เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็หันมามองเหมยอิ่งอีกครั้ง "ยานี้เจ้าเอามาหมดแล้วใช่ไหม?"เหมยอิ่งส่ายหัว "คุณหนูส่ายหัว ข้าน้อยหยิบมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตำหนักของนางยังมีอยู่อีกมาก" ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองที่เหมยอิ่งอีกครั้ง "ไปตรวจดูอาการปวดศีรษะของฝ่าบาท ว่าเกี่ยวข้องกับนางหรือไม่"พูดจบก็กำชับอีกว่า "ต้องระมัดระวัง อย่าให้ฝ่าบาททรงจับได้"เหมยอิ่งและจวี๋อิ่งรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป ฉยงหัวกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ตั้งเองครั้นจะไปก็ไม่ใช่ ครั้นจะอยู่ก็ไม่ดีโชคดีที่หวงกุ้ยเฟยยังไม่ลืมตัวเอง "เรื่องวันนี้...""พระสนมวางใจได้" ฉยงหัวเป็นคนรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี ในเมื่อหวงกุ้ยเฟยเชื่อใจตนเอง ตนเองก็จะไม่ทำให้นางไม่สบายใจ "วันนี้ข้ามาเพื่อจับชีพจรให้พระสนมเพียงเท่านั้น"พูดจบก็ย่อคำนับและขอตัวจากไป "คนเราไม่ควรมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกจริง ๆ" จิ่นซินอดบ่นพึมพำไม่ได้ "ฮองเฮามองดูท่าทางเป็นมิตรเช่นนั้น ครอบครัวเดิมของนางก็มีมารยาทแบบนั้น มองดูแล้วก็ไม่เหมือนคนโลภมาก แต่ฮองเฮากลับทำเรื่องเช่นนี้ได้""ถ้าหากฝ่าบาทรู้ จะต้องกริ้วเ
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เสิ่นหนิงก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง "ช่วงหลายวันมานี้ หม่อมฉันได้รับผิดชอบเรื่องในวังหลัง กลับมีความรู้สึกหลายอย่างเพคะ"ฮ่องเต้ต้าฉู่ถามขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ช่วงนี้ลืมถามเจ้าไปเลย ว่าจัดการเรื่องในวังหลังเป็นอย่างไรบ้าง? ปรับตัวได้หรือยัง?"ในใจของเสิ่นหนิงแอบบ่นอย่างเงียบ ๆ ท่านไม่ได้ลืมถามข้าหรอก ท่านนี่คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีข้าเป็นฮองเฮาอยู่กระมัง! มีฮ่องเต้คนไหนบ้างที่แต่งตั้งฮองเฮาแล้วไม่เคยโผล่หน้าไปที่ตำหนักของฮองเฮาสักครั้งเลยแต่ภายนอกเสิ่นหนิงกลับไม่แสดงออก เพียงยิ้มและประจบว่า "ฝ่าบาทไม่ต้องห่วงเพคะ หวงกุ้ยเฟยจัดการเรื่องในวังหลังได้ดีมาก หม่อมฉันแค่รับช่วงต่อเท่านั้น ไม่มีอะไรยากลำบากเลยเพคะ"ตอนนี้อำนาจในการจัดการวังหลังทั้งหกอยู่ในมือของนางแล้ว นางจะยอมแบ่งให้คนอื่นได้อย่างไร"เพียงแต่มีเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพระสนมเต๋อเฟย หม่อมฉันคิดไปคิดมา รู้สึกว่าอย่างไรก็ควรกราบทูลฝ่าบาท" หลังจากพูดคุยไปสักพัก ก็พาเข้าสู่ประเด็นหลักเสิ่นหนิงรู้สึกชัดเจนว่า พอพูดถึงพระสนมเต๋อเฟย ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตัวแข็งทื่อทันที แต่แสร้งทําเป็นใจเย็นว่า "เกิดอะไรขึ้น?
ไม่นานนัก อวิ๋นจูก็วิ่งกลับมาด้วยความตกใจหลังจากค้นหาอยู่นาน “พระสนม ตู้ใบนั้นวางเปล่าเพคะ”ว่างเปล่าหรือ?” เสิ่นหนิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าตนเองจะถูกจับตามองจริงเสียแล้ว ตู้ใบนั้นใส่ยาถอนพิษของตนเองไว้ ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะนำยาถอนพิษไปหมด ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตนเองเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของวันนี้ตอนนี้ก็ถึงยามเย็นแล้ว อีกไม่นานงานเลี้ยงในวังจะเริ่มขึ้นแวลายามระกา หากตอนนี้จะไปปรุงยา แล้วแช่ยาสมุนไพร แถมยังแต่งตัวอีก คงไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ อวิ๋นหลาน เจ้าไปกราบทูลฮ่องเต้ บอกว่าข้าเพิ่งกลับมาจากตำหนักหลงเซิง แล้วพักผ่อนไปเพียงครู่เดียว ก็เกิดผื่นขึ้นตามตัว เกรงว่าข้าคงไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ ขอให้หวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รับหน้าที่แทน”“อย่าได้ทูลว่าข้ามีไข้เด็ดขาด”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไร้สมอง ตรงกันข้าม เขาทรงมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง หากบังเอิญทรงตระหนักได้ว่าอาการของตัวเองคล้ายคลึงกับอาการของลู่ซิงหว่านในตอนนั้น...หากพบว่าอาการป่วยเหมือนกันทุกประการ แล้วตนเองจะทำเช่นไรดีอวิ๋นหลานถูกสายตาที่ดุดันของฮองเฮาทำให้ตกใจจนไม่ก
เดิมทีอวิ๋นหลานตั้งใจจะหลบเลี่ยงจิ่นอวี้ แต่กลับห้ามตัวเองไม่ให้พูดมากไม่ได้ “งานเลี้ยงในคืนนี้ เกรงว่าพระมเหสีคงจะเสด็จไปไม่ได้แล้ว”“เพราะเหตุใดหรือ?” จิ่นอวี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ แต่ในใจกลับชื่นชมสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของพระสนมนายของตนเอง พระสนมกล่าวว่า ตำหนักจิ่นซิ่วจะต้องส่งคนไปยังตำหนักหลงเซิง และเกรงว่าฮองเฮาคงไม่สามารถเสด็จร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ได้ จึงให้จิ่นอวี้มาสร้างความยุ่งยากให้กับฝ่ายตรงข้ามอวิ๋นหลานเพียงแค่ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “พระองค์ทรงไม่ค่อยสบาย”แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมิได้กล่าวความจริงจิ่นอวี้หาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ จึงเพียงพึมพำว่า “ได้กราบทูลเชิญหมอหลวงมาถวายการรักษาหรือยัง?”ไม่รอให้อวิ๋นหลานตอบ จิ่นอวี้ก็พูดต่อเองว่า “ลืมไปเสียสนิท พระมเหสีเองก็เป็นหมออยู่แล้ว! เมื่อนึกถึงครั้งก่อนที่องค์หญิงหย่งอันเกิดผื่นขึ้นและมีไข้สูง ก็เป็นเพราะพระองค์ที่ทรงปรุงยาให้จนหายดี!”“องค์หญิงหย่งอันก็เคยมีพระอาการไข้สูงและเผื่นขึ้นหรือ?” อวิ๋นหลานรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่นอวี้จิ่นอวี้ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติในคำพูดของอวิ๋นหลาน จึงรีบดึงแขนของนางไว้แล้วถามว่า “หรือ
“เช่นนั้นเหตุใดพระสนมจึงให้บ่าวจงใจพูดถึงเรื่องที่พระองค์หญิงของพวกเราเคยถูกวางยาพิษล่ะเพคะ...?”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า “เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ข้าก็แค่อยากให้นางรู้ว่าข้าเป็นคนวางยาพิษนี้ กล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องหวานหว่านน้อยของข้า นี่เป็นเพียงคำเตือนเท่านั้น”[ว้าว ท่านแม่ดีต่อหวานหว่านเหลือเกิน หวานหว่านซาบซึ้งยิ่งนัก หวานหว่านจะร้องไห้แล้ว][ท่านแม่เป็นคนเด็ดขาดแบบนี้เองหรือ? แบบนี้ถึงจะเหมือนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยในนิทาน ที่มีนิสัยต้องแก้แค้น][เป็นดังที่คิดไว้จริง ๆ เมื่อไม่มีเรื่องวุ่นวายในวังหลังมารบกวน ท่านแม่ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาของข้าก็กลับมาแล้ว!]แต่เมื่ออวิ๋นหลานมาถึงตำหนักหลงเซิง พอดีกับที่ฮ่องเต้ต้าฉู่เสด็จออกมา จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและถวายบังคมว่า “ขอถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นว่าเป็นนางกำนัลของตำหนักจิ่นซิ่ว ก็ทรงถามพลางเสด็จดำเนินต่อไปว่า “มีเรื่องอันใดหรือ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ตั้งใจจะเสด็จไปยังตำหนักหรงเล่อ เขาเดินอย่างรวดเร็ว อวิ๋นหลานจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ตามหลัง “กราบทูลฝ่าบาท พระมเหสีเมื่อเสด็จกลับตำหนักก็ทรงมีอาการไม่สบาย ร่างกายถึงกับผื่นขึ้น จึงรับสั่ง
อวิ๋นหลานรีบส่ายหัว “ขอพระมเหสีโปรดทรงพิจารณาด้วย บ่าวไม่ได้บอกอะไรเลย บ่าวเพียงกล่าวว่าพระสนมทรงทรงเหนื่อยล้าในช่วงนี้ แค่ทรงอ่อนเพลียเท่านั้นเอง”กล่าวจบ อวิ๋นหลานก็มองไปทางฮองเฮาด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ไม่เอ่ยวาจาใดเสิ่นหนิงแกล้งทำเป็นกริ้ว แล้วกล่าวกับอวิ๋นจูว่า “ต่อไปในภายหน้า เมื่อใดที่เข้าใจชัดเจนแล้วจึงค่อยพูด พวกเจ้าเป็นผู้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดข้า จะมาบาดหมางกันไม่ได้เด็ดขาด”อวิ๋นจูได้แต่ตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ”“เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดเอง” เสิ่นหนิงจึงกล่าวพลางมองไปที่อวิ๋นหลาน “ครั้งนี้เจ้าทำหน้าที่ได้ดี ไปเตรียมตัวแล้วไปต้มยาให้ข้าเถิด”พูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้อวิ๋นจูยื่นยาที่ถืออยู่ในมือส่งให้อวิ๋นหลานเมื่อเห็นว่าฮองเฮาตำหนิอวิ๋นจูเพื่อปกป้องตนเอง อวิ๋นหลานก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ในขณะที่ก้าวออกจากห้องในก็รู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยรออวิ๋นหลานออกจากห้องในไปแล้ว เสิ่นหนิงจึงกล่าวขึ้นว่า “ซ่งชิงเหยียนใช้ปากของอวิ๋นหลานมาเตือนข้า”อวิ๋นจูพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพระสนมต้องระมัดระวังในการกระทำเรื่องใด ๆ ในภายภาคหน้าให้มากขึ้นเพคะ”“ใช่” เสิ่นหนิงเสิ่นหนิงไปที่อื่น “ต้องระวังตำหนั
ซ่งชิงเหยียนมีฝีมือในการต่อสู้ไม่น้อย ย่อมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น แต่นางมิได้ใส่ใจนัก จึงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้นแต่ลู่ซิงหว่านกลับไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ[ใช้งานความงามรับใช้ผู้คนหรือ? ถ้าเจ้าแน่จริง ก็แสดงความงามออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ!][นี่แหละที่ในนิทานที่ว่า “รังเกียจองุ่นเปรี้ยวเพราะตนไม่มีกิน” เฮ้อ อยากกินองุ่นสักลูกจัง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นองุ่นในต้าฉู่เลย เลย สงสัยตอนนี้องุ่นยังเป็นของหายากอยู่หรือเปล่า??]ลู่ซิงหว่านเองก็ไม่ทันสังเกตว่า ดูเหมือนว่านางจะตื่นรู้พลังวิญญาณบางอย่างโดยไม่รู้ตัว นางไม่มีวรยุทธ์ใด ๆ ติดตัว แต่กลับสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลเช่นนี้ได้ทางด้านเหวินเฟยและพระสนมหลานเฟยก็เสด็จมาหาซ่งชิงเหยียน ซ่งชิงเหยียนก็รีบลุกขึ้น “พี่หญิงทั้งสองมาแต่เช้าจริง ๆ เพคะ”พระสนมหลานเฟยอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อว่า “น้องหญิงเหวินรีบมาแต่เช้า ร้อนใจอยากจะมาเจอพี่ชายของตนเองเหลือเกิน!”ซ่งชิงเหยียนมองไปทางพระสนมเหวินเฟย นางได้เปลี่ยนจากชุดยามเช้าออก เหลือเพียงชุดในวังของเหล่าพระสนมแคว้นต้าฉู่เท่านั้นขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ เสียงของเมิ่งฉวนเต๋อก็ดังขึ้น“ฮ่อง
“รองแม่ทัพซ่ง ไม่เจอกันนานเลย”ฟู่เหยายืนขึ้น และเคารพซ่งชิงเหยียนตามความเคยชินจากในค่ายทหารเหมือนเมื่อก่อน ทว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินกลับมองไปที่ซ่งชิงเหยียนอย่างฉงนรองแม่ทัพซ่ง คือยศทหารในอดีตของชิงเหยียน ตอนนั้นนางถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ และยังส่งจดหมายมาหาชิงหย่าด้วยความปิติยินดี บอกว่าภายภาคหน้าตนจะสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นและปกป้องแคว้นต้าฉู่พระชายาอี้ซวนอ๋องเรียกชิงเหยียนว่ารองแม่ทัพซ่ง น่าจะเป็นคนรู้จักในค่ายทหารของนางเมื่อก่อนซ่งชิงเหยียนเพียงยืนขึ้นพร้อมยิ้มแย้ม ก่อนทักทายกลับฟู่เหยา “ผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ไม่เจอกันนานจริงๆ นั่นแหล่ะ”ก่อนหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่ กล่าวอธิบาย “เมื่อก่อนตอนที่หม่อมฉันอยู่ในค่ายทหาร เคยได้ประมือกับผู้พิทักษ์ทัพฟู่ ซึ่งนับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”ฟู่เหยาหันไปมองฮ่องเต้ต้าฉู่เช่นเดียวกัน “รองแม่ทัพซ่ง ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าหวงกุ้ยเฟยแล้ว วรยุทธ์ของหวงกุ้ยเฟยนั้นดีกว่าข้าไปหลายโข ข้าแทบพ่ายอยู่ใต้ฝ่ามือนางร่ำไป ฝ่าบาทช่างโชคดีจริงๆ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินรอยยิ้มก็ประดับอยู่บนใบหน้า “พระชายาอี้ซวนอ๋องมิต้องฝืนหรอก หากเจ้าชินเรียกยศทหารของชิงเหยีย
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ