหล่านี้ ทั้งยังเสียงเจื้อยแจ้วของลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนก็รีบก้าวออกไปปลอบใจแทนฟู่เหยา “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงถือโทษเลย ฟู่เหยามีนิสัยเปิดเผยเช่นนี้มาแต่ไหนแ
และผู้ที่สนทนากับสนมเยว่กุ้ยเหริน คือสนมเล่อกุ้ยเหรินที่บัดนี้ตั้งครรภ์แล้ว“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวรยุทธ์ของพระสนมหวงกุ้ยเฟยจะสุดยอดเช่นนี้”เมื่อกล่าวถึงพระสนมหวงกุ้ยเฟย สนมเล่อกุ้ยเหรินเต็มไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย “พระสนมหวงกุ้ยเฟยยังจิตใจดีอีกด้วย!”“หลายวันก่อนข้าอารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงนัก ก็ได้พระสนมหวงกุ้ยเฟยนี่แหล่ะทูกฝ่าบาทให้มารดาข้าเข้าวังมาอยู่กับข้าหนึ่งวัน”สนมเล่อกุ้ยเหรินกล่าวเสียงเบาแต่เพราะเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้มากนัก ดังนั้นเมื่อก่อนสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงไม่รู้“จริงหรือ?”ในสายตาของสนมเยว่กุ้ยเหริน เหล่าพระสนมที่มียศสูงกว่านิดหน่อยเหล่านี้ ไม่คอยมองคนตัวเล็กๆ อย่างตัวเองอยู่ในสายตาเลยบิดาตนเป็นเพียงเซวียวเหว่ยเจียงจวินขั้นสี่ เบื้องหลังไม่มีวงศ์ตระกูลให้พึ่งพิง ส่วนตนนั้นก็เป็นแค่คนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ทั้งยังแย่งชิงความโปรดปรานก็ไม่เป็น และเป็นคนใจไม่สู้ เข้าวังมาเจ็ดแปดปีแล้วก็ยังออกไปไม่ได้เรื่องที่พระสนมเต๋อเฟยกระทำต่อสนมฟางกุ้ยเหรินในอดีต นางก็รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น บางครั้งคิดว่าไม่มีเด็กก็โชคดีเหมือนกัน แถมยังรักษาชีวิตตัวเองได้ด้วยทว่าในวังที่กว้างขวางซับซ
พระสนมเหวินเฟยไม่คอยให้ซ่งชิงหยาทันเอ่ยปาก ก็กุลีกุจอยืนขึ้นทันใด “ขอบพระทัยฝ่าบาท”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นท่าทีนางเช่นนี้ จึงมองเบนสายตามองไทเฮา ทั้งยกยิ้มสบตากัน“เจ้าน่ะ” ฮองเฮาชี้ไปทางพระสนมเหวินเฟย หากแต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความโปรดปราน นับตั้งแต่พระสนมเหวินเฟยเข้าตำหนักมา ก็เชื่อฟังกตัญญูต่อตนเป็นอย่างยิ่งนึกดูแล้ว เหมือนว่าตั้งแต่ชิงหย่าเสียไป ทุกสิ่งในวังก็เปลี่ยนแปลงไปทว่าตำหนักจิ่นซิ่วในยามนี้กลับเงียบงันเสียยิ่งกระไรเสิ่นหนิงได้รับการปรนบัติจากอวิ๋นจูและอวิ๋นหลาน แช่น้ำอาบน้ำยา กลับเตียงนอนพักผ่อนเสร็จสรรพตอนนี้อวิ๋นจูกำลังคุยกับเสิ่นหนิงในห้อง “พระสนม วันนี้ถือว่าได้เปรียบจากคนผู้นั้นในตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว ไม่รู้ว่าจะออกหน้าอวดตนอย่างไรอีก!”“ไม่เป็นไร” เสิ่นหนิงกลับหาได้ใส่ใจไม่ “ต่อให้นางได้หน้าได้ตา ก็ไม่มีทางข้ามข้าไปได้ วันนี้ข้าต่างหากที่เป็นฮองเฮาแห่งราชวังนี้”อวิ๋นจูช่วยซ่อมแซมอาภรณ์ให้เสิ่นหนิงไปพลางเอ่ยไป “กล่าวมาเช่นนี้ ฝ่าบาททรงพูดอะไรที่พอสูสีกันสินะ”เมื่อเห็นเสิ่นหนิงยังคงทำท่าทีไม่แยแส จึงไม่เอ่ยเอ่ยอันใดให้มากความทว่าอวิ๋นหลานกลับถูกไล่ออกมาเสียเองอวิ๋นหลานไ
ในตําหนักซวนฝู ผู้คนกําลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน แต่องค์ชายสี่กลับมาดื่มคารวะต่อหน้าพระสนมหวงกุ้ยเฟย“พระสนมเฉินมีฝีมือยอดเยี่ยมเหลือเกิน กระหม่อมขอคารวะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่ถือจอกเหล้าเดินเข้ามาหลังจากดื่มให้กับซ่งชิงเหยียนแล้ว เขาก็มานั่งข้าง ๆ นาง แสร้งทําเป็นขอคําแนะนํา แต่ปากของเขากลับพูดเรื่องอื่น“พระสนมเฉิน มีเรื่องหนึ่ง เสด็จแม่ให้ข้าแจ้งพระสนมเฉินโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”ซ่งชิงเหยียนเห็นองค์ชายสี่ตั้งใจเช่นนี้ ก็เอียงคอฟังอย่างตั้งใจ“วันนี้ตอนที่กระหม่อมเดินทางจากตําหนักชิงอวิ๋นไปยังตําหนักหลงเซิง บังเอิญพบมหาขันทีเมิ่งกลับมาจากตําหนักหานกวางพอดีพ่ะย่ะค่ะ”“ตําหนักหานกวาง?” ซ่งชิงเหยียนได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้องค์ชายสี่พยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ มหาขันทีเมิ่งบอกว่า เป็นพระบัญชาของเสด็จพ่อ ให้เขาไปตําหนักหานกวางเพื่อเชิญเสด็จแม่ไปเข้าเฝ้าอ๋องอี้ซวนและพระชายาที่ตําหนักหลงเซิง”องค์ชายสี่กล่าวถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็เข้าใจดังนั้นไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่ให้เหวินเฟยพบพี่ชายของตัวเอง แต่ฮองเฮาได้บอกกับอวิ๋นจูที่เฝ้าอยู่นอกประตูล่วงหน้าว่าไม่ให้เหวินเฟยเข้าไปคิดไม่ถึงว่
และแล้ว ลู่ซิงหว่านย่อมไม่ทําให้ฮ่องเต้ฉู่ผิดหวังแน่นอน[เสด็จพ่อไม่รู้หรอกว่ามีพลังวิญญาณดีแค่ไหน คิดไม่ถึงว่าจะฟังได้ไกลขนาดนี้ หากวันหน้ามีคนมากระซิบกระซาบต่อหน้าข้า คงไม่มีที่หลบซ่อนแล้วละมั้ง][เมื่อครู่พี่สี่กําลังพูดกับท่านแม่เกี่ยวกับฮองเฮาคนโปรดของท่าน!] ผู้หญิงคนนี้ต่ำช้าจริง ๆ เพียงแค่เห็นพระสนมเหวินเฟยดูดีขึ้นนิดหน่อย ก็ไม่ให้นางมาพบท่านแล้ว]ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้ เหวินเฟย? นางไม่ใช่ว่าอยู่ในตําหนักหรอกหรือ?[วันนี้ตอนเช้าพระสนมเหวินเฟยร้องไห้สะอึกสะอื้นมาหาท่านแม่ที่ตําหนักชิงอวิ๋น น่าสงสารจัง]ฮองเฮาน่ารังเกียจจริง ๆ ปิดกันพระสนมเหวินเฟยไว้นอกตําหนักหลงเซิง และมหาขันทีเมิ่งกับพระสนมเหวินเฟยก็เดินคนละทางกัน จึงไม่อาจพบพี่ชายของนางได้ทันเวลา[โชคดีที่เสด็จพ่อมีความเมตตากรุณาและให้อ๋องอี้ซวนและพระชายาของเขาไปนั่งเล่นที่ตำหนักหานกวาง]พูดถึงตรงนี้ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะตบต้นขาของฮ่องเต้ต้าฉู่ เหมือนกําลังชมเขาอยู่ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ นึกถึงฮองเฮาที่ลู่ซิงหว่านพูดถึง นึกถึงเรื่องสนมหลินผินที่นางเล่าให้ตนฟังในตอนบ่าย ในใจ
หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลง ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่กลับไปที่ตําหนักหลงเซิงเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน ก็เห็นอิ่งอียืนอยู่ในห้องโถงแต่เช้าจึงโบกมือให้เมิ่งเฉวียนเต๋อที่อยู่ข้างหลัง เป็นสัญญาณให้เขาถอยออกไปก่อนอิ่งอีกล่าวตามความจริงว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมตรวจสอบสนมหลินผินแล้ว ข้างกายสนมหลินผินมีนางกํานัลคนหนึ่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ วันที่พระสนมเต๋อเฟยเกิดเรื่องนั้นได้ไปพูดคุยกับขุนนางชั้นสูงที่ตําหนักผู่เหวิน และหลังจากพระสนมเต๋อเฟยเกิดเรื่อง นางกํานัลคนนั้นก็ถูกสนมหลินผินจัดการแล้ว”“เรื่องนี้สนมหลินผินได้กราบทูลต่อหวงกุ้ยเฟยแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”อิ่งอีพูดเพียงเท่านี้ ตนเพียงชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ก็คือเรื่องที่ฝ่าบาทควรไปสืบด้วยตัวเองแล้วไปถามด้วยตัวเองฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินก็เพียงแค่พยักหน้า สั่งให้อิ่งอีออกไปเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรอีกแต่สุดท้ายก็นั่งไม่ติดเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซ่งชิงเหยียนอย่างไร หรือว่าสนมหลินผินเป็นคนที่นางจัดไปหรอกหรือ? นางเองก็ถือโอกาสนี้แก้แค้นพระสนมเต๋อเฟยหรือไงกัน?ถึงอย่างไรเรื่องเหล่านั้นที่พระสนมเต๋อเฟยเคยทํากับนางในอดีต ถ้านางบอกว่าไม่เกล
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ