เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็หันมามองเหมยอิ่งอีกครั้ง "ยานี้เจ้าเอามาหมดแล้วใช่ไหม?"เหมยอิ่งส่ายหัว "คุณหนูส่ายหัว ข้าน้อยหยิบมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตำหนักของนางยังมีอยู่อีกมาก" ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหมยอิ่งอีกครั้ง "ไปตรวจดูอาการปวดศีรษะของฝ่าบาท ว่าเกี่ยวข้องกับนางหรือไม่"พูดจบก็กำชับอีกว่า "ต้องระมัดระวัง อย่าให้ฝ่าบาททรงจับได้"เหมยอิ่งและจวี๋อิ่งรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป ฉยงหัวกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ตั้งเองครั้นจะไปก็ไม่ใช่ ครั้นจะอยู่ก็ไม่ดีโชคดีที่หวงกุ้ยเฟยยังไม่ลืมตัวเอง "เรื่องวันนี้...""พระสนมวางใจได้" ฉยงหัวเป็นคนรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี ในเมื่อหวงกุ้ยเฟยเชื่อใจตนเอง ตนเองก็จะไม่ทำให้นางไม่สบายใจ "วันนี้ข้ามาเพื่อจับชีพจรให้พระสนมเพียงเท่านั้น"พูดจบก็ย่อคำนับและขอตัวจากไป "คนเราไม่ควรมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกจริง ๆ" จิ่นซินอดบ่นพึมพำไม่ได้ "ฮองเฮามองดูท่าทางเป็นมิตรเช่นนั้น ครอบครัวเดิมของนางก็มีมารยาทแบบนั้น มองดูแล้วก็ไม่เหมือนคนโลภมาก แต่ฮองเฮากลับทำเรื่องเช่นนี้ได้""ถ้าหากฝ่าบาทรู้ จะต้องกริ้วเ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสิ่นหนิงก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง "ช่วงหลายวันมานี้ หม่อมฉันได้รับผิดชอบเรื่องในวังหลัง กลับมีความรู้สึกหลายอย่างเพคะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ช่วงนี้ลืมถามเจ้าไปเลย ว่าจัดการเรื่องในวังหลังเป็นอย่างไรบ้าง? ปรับตัวได้หรือยัง?"ในใจของเสิ่นหนิงแอบบ่นอย่างเงียบ ๆ ท่านไม่ได้ลืมถามข้าหรอก ท่านนี่คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีข้าเป็นฮองเฮาอยู่กระมัง! มีฮ่องเต้คนไหนบ้างที่แต่งตั้งฮองเฮาแล้วไม่เคยโผล่หน้าไปที่ตำหนักของฮองเฮาสักครั้งเลยแต่ภายนอกเสิ่นหนิงกลับไม่แสดงออก เพียงยิ้มและประจบว่า "ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงเพคะ หวงกุ้ยเฟยจัดการเรื่องในวังหลังได้ดีมาก หม่อมฉันแค่รับช่วงต่อเท่านั้น ไม่มีอะไรยากลำบากเลยเพคะ"ตอนนี้อำนาจในการจัดการวังหลังทั้งหกอยู่ในมือของนางแล้ว นางจะยอมแบ่งให้คนอื่นได้อย่างไร"เพียงแต่มีเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันคิดไปคิดมา รู้สึกว่าอย่างไรก็ควรกราบทูลฝ่าบาท" หลังจากพูดคุยไปสักพัก ก็พาเข้าสู่ประเด็นหลักเสิ่นหนิงรู้สึกชัดเจนว่า พอพูดถึงพระสนมเต๋อเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตัวแข็งทื่อทันที แต่แสร้งทําเป็นใจเย็นว่า "เกิดอะไรขึ้น?
ไม่นานนัก อวิ๋นจูก็วิ่งกลับมาด้วยความตกใจหลังจากค้นหาอยู่นาน “พระสนม ตู้ใบนั้นวางเปล่าเพคะ”ว่างเปล่าหรือ?” เสิ่นหนิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าตนเองจะถูกจับตามองจริงเสียแล้ว ตู้ใบนั้นใส่ยาถอนพิษของตนเองไว้ ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะนำยาถอนพิษไปหมด ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตนเองเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของวันนี้ตอนนี้ก็ถึงยามเย็นแล้ว อีกไม่นานงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้นแวลายามระกา หากตอนนี้จะไปปรุงยา แล้วแช่ยาสมุนไพร แถมยังแต่งตัวอีก คงไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ อวิ๋นหลาน เจ้าไปกราบทูลฮ่องเต้ บอกว่าข้าเพิ่งกลับมาจากตำหนักหลงเซิง แล้วพักผ่อนไปเพียงครู่เดียว ก็เกิดผื่นขึ้นตามตัว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ ขอให้หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รับหน้าที่แทน”“อย่าได้ทูลว่าข้ามีไข้เด็ดขาด”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไร้สมอง ตรงกันข้าม เขาทรงมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง หากบังเอิญทรงตระหนักได้ว่าอาการของตัวเองคล้ายคลึงกับอาการของลู่ซิงหว่านในตอนนั้น...หากพบว่าอาการป่วยเหมือนกันทุกประการ แล้วตนเองจะทำเช่นไรดีอวิ๋นหลานถูกสายตาที่ดุดันของฮองเฮาทำให้ตกใจจนไม่ก
เดิมทีอวิ๋นหลานตั้งใจจะหลบเลี่ยงจิ่นอวี้ แต่กลับห้ามตัวเองไม่ให้พูดมากไม่ได้ “งานเลี้ยงในคืนนี้ เกรงว่าพระมเหสีคงจะเสด็จไปไม่ได้แล้ว”“เพราะเหตุใดหรือ?” จิ่นอวี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ แต่ในใจกลับชื่นชมสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของพระสนมนายของตนเอง พระสนมกล่าวว่า ตำหนักจิ่นซิ่วจะต้องส่งคนไปยังตำหนักหลงเซิง และเกรงว่าฮองเฮาคงไม่สามารถเสด็จร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ได้ จึงให้จิ่นอวี้มาสร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายตรงข้ามอวิ๋นหลานเพียงแค่ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “พระองค์ทรงไม่ค่อยสบาย”แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมิได้กล่าวความจริงจิ่นอวี้หาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ จึงเพียงพึมพำว่า “ได้กราบทูลเชิญหมอหลวงมาถวายการรักษาหรือยัง?”ไม่รอให้อวิ๋นหลานตอบ จิ่นอวี้ก็พูดต่อเองว่า “ลืมไปเสียสนิท พระมเหสีเองก็เป็นหมออยู่แล้ว! เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่องค์หญิงหย่งอันเกิดผื่นขึ้นและมีไข้สูง ก็เป็นเพราะพระองค์ที่ทรงปรุงยาให้จนหายดี!”“องค์หญิงหย่งอันก็เคยมีพระอาการไข้สูงและเผื่นขึ้นหรือ?” อวิ๋นหลานรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่นอวี้จิ่นอวี้ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติในคำพูดของอวิ๋นหลาน จึงรีบดึงแขนของนางไว้แล้วถามว่า “หรือ
“เช่นนั้นเหตุใดพระสนมจึงให้บ่าวจงใจพูดถึงเรื่องที่พระองค์หญิงของพวกเราเคยถูกวางยาพิษล่ะเพคะ...?”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า “เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ข้าก็แค่อยากให้นางรู้ว่าข้าเป็นคนวางยาพิษนี้ กล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องหวานหว่านน้อยของข้า นี่เป็นเพียงคำเตือนเท่านั้น”[ว้าว ท่านแม่ดีต่อหวานหว่านเหลือเกิน หวานหว่านซาบซึ้งยิ่งนัก หวานหว่านจะร้องไห้แล้ว][ท่านแม่เป็นคนเด็ดขาดแบบนี้เองหรือ? แบบนี้ถึงจะเหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในนิทาน ที่มีนิสัยต้องแก้แค้น][เป็นดังที่คิดไว้จริง ๆ เมื่อไม่มีเรื่องวุ่นวายในวังหลังมารบกวน ท่านแม่ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของข้าก็กลับมาแล้ว!]แต่เมื่ออวิ๋นหลานมาถึงตำหนักหลงเซิง พอดีกับที่ฮ่องเต้ต้าฉู่เสด็จออกมา จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและถวายบังคมว่า “ขอถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นว่าเป็นนางกำนัลของตำหนักจิ่นซิ่ว ก็ทรงถามพลางเสด็จดำเนินต่อไปว่า “มีเรื่องอันใดหรือ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ตั้งใจจะเสด็จไปยังตำหนักหรงเล่อ เขาเดินอย่างรวดเร็ว อวิ๋นหลานจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ตามหลัง “กราบทูลฝ่าบาท พระมเหสีเมื่อเสด็จกลับตำหนักก็ทรงมีอาการไม่สบาย ร่างกายถึงกับผื่นขึ้น จึงรับสั่ง
อวิ๋นหลานรีบส่ายหัว “ขอพระมเหสีโปรดทรงพิจารณาด้วย บ่าวไม่ได้บอกอะไรเลย บ่าวเพียงกล่าวว่าพระสนมทรงทรงเหนื่อยล้าในช่วงนี้ แค่ทรงอ่อนเพลียเท่านั้นเอง”กล่าวจบ อวิ๋นหลานก็มองไปทางฮองเฮาด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ไม่เอ่ยวาจาใดเสิ่นหนิงแกล้งทำเป็นกริ้ว แล้วกล่าวกับอวิ๋นจูว่า “ต่อไปในภายหน้า เมื่อใดที่เข้าใจชัดเจนแล้วจึงค่อยพูด พวกเจ้าเป็นผู้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดข้า จะมาบาดหมางกันไม่ได้เด็ดขาด”อวิ๋นจูได้แต่ตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ”“เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดเอง” เสิ่นหนิงจึงกล่าวพลางมองไปที่อวิ๋นหลาน “ครั้งนี้เจ้าทำหน้าที่ได้ดี ไปเตรียมตัวแล้วไปต้มยาให้ข้าเถิด”พูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้อวิ๋นจูยื่นยาที่ถืออยู่ในมือส่งให้อวิ๋นหลานเมื่อเห็นว่าฮองเฮาตำหนิอวิ๋นจูเพื่อปกป้องตนเอง อวิ๋นหลานก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ในขณะที่ก้าวออกจากห้องในก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยรออวิ๋นหลานออกจากห้องในไปแล้ว เสิ่นหนิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ซ่งชิงเหยียนใช้ปากของอวิ๋นหลานมาเตือนข้า”อวิ๋นจูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพระสนมต้องระมัดระวังในการกระทำเรื่องใด ๆ ในภายภาคหน้าให้มากขึ้นเพคะ”“ใช่” เสิ่นหนิงเสิ่นหนิงไปที่อื่น “ต้องระวังตำหนั
ซ่งชิงเหยียนมีฝีมือในการต่อสู้ไม่น้อย ย่อมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น แต่นางมิได้ใส่ใจนัก จึงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ[ใช้งานความงามรับใช้ผู้คนหรือ? ถ้าเจ้าแน่จริง ก็แสดงความงามออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ!][นี่แหละที่ในนิทานที่ว่า “รังเกียจองุ่นเปรี้ยวเพราะตนไม่มีกิน” เฮ้อ อยากกินองุ่นสักลูกจัง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นองุ่นในต้าฉู่เลย เลย สงสัยตอนนี้องุ่นยังเป็นของหายากอยู่หรือเปล่า??]ลู่ซิงหว่านเองก็ไม่ทันสังเกตว่า ดูเหมือนว่านางจะตื่นรู้พลังวิญญาณบางอย่างโดยไม่รู้ตัว นางไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ ติดตัว แต่กลับสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลเช่นนี้ได้ทางด้านเหวินเฟยและพระสนมหลานเฟยก็เสด็จมาหาซ่งชิงเหยียน ซ่งชิงเหยียนก็รีบลุกขึ้น “พี่หญิงทั้งสองมาแต่เช้าจริง ๆ เพคะ”พระสนมหลานเฟยอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อว่า “น้องหญิงเหวินรีบมาแต่เช้า ร้อนใจอยากจะมาเจอพี่ชายของตนเองเหลือเกิน!”ซ่งชิงเหยียนมองไปทางพระสนมเหวินเฟย นางได้เปลี่ยนจากชุดยามเช้าออก เหลือเพียงชุดในวังของเหล่าพระสนมแคว้นต้าฉู่เท่านั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ เสียงของเมิ่งฉวนเต๋อก็ดังขึ้น“ฮ่อง
“รองแม่ทัพซ่ง ไม่เจอกันนานเลย”ฟู่เหยายืนขึ้น และเคารพซ่งชิงเหยียนตามความเคยชินจากในค่ายทหารเหมือนเมื่อก่อน ทว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินกลับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนอย่างฉงนรองแม่ทัพซ่ง คือยศทหารในอดีตของชิงเหยียน ตอนนั้นนางถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ และยังส่งจดหมายมาหาชิงหย่าด้วยความปิติยินดี บอกว่าภายภาคหน้าตนจะสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นและปกป้องแคว้นต้าฉู่พระชายาอี้ซวนอ๋องเรียกชิงเหยียนว่ารองแม่ทัพซ่ง น่าจะเป็นคนรู้จักในค่ายทหารของนางเมื่อก่อนซ่งชิงเหยียนเพียงยืนขึ้นพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนทักทายกลับฟู่เหยา “ผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ไม่เจอกันนานจริงๆ นั่นแหล่ะ”ก่อนหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ กล่าวอธิบาย “เมื่อก่อนตอนที่หม่อมฉันอยู่ในค่ายทหาร เคยได้ประมือกับผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ซึ่งนับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”ฟู่เหยาหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่เช่นเดียวกัน “รองแม่ทัพซ่ง ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหวงกุ้ยเฟยแล้ว วรยุทธ์ของหวงกุ้ยเฟยนั้นดีกว่าข้าไปหลายโข ข้าแทบพ่ายอยู่ใต้ฝ่ามือนางร่ำไป ฝ่าบาทช่างโชคดีจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินรอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้า “พระชายาอี้ซวนอ๋องมิต้องฝืนหรอก หากเจ้าชินเรียกยศทหารของชิงเหยีย