ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้กลับตกตะลึงไปเล็กน้อยครั้นหันไปมอง ซ่งชิงเหยียนเองก็ดูประหลาดใจเต็มเปี่ยม ดูท่าเรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันทันใดนั้นไทเฮากลับกล่าวขึ้น “ข้าว่าก็ไม่เลวเลย ทว่าที่นี้มีสตรีมากมาย มิสู้ฝ่าบาทให้คนไปเตรียมดาบไม้ ให้ชิงเหยียนกับพระชายาอี้ซวนอ๋องได้ประลองกัน”ฟู่เหยาได้ยินวาจาของไทเฮา ก็จะลุกขึ้นมาคัดค้าน แต่กับถูกอี้ซวนอ๋องกดมือไว้ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆ พลางหันมาส่ายหน้าให้นางเขาย่อมรู้เจตนาของพระชายาตัวเองดี นางมีนิสัยดื้อรั้นซุกซนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามนี้คงคิดว่าดาบไม้คงไม่สะใจ แค่อยากใช้ดาบจริงมาสู้กันก็เท่านั้นแต่อย่างไรนี่ก็คือวังหลังของฮ่องเต้ต้าฉู่ ทั้งยังมีสตรีมากมายอยู่ที่นี่ด้วย ดาบกระบี่ไร้ตา หากเกิดว่าฟาดฟันไปโดนคนเข้า คงยากจะพูดได้ฮ่องเต้ต้าฉู่อนุญาติให้ทั้งสองคนสูักัน สนองความปรารถนาให้ภรรยาตัวเอง ก็นับว่าเป็นเมตตาพอแล้วครั้นเห็นสามีตนเช่นนี้ ฟู่เหยาก็เข้าใจเจตนาเขาทันที และทำแค่เพียงพยักหน้า“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยไทเฮาแห่งต้าฉู่เป็นอย่างยิ่ง”ในเวลานี้เองฮ่องเต้ต้าฉู่ก็กล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉวนเต๋อไปเตรียมดาบไม้มาสองเล่ม”ก่อ
ในขณะที่ฮ่องเต้ต้าฉู่กล่าววาจานี้ คิ้วคมก็เลิกขึ้นสูง นัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นหรี่ลง เผยกลิ่นอายอันตรายออกมาพลันภายในตำหนักเงียบลงทันใด เหล่าสนมที่พร่ำบ่นเมื่อครู่ แม้แต่หายใจแรงก็ยังมิกล้าหายใจออกมามีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วโห่ร้องดีใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น[ว้าว เสด็จพ่อเท่มาก! นี่เสด็จพ่อหนุนหลังให้ท่านแม่! วันนี้เสด็จพ่อทำได้ดีมาก! หวานหว่านชอบเสด็จพ่อที่สุด!][ข้าดูแล้วเหล่าสนมของเสด็จพ่อว่างกันสุดๆ มิสู้เสด็จพ่อหางานให้พวกนางทำ พวกนางจะได้ไม่จ้องจะจับผิดหาเรื่องทะเลาะกันทั้งวัน][ข้าเห็นด้านข้างอุทยานมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง เสด็จพ่อรีบให้คนไปจัดการ จากนั้นก็เนรเทศสนมเหล่านี้ไปปลูกผัก]ฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ลูกสาวตัวน้อยของตนนี้ช่างเป็นเด็กพลังเหลือล้นจริงๆ ลูกสาวคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่ปลูกผักไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่านางสนม หากให้พวกนางไปปลูกผักจริง ตนจะไม่ขายหน้าหมดหรอกหรือได้ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนเหล่านี้ ทั้งยังเสียงเจื้อยแจ้วของลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนก็รีบก้าวออกไปปลอบใจแทนฟู่เหยา “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงถือโทษเลย ฟู่เหยามีนิสัยเปิดเผยเช่นนี้มาแต่ไหนแ
และผู้ที่สนทนากับสนมเยว่กุ้ยเหริน คือสนมเล่อกุ้ยเหรินที่บัดนี้ตั้งครรภ์แล้ว“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าวรยุทธ์ของพระสนมหวงกุ้ยเฟยจะสุดยอดเช่นนี้”เมื่อกล่าวถึงพระสนมหวงกุ้ยเฟย สนมเล่อกุ้ยเหรินเต็มไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย “พระสนมหวงกุ้ยเฟยยังจิตใจดีอีกด้วย!”“หลายวันก่อนข้าอารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงนัก ก็ได้พระสนมหวงกุ้ยเฟยนี่แหล่ะทูกฝ่าบาทให้มารดาข้าเข้าวังมาอยู่กับข้าหนึ่งวัน”สนมเล่อกุ้ยเหรินกล่าวเสียงเบาแต่เพราะเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้มากนัก ดังนั้นเมื่อก่อนสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงไม่รู้“จริงหรือ?”ในสายตาของสนมเยว่กุ้ยเหริน เหล่าพระสนมที่มียศสูงกว่านิดหน่อยเหล่านี้ ไม่คอยมองคนตัวเล็กๆ อย่างตัวเองอยู่ในสายตาเลยบิดาตนเป็นเพียงเซวียวเหว่ยเจียงจวินขั้นสี่ เบื้องหลังไม่มีวงศ์ตระกูลให้พึ่งพิง ส่วนตนนั้นก็เป็นแค่คนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ทั้งยังแย่งชิงความโปรดปรานก็ไม่เป็น และเป็นคนใจไม่สู้ เข้าวังมาเจ็ดแปดปีแล้วก็ยังออกไปไม่ได้เรื่องที่พระสนมเต๋อเฟยกระทำต่อสนมฟางกุ้ยเหรินในอดีต นางก็รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น บางครั้งคิดว่าไม่มีเด็กก็โชคดีเหมือนกัน แถมยังรักษาชีวิตตัวเองได้ด้วยทว่าในวังที่กว้างขวางซับซ
พระสนมเหวินเฟยไม่คอยให้ซ่งชิงหยาทันเอ่ยปาก ก็กุลีกุจอยืนขึ้นทันใด “ขอบพระทัยฝ่าบาท”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นท่าทีนางเช่นนี้ จึงมองเบนสายตามองไทเฮา ทั้งยกยิ้มสบตากัน“เจ้าน่ะ” ฮองเฮาชี้ไปทางพระสนมเหวินเฟย หากแต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความโปรดปราน นับตั้งแต่พระสนมเหวินเฟยเข้าตำหนักมา ก็เชื่อฟังกตัญญูต่อตนเป็นอย่างยิ่งนึกดูแล้ว เหมือนว่าตั้งแต่ชิงหย่าเสียไป ทุกสิ่งในวังก็เปลี่ยนแปลงไปทว่าตำหนักจิ่นซิ่วในยามนี้กลับเงียบงันเสียยิ่งกระไรเสิ่นหนิงได้รับการปรนบัติจากอวิ๋นจูและอวิ๋นหลาน แช่น้ำอาบน้ำยา กลับเตียงนอนพักผ่อนเสร็จสรรพตอนนี้อวิ๋นจูกำลังคุยกับเสิ่นหนิงในห้อง “พระสนม วันนี้ถือว่าได้เปรียบจากคนผู้นั้นในตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว ไม่รู้ว่าจะออกหน้าอวดตนอย่างไรอีก!”“ไม่เป็นไร” เสิ่นหนิงกลับหาได้ใส่ใจไม่ “ต่อให้นางได้หน้าได้ตา ก็ไม่มีทางข้ามข้าไปได้ วันนี้ข้าต่างหากที่เป็นฮองเฮาแห่งราชวังนี้”อวิ๋นจูช่วยซ่อมแซมอาภรณ์ให้เสิ่นหนิงไปพลางเอ่ยไป “กล่าวมาเช่นนี้ ฝ่าบาททรงพูดอะไรที่พอสูสีกันสินะ”เมื่อเห็นเสิ่นหนิงยังคงทำท่าทีไม่แยแส จึงไม่เอ่ยเอ่ยอันใดให้มากความทว่าอวิ๋นหลานกลับถูกไล่ออกมาเสียเองอวิ๋นหลานไ
ในตําหนักซวนฝู ผู้คนกําลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน แต่องค์ชายสี่กลับมาดื่มคารวะต่อหน้าพระสนมหวงกุ้ยเฟย“พระสนมเฉินมีฝีมือยอดเยี่ยมเหลือเกิน กระหม่อมขอคารวะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่ถือจอกเหล้าเดินเข้ามาหลังจากดื่มให้กับซ่งชิงเหยียนแล้ว เขาก็มานั่งข้าง ๆ นาง แสร้งทําเป็นขอคําแนะนํา แต่ปากของเขากลับพูดเรื่องอื่น“พระสนมเฉิน มีเรื่องหนึ่ง เสด็จแม่ให้ข้าแจ้งพระสนมเฉินโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”ซ่งชิงเหยียนเห็นองค์ชายสี่ตั้งใจเช่นนี้ ก็เอียงคอฟังอย่างตั้งใจ“วันนี้ตอนที่กระหม่อมเดินทางจากตําหนักชิงอวิ๋นไปยังตําหนักหลงเซิง บังเอิญพบมหาขันทีเมิ่งกลับมาจากตําหนักหานกวางพอดีพ่ะย่ะค่ะ”“ตําหนักหานกวาง?” ซ่งชิงเหยียนได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้องค์ชายสี่พยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ มหาขันทีเมิ่งบอกว่า เป็นพระบัญชาของเสด็จพ่อ ให้เขาไปตําหนักหานกวางเพื่อเชิญเสด็จแม่ไปเข้าเฝ้าอ๋องอี้ซวนและพระชายาที่ตําหนักหลงเซิง”องค์ชายสี่กล่าวถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็เข้าใจดังนั้นไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่ให้เหวินเฟยพบพี่ชายของตัวเอง แต่ฮองเฮาได้บอกกับอวิ๋นจูที่เฝ้าอยู่นอกประตูล่วงหน้าว่าไม่ให้เหวินเฟยเข้าไปคิดไม่ถึงว่
และแล้ว ลู่ซิงหว่านย่อมไม่ทําให้ฮ่องเต้ฉู่ผิดหวังแน่นอน[เสด็จพ่อไม่รู้หรอกว่ามีพลังวิญญาณดีแค่ไหน คิดไม่ถึงว่าจะฟังได้ไกลขนาดนี้ หากวันหน้ามีคนมากระซิบกระซาบต่อหน้าข้า คงไม่มีที่หลบซ่อนแล้วละมั้ง][เมื่อครู่พี่สี่กําลังพูดกับท่านแม่เกี่ยวกับฮองเฮาคนโปรดของท่าน!] ผู้หญิงคนนี้ต่ำช้าจริง ๆ เพียงแค่เห็นพระสนมเหวินเฟยดูดีขึ้นนิดหน่อย ก็ไม่ให้นางมาพบท่านแล้ว]ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้ เหวินเฟย? นางไม่ใช่ว่าอยู่ในตําหนักหรอกหรือ?[วันนี้ตอนเช้าพระสนมเหวินเฟยร้องไห้สะอึกสะอื้นมาหาท่านแม่ที่ตําหนักชิงอวิ๋น น่าสงสารจัง]ฮองเฮาน่ารังเกียจจริง ๆ ปิดกันพระสนมเหวินเฟยไว้นอกตําหนักหลงเซิง และมหาขันทีเมิ่งกับพระสนมเหวินเฟยก็เดินคนละทางกัน จึงไม่อาจพบพี่ชายของนางได้ทันเวลา[โชคดีที่เสด็จพ่อมีความเมตตากรุณาและให้อ๋องอี้ซวนและพระชายาของเขาไปนั่งเล่นที่ตำหนักหานกวาง]พูดถึงตรงนี้ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะตบต้นขาของฮ่องเต้ต้าฉู่ เหมือนกําลังชมเขาอยู่ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ นึกถึงฮองเฮาที่ลู่ซิงหว่านพูดถึง นึกถึงเรื่องสนมหลินผินที่นางเล่าให้ตนฟังในตอนบ่าย ในใจ
หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดสิ้นสุดลง ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่กลับไปที่ตําหนักหลงเซิงเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน ก็เห็นอิ่งอียืนอยู่ในห้องโถงแต่เช้าจึงโบกมือให้เมิ่งเฉวียนเต๋อที่อยู่ข้างหลัง เป็นสัญญาณให้เขาถอยออกไปก่อนอิ่งอีกล่าวตามความจริงว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมตรวจสอบสนมหลินผินแล้ว ข้างกายสนมหลินผินมีนางกํานัลคนหนึ่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ วันที่พระสนมเต๋อเฟยเกิดเรื่องนั้นได้ไปพูดคุยกับขุนนางชั้นสูงที่ตําหนักผู่เหวิน และหลังจากพระสนมเต๋อเฟยเกิดเรื่อง นางกํานัลคนนั้นก็ถูกสนมหลินผินจัดการแล้ว”“เรื่องนี้สนมหลินผินได้กราบทูลต่อหวงกุ้ยเฟยแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”อิ่งอีพูดเพียงเท่านี้ ตนเพียงชี้แจงข้อเท็จจริงเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ก็คือเรื่องที่ฝ่าบาทควรไปสืบด้วยตัวเองแล้วไปถามด้วยตัวเองฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินก็เพียงแค่พยักหน้า สั่งให้อิ่งอีออกไปเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรอีกแต่สุดท้ายก็นั่งไม่ติดเขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซ่งชิงเหยียนอย่างไร หรือว่าสนมหลินผินเป็นคนที่นางจัดไปหรอกหรือ? นางเองก็ถือโอกาสนี้แก้แค้นพระสนมเต๋อเฟยหรือไงกัน?ถึงอย่างไรเรื่องเหล่านั้นที่พระสนมเต๋อเฟยเคยทํากับนางในอดีต ถ้านางบอกว่าไม่เกล
ซ่งชิงเหยียนจึงตอบไปตามความจริง “ทูลฝ่าบาท หากบอกว่าไม่คับแค้นใจ นั่นเป็นเรื่องโกหก เมื่อพระสนมเต๋อเฟยอยู่ในตําแหน่งก็สร้างปัญหาให้หม่อมฉันไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหวานหว่านเกือบถูกนางทําร้ายตอนคลอดแล้ว”พูดถึงตรงนี้ซ่งชิงเหยียนก็ส่ายหน้า หัวเราะเบาๆ “แต่ตอนนี้หวานหว่านก็คลอดออกมาอย่างดีแล้ว หม่อมฉันก็สบายดี ฝ่าบาทวางใจเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่มีความคิดที่จะแก้แค้น”เมื่อเห็นนางเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย “ทางฮองเฮาบอกว่า...”หลังจากพูดจบ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็มองไปที่ซ่งชิงเหยียน แต่กลับเห็นดวงตาของนางกําลังจ้องมองมาที่ตนเอง ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องลงมา ทําให้นางดูน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น“วันที่พระสนมเต๋อเฟยถูกทําร้าย คนข้างกายของสนมหลินผินเคยไปหาฟางกุ้ยเหริน และสนมหลินผินก็มาหาเจ้าในภายหลัง”ซ่งชิงเหยียนเข้าใจทันทีว่านี่เป็นแผนของฮองเฮาเพียงแต่แผนนี้ดูไม่มีระดับเอาซะเลยพูดถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็ลุกขึ้นแล้วย่อกายลง เอ่ยปากว่า “คําพูดของฮองเฮาเป็นความจริงเพคะ หม่อมฉันปิดบังฝ่าบาทจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นดังนั้นก็เรียกนางให้นั่งลง ซ่งชิงเหยียนจึงเอ่ยปาก