อาหารเที่ยงของวันนี้ แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ไปเสวยอาหารที่ตำหนักชิงอวิ๋นเสร็จแล้วถึงค่อยกลับไปที่ตำหนักหลงเซิงดังนั้นหลังจากพักเที่ยงแล้ว องค์รัชทายาทถึงทรงมีเวลามาที่ตำหนักชิงอวิ๋น "เดิมทีคิดว่าหลังเลิกจากราชสำนักตอนเช้าแล้วก็มา ได้ยินคนข้างกายเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อเสด็จมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว หลังจากช่วงบ่ายถึงจะมา"ในคำพูดขององค์รัชทายาท ไม่ได้กล่าวถึงคําแสดงความยินดีสองคำเลย แน่นอนว่าซ่งชิงเหยียนย่อมรู้ดีว่าหลานชายของตัวเองคนนี้ รู้สึกผิดเล็กน้อยต่อนางเพราะเรื่องหลังการแต่งตั้งฮองเฮาจิ่นอวี้เป็นคนอ่านสีหน้าคนออกมาโดยตลอด จึงรีบอธิบายว่า "บัดนี้ทางตำหนักทั้งหมดยังบอกว่าฝ่าบาทสงสารพระสนม"องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจิ่นอวี้ด้วยความประหลาดใจ"เนื่องจากพระสนมไม่อยากดูแลเรื่องวังหลังทั้งหก จึงแต่งตั้งให้พระสนมหนิงเฟยเป็นฮองเฮา ให้นางดูแลจัดการเรื่องวังหลังทั้งหก""อีกทั้งกลัวว่าจะไม่เป็นธรรมต่อพระสนมของเรา จึงแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย ฝ่าบาทบอกแล้วว่า เป็นตำแหน่งเหมือนรองฮองเฮา ตำแหน่งเท่าเทียมกับฮองเฮา"องค์รัชทายาททรงเหม่อลอยตลอดเวลา กลับไม่ได้ฟังพระราชโองการนี้อย
แล้วหันไปทางองค์รัชทายาท “เสร็ดจพี่มีเวลาว่างหรือไม่? วันนี้เสด็จป้าก็พ้นจากงานที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นแล้ว สมควรที่จะเฉลิมฉลองเสียหน่อยนะเพคะ!”องค์รัชทายาทก็ยิ้มเล็กน้อย “นั่นย่อมดีแน่นอน”ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ จิ่นซินก็เข้ามากราบทูลว่า พระสนมหลานเฟยกับองค์ชายรอง และพระสนมเหวินเฟยพร้อมด้วยองค์ชายสี่ ได้เสด็จมาแล้วเพคะองค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นและเดินออกไป “พระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยเสด็จมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ เราเพิ่งพูดกันว่าคืนนี้จะเสวยพระกระยาหารค่ำที่ตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ!”แล้วยังหันไปทางพระสนมเหวินเฟยอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ “กระหม่อมไม่ได้พบพระสนมเหวินเฟยเสียนานแล้ว พระสนมเหวินเฟยยังคงงดงามเช่นเดียวกับเมื่อสิบปีก่อนเลยเพคะ!”“ซิงรั่วเด็กคนนี้มักจะช่างพูดช่างจาเสมอ” พระสนมเหวินเฟยพูดพร้อมกับจูงมือนางเดินเข้าไปด้านใน แล้วถามด้วยความห่วงใยว่า “บัดนี้พระครรภ์ในท้องของเจ้าว่านอนสอนง่ายดีหรือไม่?”เมื่อกล่าวถึงพระครรภ์ องค์หญิงใหญ่ก็ทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน “พระสนมเหวินเฟย บัดนี้พระครรภ์ของกระหม่อมเพิ่งจะได้ไม่ถึงห้าเดือนเองเพคะ!”“จริงด้วยๆ” พระสนมเหวินเฟย ทรงแสร้งทำเป็นตบศีรษะข
ในค่ำคืนที่ตำหนักชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความคึกคัก ตำหนักจิ่นซิ่วกลับเงียบสงัดจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาช่วงบ่ายฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ส่งช่างมาเปลี่ยนชื่อพระตำหนัก แต่ตลอดทั้งวันกลับมิได้เสด็จมาปรากฏตัวที่ตำหนักจิ่นซิ่วเลยอวิ๋นจูขณะที่กำลังรับใช้เสิ่นหนิงล้างหน้าไปด้วย ก็พึมพำไปด้วยว่า “ฮ่องเต้ทรงลำเอียงเกินไปแล้ว ถึงแม้จะทรงแต่งตั้งพระสนมเป็นฮองเฮา แต่เหตุใดจึงไม่แม้แต่จะปรากฏตัวเลยเช่นนี้ จะไม่กลายเป็นการทำให้พระสนมถูกหัวเราะเยาะอย่างไร้เหตุผลหรือเพคะ?”เสิ่นหนิงฟังเสียงบ่นพึมพำของนาง โดยไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงครุ่นคิดถึงคำพูดของหยุนหลานในช่วงกลางวัน แล้วจึงถามขึ้นอย่างลองเชิงว่า “เรื่องที่ให้เจ้าจัดการเมื่อกลางวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”อวิ๋นจูกลับไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของฮองเฮา “พระสนมไม่ต้องกังวลเพคะ ข้าน้อยได้บอกกับท่านอ๋องอี้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีกสองวันคงจะมีข่าวมาถึงเพคะ”เมื่อเห็นอวิ๋นจูพูดถึงบุคคลนั้นแล้วมีสีหน้าแดงระเรื่อ เสิ่นหนิงก็ทรงแสดงแววตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมขึ้นมาเพียงชั่วครู“อวิ๋นจู เจ้าไปรู้จักกับท่านอ๋องอี้ได้อย่างไร?”เมื่อเห็นว่า
ซ่งชิงเหยียนได้ยินเช่นนี้ ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หวานหว่านเด็กดี แม้เสด็จแม่เจ้าจะเป็นคนธรรมดา ก็สามารถได้ยินเสียงในใจของเจ้าได้ และเสียงในใจของเจ้า ได้ช่วยเสด็จแม่เจ้าและเสด็จพ่อเจ้า รวมถึงพี่ชายใหญ่หลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้จิ่นอวี้เริ่มเก็บกวาด “ความยุ่งเหยิง”ที่ลู่ซิงหว่านก่อไว้ซ่งชิงเหยียนยิ้มอย่างเก้อเขิน “เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ ไทเฮาอย่าได้ถือสาเลย”ทว่าไทเฮากลับทำเพียงโบกมือ “ข้าดูแล้วหย่งอันเป็นเด็กโชคดีคนหนึ่ง ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่เหมือนองค์หญิงน้อยที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเหล่านั้น ”ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ นางข้าหลวงที่อยู่ข้างนอกก็เข้ามา “ทูลไทเฮา ฮูหยินเสิ่น พระมารดาของฮองเฮามาทักทายพระองค์พะย่ะค่ะ”ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมา พรุ่งนี้เป็นวันพิธีแต่งตั้งครั้งใหญ่ มารดาของฮองเฮาเข้าวังมาวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร ซ่งชิงเหยียนเห็นเช่นนี้จึงหยัดกายลุกขึ้นจะทูลลา แต่กลับถูกไทเฮาพูดสะกัดไว้ “เจ้านั่งอยู่ที่นี่แหล่ะ ไม่ใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้เสียหน่อย”ก่อนสั่งนางข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างให้เชิญฮูหยินเสิ่นคนนั้นเข้ามา ส่วนตนก็ไปห้องโถงด้านข้างโดยมีแม่นมข้างกายคอยป
ทั้งสองเร้นกายไปจากตำหนักหรงเล่อพร้อมกัน ก่อนซ่งชิงเหยียนกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินเสิ่น มิสู้ให้นางข้าหลวงข้างกายข้าผู้นี้นำทางให้ท่านดีหรือไม่?”ฮูหยินเสิ่นเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยเช่นนี้ ก็คิดอยากจะสนทนาด้วยสักเล็กน้อย บุตรสาวตนถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาข้ามหัวพระสนมหวงกุ้ยเฟย หากพระสนมหวงกุ้ยเฟยถือสาเรื่องนี้จริง จะหารือเรื่องหนิงเอ๋อร์อยู่วังในอนาคตอย่างไรดี แม้คนในเมืองหลวงต่างรู้นิสัยเมื่อก่อนของพระสนมหวงกุ้ยเฟยกันทั่ว ทว่าเข้าวังมาตั้งหลายปี ใครจะรู้ว่านางเปลี่ยนไปหรือไม่?ดีที่ตนนั้นอายุมาก เห็นผู้คนมามากมาย อย่างไรก็ต้องลองแทนบุตรสาวตัวเองสักตั้งจึงเปิดปากกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินชื่อเสียงพระสนมหวงกุ้ยเฟยมานาน วันนี้ได้เห็น สมกับคำล่ำลือจริงๆ ไม่รู้ว่าหม่อมฉันจะมีโอกาสได้ดื่มชาของพระสนมสักจอกหรือไม่”ในคำพูดล้วนเปี่ยมไปด้วยความถ่อมตนซ่งชิงเหยียนรู้ ฮูหยินเสิ่นผู้นี้คงมีเรื่องจะคุยกับตน จึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ย่อมได้”หลังจากเข้าไปในตำหนักชิงอวิ๋นและทักทายกันไปไม่กี่ประโยค ฮูหยินเสิ่นก็เริ่มเข้าประเด็นหลัก “พระสนม เสิ่นหนิงเข้าวังมาได้ไม่นาน กลับคาดไม่ถึงว่าจะข้ามหน้าข้ามตาพระสนมไป หม่อ
พระสนมหวงกุ้ยเฟยเองมิอาจพูดอย่างอื่นได้ ทำได้เพียงตอบรับ “ฮูหยินเสิ่นวางใจ ขอเพียงฮองเฮาต้องการ หม่อมฉันก็ยินดีช่วยเหลือ”คอยกระทั่งฮูหยินเสิ่นเร้นกายออกจากตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว จิ่นซินก็พรวดพราดพุ่งตัวไปเบื้องหน้าซ่งชิงเหยียนอย่างรวดเร็ว “พระสนม เมื่อครู่ตอนที่ฮูหยินเสิ่นว่าจะขอให้พระสนมช่วยเหลือฮองเฮา องค์หญิงหย่งอันเบะปากราวกับเข้าใจในคำพูดของเรา ไม่ได้เชื่อในวาจาของฮูหยินเสิ่นนั่นสักนิดเพคะ!” “องค์หญิงหย่งอันช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเข้าใจในสิ่งที่เราคุยกันแล้ว!” “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” น้ำเสียงของซ่งชิงเหยียนเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “หวานหว่านเราเฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”ทว่าทางฝั่งตำหนักจิ่นซิ่ว เสิ่นหนิงทราบเรื่องที่มารดาจะเข้าวังมาวันนี้ตั้งนานแล้ว กระนั้นกลับมิได้คาดหวังมากมายแต่อย่างใดแต่เป็นอวิ๋นหลานเสียเองที่ทนตำหนิในใจไม่ไหว หรือความสัมพันธ์ระหว่างพระสนมของตนกับฮูหยินเสิ่นท่าไม่ดีนัก? แต่ได้ยินข่าวลือมาว่าฮองเฮาคือบุตรสาวหนึ่งเดียวของฮูหยินเสิ่น แล้วไฉนมารดากับลูกสาวจะเข้ากันไม่ได้เล่า?กระนั้นก็มิได้แสดงสีหน้าอะไร แค่ยามมารอฮูหยินเสิ่นที่นอกตำหนักห
การพบกับครั้งนี้ของฮูหยินเสิ่นและฮองเฮา พูดได้แค่ว่าไม่มีกระดากอายเท่านั้นนี่ยิ่งทำให้ฮูหยินเสิ่นมั่นใจว่า บุตรสาวของตนคนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใกล้ชิดกับตนอีกต่อไปแล้วช่างเถิด อย่างไรเสียตอนนี้ชีวิตลูกสาวก็มีชีวิตที่ดีแล้ว ส่วนตนก็ได้เห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยแล้ว เป็นคนเรียบง่ายสง่างามเหมือนเคยจริงๆ จึงได้วางใจลงในที่สุดฮูหยินเสิ่นเร้นออกจากพรบรมมหาราชวังด้วยความผิดหวังนิดหน่อยมีจิ่นซินอยู่ด้วย ข่าวคราวนี้ย่อมไปถึงตำหนักชิงอวิ๋น “ได้ยินขันทีหนุ่มตรงหน้าประตูตำหนักพูดว่า ยามฮูหยินเสิ่นเข้าวังนั้นดูยินดีปรีดา ทว่ายามขึ้นรถม้ากลับจวน แม้นพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็มิอาจปิดบังความผิดหวังบนใบหน้าได้” [เสด็จแม่ ข้าพูดถูกไหม! พระสนมหนิงเฟยต่างไปจากก่อนหน้าจริงๆ] [ที่ยามนี้มารดาของนางผิดหวัง ก็มิใช่เพราะข้าตกต่ำหรอกหรือ? ตัวข้าในตอนนั้นก็เสียใจกับการเปลี่ยนแปลงของนางเช่นกัน!] [ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรก็เปลี่ยนคำเรียกไม่ได้จริงๆ]ซ่งชิงเหยียนได้ยินดังว่าก็แค่พยักหน้ารับ มิได้เอ่ยปากอันใดวันที่สอง พิธีแต่งตั้งฮองเฮาเนื่องจากเป็นผู้สืบทอด พิธีแต่งตั้งย่อมเรียบง
[โชคดีที่วันนี้ท่านแม่พาข้ามาเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งนี้ด้วย แม้แต่รุ่นหลังก็ยังสง่างามเช่นนี้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ในเวลานั้นเสด็จป้าจะงดงามมากแค่ไหน][ฝ่าบาทรัชทายาทมีชีวิตชีวา แต่งงานกับบุตรสาวของท่านโหวที่ทุกคนยกย่องในเมืองหลวง เป็นคําพูดที่ดีแค่ไหน มิน่าล่ะเสด็จพ่อถึงรักเสด็จป้ามากเหลือเกิน หากเป็นคนอื่นก็ปล่อยวางไม่ได้เช่นกันหนา!][ส่วนท่านแม่ก็เลิกคิดไปได้เลย วันหลังท่านก็ดูแลชีวิตของหว่านหว่านน้อยของท่านให้ดีก็พอแล้ว]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่านก็อดที่จะเกิดความเศร้าโศกในเล็กน้อยไม่ได้ พี่สาวของตนเอง คนดีเช่นนั้นกลับต้องมาตายในมือพระสนมเต๋อเฟย ถ้าหากว่าท่านพี่ยังอยู่ วันนี้จะเป็นวันดีแค่ไหน ลูกชายทั้งมีความสามารถและกตัญญู บัดนี้ได้นั่งบัลลังก์รัชทายาทอย่างมั่นคงแล้ว ลูกสาวก็ตามพบคนที่รัก แม้กระทั่งตอนนี้หลานชายคนเล็กก็กําลังจะคลอดแล้วแน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ยอมปล่อยวางลงไม่ได้ ทุกๆ ประโยคของลู่ซิงหว่านช่างทิ่มแทงหัวใจของเขายิ่งนัก เขามอบงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับชิงหย่าจริงๆ และมอบพิธีแต่งตั้งฮองเฮาที่ยิ่งใหญ่ให้กับนาง แต่ทว่าในที่สุดนางก็ไม่สามารถอยู่
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ
ถึงอย่างไรก็เป็นพระชายาของพี่ชายองค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกทั้งหานซีเยว่ดีต่อนางมากจริงๆ การเข้าวังครั้งนี้ ยังนําของเล่นพื้นบ้านมาให้นางไม่น้อยเลย[คนดีๆแบบนี้ต้องไม่ตายแน่]คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านถึงกับขอบตาแดงก่ำ[ในนิยาย หานซีเยว่ตายเพื่อพี่รัชทายาท คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องจะมีตัวแปรมากมายขนาดนี้ แต่โชคชะตาของพี่หญิงตระกูลหานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง!][พี่ฉยงหัวต้องรักษาได้แน่ๆ ]ซ่งชิงเหยียนจึงหันไปมองลู่ซิงหว่านที่ดวงตาแดงก่ำ กอดนางไว้ในอ้อมแขนและตบนางเบาๆ “หวานหว่านไม่ต้องกังวล พี่หญิงหานของเจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”“ฝ่าบาทเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ในขณะที่สองแม่ลูกกําลังเสียใจเพราะหานซีเยว่ เสียงของเมิ่งเฉวียนเต๋อก็ดังขึ้นจากข้างนอก“พระมเหสีเสด็จ” ทันทีที่เมิ่งเฉวียนเต๋อพูดจบ ก็มีเสียงของขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นซ่งชิงเหยียนปล่อยลู่ซิงหว่านแล้วจูบนาง “หวานหว่านอยู่ดีๆ นะ แม่จะไปพบเสด็จพ่อดีไหม”ลู่ซิงหว่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น แต่ไม่สนใจซ่งชิงเหยียนอีก เพียงมองไปทางหานซีเยว่เมื่อซ่งชิงเหยียนปรากฏตัวที่นอกประตู ทุกคนต่างก็ตกตะลึงแต่โชคร้า
“พี่ไป๋หลิง ตอนนี้เสด็จพี่ไม่อยู่แล้ว คนทั้งวังต่างก็รังแกข้า วันนั้นข้าถูกไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านรังแกอีกแล้ว” พูดจบประโยค องค์หญิงหกก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งความไม่พอใจในใจของไป๋หลิงเมื่อสักครู่ถูกลู่ซิงหุยแก้ไขทันทีใช่แล้ว ตอนนี้พระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่อยู่แล้ว องค์ชายสามก็ถูกกักบริเวณแล้ว คนที่องค์หญิงหกสามารถพึ่งพาได้มีเพียงตนเองเท่านั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไป๋หลิงก็ตบหลังองค์หญิงหกเบาๆ “องค์หญิงวางใจเถิด สิ่งใดที่ทําให้องค์หญิงไม่สบายใจ ล้วนต้องได้รับผลกรรม”ในทิศทางที่ลู่ซิงหุยมองไม่เห็น ดวงตาของไป๋หลิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม้แต่อิงหงก็ไม่กล้าสบตานางโดยตรง ก้มหน้าลงสิ่งที่ไป๋หลิงพูดในครั้งนี้ถูกต้อง ซ่งชิงเหยียนได้รับ"กรรมตามสนอง" อย่างที่นางพูดอย่างรวดเร็วเมื่อหานซีเยว่ออกจากวัง ซ่งชิงเหยียนก็ไปส่งนางที่ด้านนอก ซ่งชิงเหยียนก็ถูกลอบสังหารที่ถนนนอกตำหนักชิงอวิ๋นได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมากส่วนนางกํานัลที่ลอบสังหารคนนั้น หลังจากลอบสังหารสําเร็จแล้ว ก็ปาดคอตายอยู่บนถนนทันทีข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังอย่างรวดเร็วในเวลานี้ไป๋หลิงกําลังอยู่กับลู่ซิงหุย เมื่อลู่ซิงหุ
ในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับหานซีเยว่ลู่ซิงหุยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาหลายวันในที่สุดก็ได้พบกับไป๋หลิงทันทีที่ไป๋หลิงเข้าไปในห้องด้านใน ลู่ซิงหุยก็ขว้างถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าเขาไปที่เท้าของนางด้วยความโกรธ "เจ้ายังรู้ว่าจะมา!"“ตอนนี้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากหญิงชั่วคนนั้นของฮองเฮาใช่หรือไม่? ลืมเสด็จแม่ของข้าไปจนสิ้นแล้ว!”ลู่ซิงหุยตอนนี้อาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ย่อมรู้ว่าบ่าวไพร่ของตําหนักจิ่นซิ่วเคารพไป๋หลิงเพียงใด และรู้ว่าตอนนี้ในใจของฮองเฮาพึ่งพาไป๋หลิงเป็นอย่างมากนอกจากนี้ไป๋หลิงไม่ได้ปรากฏตัวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงสงสัยส่วนอิงหงที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่ซิงหุย รีบก้าวเข้าไปปิดปากนางอย่างรวดเร็ว “องค์หญิง!”จากนั้นก็ปล่อยมือ “องค์หญิงระวังคําพูด ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง”“ฮึ” ลู่ซิงหุยส่งเสียงหึในลําคออย่างเย็นชา แล้วหันไปมองไป๋หลิงที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าช่างเป็นคนที่รู้จักหลบๆ ซ่อนๆ เสียจริง เมื่อก่อนต้องมาที่ตำหนักของข้าทุกวัน”“ตั้งแต่พี่สามถูกเสด็จพ่อกักบริเวณอยู่ในตําหนักฉางชิว เจ้าก็ไม่ปราก