ไม่นานนัก อวิ๋นจูก็วิ่งกลับมาด้วยความตกใจหลังจากค้นหาอยู่นาน “พระสนม ตู้ใบนั้นวางเปล่าเพคะ”ว่างเปล่าหรือ?” เสิ่นหนิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าตนเองจะถูกจับตามองจริงเสียแล้ว ตู้ใบนั้นใส่ยาถอนพิษของตนเองไว้ ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะนำยาถอนพิษไปหมด ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตนเองเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของวันนี้ตอนนี้ก็ถึงยามเย็นแล้ว อีกไม่นานงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้นแวลายามระกา หากตอนนี้จะไปปรุงยา แล้วแช่ยาสมุนไพร แถมยังแต่งตัวอีก คงไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ อวิ๋นหลาน เจ้าไปกราบทูลฮ่องเต้ บอกว่าข้าเพิ่งกลับมาจากตำหนักหลงเซิง แล้วพักผ่อนไปเพียงครู่เดียว ก็เกิดผื่นขึ้นตามตัว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ ขอให้หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รับหน้าที่แทน”“อย่าได้ทูลว่าข้ามีไข้เด็ดขาด”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไร้สมอง ตรงกันข้าม เขาทรงมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง หากบังเอิญทรงตระหนักได้ว่าอาการของตัวเองคล้ายคลึงกับอาการของลู่ซิงหว่านในตอนนั้น...หากพบว่าอาการป่วยเหมือนกันทุกประการ แล้วตนเองจะทำเช่นไรดีอวิ๋นหลานถูกสายตาที่ดุดันของฮองเฮาทำให้ตกใจจนไม่ก
เดิมทีอวิ๋นหลานตั้งใจจะหลบเลี่ยงจิ่นอวี้ แต่กลับห้ามตัวเองไม่ให้พูดมากไม่ได้ “งานเลี้ยงในคืนนี้ เกรงว่าพระมเหสีคงจะเสด็จไปไม่ได้แล้ว”“เพราะเหตุใดหรือ?” จิ่นอวี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ แต่ในใจกลับชื่นชมสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของพระสนมนายของตนเอง พระสนมกล่าวว่า ตำหนักจิ่นซิ่วจะต้องส่งคนไปยังตำหนักหลงเซิง และเกรงว่าฮองเฮาคงไม่สามารถเสด็จร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ได้ จึงให้จิ่นอวี้มาสร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายตรงข้ามอวิ๋นหลานเพียงแค่ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “พระองค์ทรงไม่ค่อยสบาย”แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมิได้กล่าวความจริงจิ่นอวี้หาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ จึงเพียงพึมพำว่า “ได้กราบทูลเชิญหมอหลวงมาถวายการรักษาหรือยัง?”ไม่รอให้อวิ๋นหลานตอบ จิ่นอวี้ก็พูดต่อเองว่า “ลืมไปเสียสนิท พระมเหสีเองก็เป็นหมออยู่แล้ว! เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่องค์หญิงหย่งอันเกิดผื่นขึ้นและมีไข้สูง ก็เป็นเพราะพระองค์ที่ทรงปรุงยาให้จนหายดี!”“องค์หญิงหย่งอันก็เคยมีพระอาการไข้สูงและเผื่นขึ้นหรือ?” อวิ๋นหลานรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่นอวี้จิ่นอวี้ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติในคำพูดของอวิ๋นหลาน จึงรีบดึงแขนของนางไว้แล้วถามว่า “หรือ
“เช่นนั้นเหตุใดพระสนมจึงให้บ่าวจงใจพูดถึงเรื่องที่พระองค์หญิงของพวกเราเคยถูกวางยาพิษล่ะเพคะ...?”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า “เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ข้าก็แค่อยากให้นางรู้ว่าข้าเป็นคนวางยาพิษนี้ กล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องหวานหว่านน้อยของข้า นี่เป็นเพียงคำเตือนเท่านั้น”[ว้าว ท่านแม่ดีต่อหวานหว่านเหลือเกิน หวานหว่านซาบซึ้งยิ่งนัก หวานหว่านจะร้องไห้แล้ว][ท่านแม่เป็นคนเด็ดขาดแบบนี้เองหรือ? แบบนี้ถึงจะเหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในนิทาน ที่มีนิสัยต้องแก้แค้น][เป็นดังที่คิดไว้จริง ๆ เมื่อไม่มีเรื่องวุ่นวายในวังหลังมารบกวน ท่านแม่ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของข้าก็กลับมาแล้ว!]แต่เมื่ออวิ๋นหลานมาถึงตำหนักหลงเซิง พอดีกับที่ฮ่องเต้ต้าฉู่เสด็จออกมา จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและถวายบังคมว่า “ขอถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นว่าเป็นนางกำนัลของตำหนักจิ่นซิ่ว ก็ทรงถามพลางเสด็จดำเนินต่อไปว่า “มีเรื่องอันใดหรือ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ตั้งใจจะเสด็จไปยังตำหนักหรงเล่อ เขาเดินอย่างรวดเร็ว อวิ๋นหลานจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ตามหลัง “กราบทูลฝ่าบาท พระมเหสีเมื่อเสด็จกลับตำหนักก็ทรงมีอาการไม่สบาย ร่างกายถึงกับผื่นขึ้น จึงรับสั่ง
อวิ๋นหลานรีบส่ายหัว “ขอพระมเหสีโปรดทรงพิจารณาด้วย บ่าวไม่ได้บอกอะไรเลย บ่าวเพียงกล่าวว่าพระสนมทรงทรงเหนื่อยล้าในช่วงนี้ แค่ทรงอ่อนเพลียเท่านั้นเอง”กล่าวจบ อวิ๋นหลานก็มองไปทางฮองเฮาด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ไม่เอ่ยวาจาใดเสิ่นหนิงแกล้งทำเป็นกริ้ว แล้วกล่าวกับอวิ๋นจูว่า “ต่อไปในภายหน้า เมื่อใดที่เข้าใจชัดเจนแล้วจึงค่อยพูด พวกเจ้าเป็นผู้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดข้า จะมาบาดหมางกันไม่ได้เด็ดขาด”อวิ๋นจูได้แต่ตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ”“เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดเอง” เสิ่นหนิงจึงกล่าวพลางมองไปที่อวิ๋นหลาน “ครั้งนี้เจ้าทำหน้าที่ได้ดี ไปเตรียมตัวแล้วไปต้มยาให้ข้าเถิด”พูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้อวิ๋นจูยื่นยาที่ถืออยู่ในมือส่งให้อวิ๋นหลานเมื่อเห็นว่าฮองเฮาตำหนิอวิ๋นจูเพื่อปกป้องตนเอง อวิ๋นหลานก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ในขณะที่ก้าวออกจากห้องในก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยรออวิ๋นหลานออกจากห้องในไปแล้ว เสิ่นหนิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ซ่งชิงเหยียนใช้ปากของอวิ๋นหลานมาเตือนข้า”อวิ๋นจูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพระสนมต้องระมัดระวังในการกระทำเรื่องใด ๆ ในภายภาคหน้าให้มากขึ้นเพคะ”“ใช่” เสิ่นหนิงเสิ่นหนิงไปที่อื่น “ต้องระวังตำหนั
ซ่งชิงเหยียนมีฝีมือในการต่อสู้ไม่น้อย ย่อมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น แต่นางมิได้ใส่ใจนัก จึงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ[ใช้งานความงามรับใช้ผู้คนหรือ? ถ้าเจ้าแน่จริง ก็แสดงความงามออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ!][นี่แหละที่ในนิทานที่ว่า “รังเกียจองุ่นเปรี้ยวเพราะตนไม่มีกิน” เฮ้อ อยากกินองุ่นสักลูกจัง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นองุ่นในต้าฉู่เลย เลย สงสัยตอนนี้องุ่นยังเป็นของหายากอยู่หรือเปล่า??]ลู่ซิงหว่านเองก็ไม่ทันสังเกตว่า ดูเหมือนว่านางจะตื่นรู้พลังวิญญาณบางอย่างโดยไม่รู้ตัว นางไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ ติดตัว แต่กลับสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลเช่นนี้ได้ทางด้านเหวินเฟยและพระสนมหลานเฟยก็เสด็จมาหาซ่งชิงเหยียน ซ่งชิงเหยียนก็รีบลุกขึ้น “พี่หญิงทั้งสองมาแต่เช้าจริง ๆ เพคะ”พระสนมหลานเฟยอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อว่า “น้องหญิงเหวินรีบมาแต่เช้า ร้อนใจอยากจะมาเจอพี่ชายของตนเองเหลือเกิน!”ซ่งชิงเหยียนมองไปทางพระสนมเหวินเฟย นางได้เปลี่ยนจากชุดยามเช้าออก เหลือเพียงชุดในวังของเหล่าพระสนมแคว้นต้าฉู่เท่านั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ เสียงของเมิ่งฉวนเต๋อก็ดังขึ้น“ฮ่อง
“รองแม่ทัพซ่ง ไม่เจอกันนานเลย”ฟู่เหยายืนขึ้น และเคารพซ่งชิงเหยียนตามความเคยชินจากในค่ายทหารเหมือนเมื่อก่อน ทว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินกลับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนอย่างฉงนรองแม่ทัพซ่ง คือยศทหารในอดีตของชิงเหยียน ตอนนั้นนางถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ และยังส่งจดหมายมาหาชิงหย่าด้วยความปิติยินดี บอกว่าภายภาคหน้าตนจะสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นและปกป้องแคว้นต้าฉู่พระชายาอี้ซวนอ๋องเรียกชิงเหยียนว่ารองแม่ทัพซ่ง น่าจะเป็นคนรู้จักในค่ายทหารของนางเมื่อก่อนซ่งชิงเหยียนเพียงยืนขึ้นพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนทักทายกลับฟู่เหยา “ผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ไม่เจอกันนานจริงๆ นั่นแหล่ะ”ก่อนหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ กล่าวอธิบาย “เมื่อก่อนตอนที่หม่อมฉันอยู่ในค่ายทหาร เคยได้ประมือกับผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ซึ่งนับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”ฟู่เหยาหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่เช่นเดียวกัน “รองแม่ทัพซ่ง ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหวงกุ้ยเฟยแล้ว วรยุทธ์ของหวงกุ้ยเฟยนั้นดีกว่าข้าไปหลายโข ข้าแทบพ่ายอยู่ใต้ฝ่ามือนางร่ำไป ฝ่าบาทช่างโชคดีจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินรอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้า “พระชายาอี้ซวนอ๋องมิต้องฝืนหรอก หากเจ้าชินเรียกยศทหารของชิงเหยีย
ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเช่นนี้กลับตกตะลึงไปเล็กน้อยครั้นหันไปมอง ซ่งชิงเหยียนเองก็ดูประหลาดใจเต็มเปี่ยม ดูท่าเรื่องนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันทันใดนั้นไทเฮากลับกล่าวขึ้น “ข้าว่าก็ไม่เลวเลย ทว่าที่นี้มีสตรีมากมาย มิสู้ฝ่าบาทให้คนไปเตรียมดาบไม้ ให้ชิงเหยียนกับพระชายาอี้ซวนอ๋องได้ประลองกัน”ฟู่เหยาได้ยินวาจาของไทเฮา ก็จะลุกขึ้นมาคัดค้าน แต่กับถูกอี้ซวนอ๋องกดมือไว้ใต้โต๊ะอย่างเงียบๆ พลางหันมาส่ายหน้าให้นางเขาย่อมรู้เจตนาของพระชายาตัวเองดี นางมีนิสัยดื้อรั้นซุกซนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามนี้คงคิดว่าดาบไม้คงไม่สะใจ แค่อยากใช้ดาบจริงมาสู้กันก็เท่านั้นแต่อย่างไรนี่ก็คือวังหลังของฮ่องเต้ต้าฉู่ ทั้งยังมีสตรีมากมายอยู่ที่นี่ด้วย ดาบกระบี่ไร้ตา หากเกิดว่าฟาดฟันไปโดนคนเข้า คงยากจะพูดได้ฮ่องเต้ต้าฉู่อนุญาติให้ทั้งสองคนสูักัน สนองความปรารถนาให้ภรรยาตัวเอง ก็นับว่าเป็นเมตตาพอแล้วครั้นเห็นสามีตนเช่นนี้ ฟู่เหยาก็เข้าใจเจตนาเขาทันที และทำแค่เพียงพยักหน้า“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยไทเฮาแห่งต้าฉู่เป็นอย่างยิ่ง”ในเวลานี้เองฮ่องเต้ต้าฉู่ก็กล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฉวนเต๋อไปเตรียมดาบไม้มาสองเล่ม”ก่อ
ในขณะที่ฮ่องเต้ต้าฉู่กล่าววาจานี้ คิ้วคมก็เลิกขึ้นสูง นัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นหรี่ลง เผยกลิ่นอายอันตรายออกมาพลันภายในตำหนักเงียบลงทันใด เหล่าสนมที่พร่ำบ่นเมื่อครู่ แม้แต่หายใจแรงก็ยังมิกล้าหายใจออกมามีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วโห่ร้องดีใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น[ว้าว เสด็จพ่อเท่มาก! นี่เสด็จพ่อหนุนหลังให้ท่านแม่! วันนี้เสด็จพ่อทำได้ดีมาก! หวานหว่านชอบเสด็จพ่อที่สุด!][ข้าดูแล้วเหล่าสนมของเสด็จพ่อว่างกันสุดๆ มิสู้เสด็จพ่อหางานให้พวกนางทำ พวกนางจะได้ไม่จ้องจะจับผิดหาเรื่องทะเลาะกันทั้งวัน][ข้าเห็นด้านข้างอุทยานมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง เสด็จพ่อรีบให้คนไปจัดการ จากนั้นก็เนรเทศสนมเหล่านี้ไปปลูกผัก]ฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ลูกสาวตัวน้อยของตนนี้ช่างเป็นเด็กพลังเหลือล้นจริงๆ ลูกสาวคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่ปลูกผักไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่านางสนม หากให้พวกนางไปปลูกผักจริง ตนจะไม่ขายหน้าหมดหรอกหรือได้ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนเหล่านี้ ทั้งยังเสียงเจื้อยแจ้วของลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนก็รีบก้าวออกไปปลอบใจแทนฟู่เหยา “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงถือโทษเลย ฟู่เหยามีนิสัยเปิดเผยเช่นนี้มาแต่ไหนแ