อาหารเที่ยงของวันนี้ แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ไปเสวยอาหารที่ตำหนักชิงอวิ๋นเสร็จแล้วถึงค่อยกลับไปที่ตำหนักหลงเซิงดังนั้นหลังจากพักเที่ยงแล้ว องค์รัชทายาทถึงทรงมีเวลามาที่ตำหนักชิงอวิ๋น "เดิมทีคิดว่าหลังเลิกจากราชสำนักตอนเช้าแล้วก็มา ได้ยินคนข้างกายเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อเสด็จมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว หลังจากช่วงบ่ายถึงจะมา"ในคำพูดขององค์รัชทายาท ไม่ได้กล่าวถึงคําแสดงความยินดีสองคำเลย แน่นอนว่าซ่งชิงเหยียนย่อมรู้ดีว่าหลานชายของตัวเองคนนี้ รู้สึกผิดเล็กน้อยต่อนางเพราะเรื่องหลังการแต่งตั้งฮองเฮาจิ่นอวี้เป็นคนอ่านสีหน้าคนออกมาโดยตลอด จึงรีบอธิบายว่า "บัดนี้ทางตำหนักทั้งหมดยังบอกว่าฝ่าบาทสงสารพระสนม"องค์รัชทายาทได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจิ่นอวี้ด้วยความประหลาดใจ"เนื่องจากพระสนมไม่อยากดูแลเรื่องวังหลังทั้งหก จึงแต่งตั้งให้พระสนมหนิงเฟยเป็นฮองเฮา ให้นางดูแลจัดการเรื่องวังหลังทั้งหก""อีกทั้งกลัวว่าจะไม่เป็นธรรมต่อพระสนมของเรา จึงแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย ฝ่าบาทบอกแล้วว่า เป็นตำแหน่งเหมือนรองฮองเฮา ตำแหน่งเท่าเทียมกับฮองเฮา"องค์รัชทายาททรงเหม่อลอยตลอดเวลา กลับไม่ได้ฟังพระราชโองการนี้อย
แล้วหันไปทางองค์รัชทายาท “เสร็ดจพี่มีเวลาว่างหรือไม่? วันนี้เสด็จป้าก็พ้นจากงานที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นแล้ว สมควรที่จะเฉลิมฉลองเสียหน่อยนะเพคะ!”องค์รัชทายาทก็ยิ้มเล็กน้อย “นั่นย่อมดีแน่นอน”ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ จิ่นซินก็เข้ามากราบทูลว่า พระสนมหลานเฟยกับองค์ชายรอง และพระสนมเหวินเฟยพร้อมด้วยองค์ชายสี่ ได้เสด็จมาแล้วเพคะองค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นและเดินออกไป “พระสนมหลานเฟยและพระสนมเหวินเฟยเสด็จมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ เราเพิ่งพูดกันว่าคืนนี้จะเสวยพระกระยาหารค่ำที่ตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพคะ!”แล้วยังหันไปทางพระสนมเหวินเฟยอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ “กระหม่อมไม่ได้พบพระสนมเหวินเฟยเสียนานแล้ว พระสนมเหวินเฟยยังคงงดงามเช่นเดียวกับเมื่อสิบปีก่อนเลยเพคะ!”“ซิงรั่วเด็กคนนี้มักจะช่างพูดช่างจาเสมอ” พระสนมเหวินเฟยพูดพร้อมกับจูงมือนางเดินเข้าไปด้านใน แล้วถามด้วยความห่วงใยว่า “บัดนี้พระครรภ์ในท้องของเจ้าว่านอนสอนง่ายดีหรือไม่?”เมื่อกล่าวถึงพระครรภ์ องค์หญิงใหญ่ก็ทรงยิ้มอย่างอ่อนโยน “พระสนมเหวินเฟย บัดนี้พระครรภ์ของกระหม่อมเพิ่งจะได้ไม่ถึงห้าเดือนเองเพคะ!”“จริงด้วยๆ” พระสนมเหวินเฟย ทรงแสร้งทำเป็นตบศีรษะข
ในค่ำคืนที่ตำหนักชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความคึกคัก ตำหนักจิ่นซิ่วกลับเงียบสงัดจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาช่วงบ่ายฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ส่งช่างมาเปลี่ยนชื่อพระตำหนัก แต่ตลอดทั้งวันกลับมิได้เสด็จมาปรากฏตัวที่ตำหนักจิ่นซิ่วเลยอวิ๋นจูขณะที่กำลังรับใช้เสิ่นหนิงล้างหน้าไปด้วย ก็พึมพำไปด้วยว่า “ฮ่องเต้ทรงลำเอียงเกินไปแล้ว ถึงแม้จะทรงแต่งตั้งพระสนมเป็นฮองเฮา แต่เหตุใดจึงไม่แม้แต่จะปรากฏตัวเลยเช่นนี้ จะไม่กลายเป็นการทำให้พระสนมถูกหัวเราะเยาะอย่างไร้เหตุผลหรือเพคะ?”เสิ่นหนิงฟังเสียงบ่นพึมพำของนาง โดยไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงครุ่นคิดถึงคำพูดของหยุนหลานในช่วงกลางวัน แล้วจึงถามขึ้นอย่างลองเชิงว่า “เรื่องที่ให้เจ้าจัดการเมื่อกลางวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”อวิ๋นจูกลับไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของฮองเฮา “พระสนมไม่ต้องกังวลเพคะ ข้าน้อยได้บอกกับท่านอ๋องอี้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าอีกสองวันคงจะมีข่าวมาถึงเพคะ”เมื่อเห็นอวิ๋นจูพูดถึงบุคคลนั้นแล้วมีสีหน้าแดงระเรื่อ เสิ่นหนิงก็ทรงแสดงแววตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมขึ้นมาเพียงชั่วครู“อวิ๋นจู เจ้าไปรู้จักกับท่านอ๋องอี้ได้อย่างไร?”เมื่อเห็นว่า
ซ่งชิงเหยียนได้ยินเช่นนี้ ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ หวานหว่านเด็กดี แม้เสด็จแม่เจ้าจะเป็นคนธรรมดา ก็สามารถได้ยินเสียงในใจของเจ้าได้ และเสียงในใจของเจ้า ได้ช่วยเสด็จแม่เจ้าและเสด็จพ่อเจ้า รวมถึงพี่ชายใหญ่หลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้จิ่นอวี้เริ่มเก็บกวาด “ความยุ่งเหยิง”ที่ลู่ซิงหว่านก่อไว้ซ่งชิงเหยียนยิ้มอย่างเก้อเขิน “เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ ไทเฮาอย่าได้ถือสาเลย”ทว่าไทเฮากลับทำเพียงโบกมือ “ข้าดูแล้วหย่งอันเป็นเด็กโชคดีคนหนึ่ง ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่เหมือนองค์หญิงน้อยที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเหล่านั้น ”ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ นางข้าหลวงที่อยู่ข้างนอกก็เข้ามา “ทูลไทเฮา ฮูหยินเสิ่น พระมารดาของฮองเฮามาทักทายพระองค์พะย่ะค่ะ”ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับมา พรุ่งนี้เป็นวันพิธีแต่งตั้งครั้งใหญ่ มารดาของฮองเฮาเข้าวังมาวันนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควร ซ่งชิงเหยียนเห็นเช่นนี้จึงหยัดกายลุกขึ้นจะทูลลา แต่กลับถูกไทเฮาพูดสะกัดไว้ “เจ้านั่งอยู่ที่นี่แหล่ะ ไม่ใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้เสียหน่อย”ก่อนสั่งนางข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างให้เชิญฮูหยินเสิ่นคนนั้นเข้ามา ส่วนตนก็ไปห้องโถงด้านข้างโดยมีแม่นมข้างกายคอยป
ทั้งสองเร้นกายไปจากตำหนักหรงเล่อพร้อมกัน ก่อนซ่งชิงเหยียนกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินเสิ่น มิสู้ให้นางข้าหลวงข้างกายข้าผู้นี้นำทางให้ท่านดีหรือไม่?”ฮูหยินเสิ่นเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยเช่นนี้ ก็คิดอยากจะสนทนาด้วยสักเล็กน้อย บุตรสาวตนถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาข้ามหัวพระสนมหวงกุ้ยเฟย หากพระสนมหวงกุ้ยเฟยถือสาเรื่องนี้จริง จะหารือเรื่องหนิงเอ๋อร์อยู่วังในอนาคตอย่างไรดี แม้คนในเมืองหลวงต่างรู้นิสัยเมื่อก่อนของพระสนมหวงกุ้ยเฟยกันทั่ว ทว่าเข้าวังมาตั้งหลายปี ใครจะรู้ว่านางเปลี่ยนไปหรือไม่?ดีที่ตนนั้นอายุมาก เห็นผู้คนมามากมาย อย่างไรก็ต้องลองแทนบุตรสาวตัวเองสักตั้งจึงเปิดปากกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินชื่อเสียงพระสนมหวงกุ้ยเฟยมานาน วันนี้ได้เห็น สมกับคำล่ำลือจริงๆ ไม่รู้ว่าหม่อมฉันจะมีโอกาสได้ดื่มชาของพระสนมสักจอกหรือไม่”ในคำพูดล้วนเปี่ยมไปด้วยความถ่อมตนซ่งชิงเหยียนรู้ ฮูหยินเสิ่นผู้นี้คงมีเรื่องจะคุยกับตน จึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ย่อมได้”หลังจากเข้าไปในตำหนักชิงอวิ๋นและทักทายกันไปไม่กี่ประโยค ฮูหยินเสิ่นก็เริ่มเข้าประเด็นหลัก “พระสนม เสิ่นหนิงเข้าวังมาได้ไม่นาน กลับคาดไม่ถึงว่าจะข้ามหน้าข้ามตาพระสนมไป หม่อ
พระสนมหวงกุ้ยเฟยเองมิอาจพูดอย่างอื่นได้ ทำได้เพียงตอบรับ “ฮูหยินเสิ่นวางใจ ขอเพียงฮองเฮาต้องการ หม่อมฉันก็ยินดีช่วยเหลือ”คอยกระทั่งฮูหยินเสิ่นเร้นกายออกจากตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว จิ่นซินก็พรวดพราดพุ่งตัวไปเบื้องหน้าซ่งชิงเหยียนอย่างรวดเร็ว “พระสนม เมื่อครู่ตอนที่ฮูหยินเสิ่นว่าจะขอให้พระสนมช่วยเหลือฮองเฮา องค์หญิงหย่งอันเบะปากราวกับเข้าใจในคำพูดของเรา ไม่ได้เชื่อในวาจาของฮูหยินเสิ่นนั่นสักนิดเพคะ!” “องค์หญิงหย่งอันช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเข้าใจในสิ่งที่เราคุยกันแล้ว!” “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” น้ำเสียงของซ่งชิงเหยียนเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “หวานหว่านเราเฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”ทว่าทางฝั่งตำหนักจิ่นซิ่ว เสิ่นหนิงทราบเรื่องที่มารดาจะเข้าวังมาวันนี้ตั้งนานแล้ว กระนั้นกลับมิได้คาดหวังมากมายแต่อย่างใดแต่เป็นอวิ๋นหลานเสียเองที่ทนตำหนิในใจไม่ไหว หรือความสัมพันธ์ระหว่างพระสนมของตนกับฮูหยินเสิ่นท่าไม่ดีนัก? แต่ได้ยินข่าวลือมาว่าฮองเฮาคือบุตรสาวหนึ่งเดียวของฮูหยินเสิ่น แล้วไฉนมารดากับลูกสาวจะเข้ากันไม่ได้เล่า?กระนั้นก็มิได้แสดงสีหน้าอะไร แค่ยามมารอฮูหยินเสิ่นที่นอกตำหนักห
การพบกับครั้งนี้ของฮูหยินเสิ่นและฮองเฮา พูดได้แค่ว่าไม่มีกระดากอายเท่านั้นนี่ยิ่งทำให้ฮูหยินเสิ่นมั่นใจว่า บุตรสาวของตนคนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใกล้ชิดกับตนอีกต่อไปแล้วช่างเถิด อย่างไรเสียตอนนี้ชีวิตลูกสาวก็มีชีวิตที่ดีแล้ว ส่วนตนก็ได้เห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยแล้ว เป็นคนเรียบง่ายสง่างามเหมือนเคยจริงๆ จึงได้วางใจลงในที่สุดฮูหยินเสิ่นเร้นออกจากพรบรมมหาราชวังด้วยความผิดหวังนิดหน่อยมีจิ่นซินอยู่ด้วย ข่าวคราวนี้ย่อมไปถึงตำหนักชิงอวิ๋น “ได้ยินขันทีหนุ่มตรงหน้าประตูตำหนักพูดว่า ยามฮูหยินเสิ่นเข้าวังนั้นดูยินดีปรีดา ทว่ายามขึ้นรถม้ากลับจวน แม้นพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็มิอาจปิดบังความผิดหวังบนใบหน้าได้” [เสด็จแม่ ข้าพูดถูกไหม! พระสนมหนิงเฟยต่างไปจากก่อนหน้าจริงๆ] [ที่ยามนี้มารดาของนางผิดหวัง ก็มิใช่เพราะข้าตกต่ำหรอกหรือ? ตัวข้าในตอนนั้นก็เสียใจกับการเปลี่ยนแปลงของนางเช่นกัน!] [ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรก็เปลี่ยนคำเรียกไม่ได้จริงๆ]ซ่งชิงเหยียนได้ยินดังว่าก็แค่พยักหน้ารับ มิได้เอ่ยปากอันใดวันที่สอง พิธีแต่งตั้งฮองเฮาเนื่องจากเป็นผู้สืบทอด พิธีแต่งตั้งย่อมเรียบง
[โชคดีที่วันนี้ท่านแม่พาข้ามาเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งนี้ด้วย แม้แต่รุ่นหลังก็ยังสง่างามเช่นนี้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ในเวลานั้นเสด็จป้าจะงดงามมากแค่ไหน][ฝ่าบาทรัชทายาทมีชีวิตชีวา แต่งงานกับบุตรสาวของท่านโหวที่ทุกคนยกย่องในเมืองหลวง เป็นคําพูดที่ดีแค่ไหน มิน่าล่ะเสด็จพ่อถึงรักเสด็จป้ามากเหลือเกิน หากเป็นคนอื่นก็ปล่อยวางไม่ได้เช่นกันหนา!][ส่วนท่านแม่ก็เลิกคิดไปได้เลย วันหลังท่านก็ดูแลชีวิตของหว่านหว่านน้อยของท่านให้ดีก็พอแล้ว]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่านก็อดที่จะเกิดความเศร้าโศกในเล็กน้อยไม่ได้ พี่สาวของตนเอง คนดีเช่นนั้นกลับต้องมาตายในมือพระสนมเต๋อเฟย ถ้าหากว่าท่านพี่ยังอยู่ วันนี้จะเป็นวันดีแค่ไหน ลูกชายทั้งมีความสามารถและกตัญญู บัดนี้ได้นั่งบัลลังก์รัชทายาทอย่างมั่นคงแล้ว ลูกสาวก็ตามพบคนที่รัก แม้กระทั่งตอนนี้หลานชายคนเล็กก็กําลังจะคลอดแล้วแน่นอนว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ยอมปล่อยวางลงไม่ได้ ทุกๆ ประโยคของลู่ซิงหว่านช่างทิ่มแทงหัวใจของเขายิ่งนัก เขามอบงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับชิงหย่าจริงๆ และมอบพิธีแต่งตั้งฮองเฮาที่ยิ่งใหญ่ให้กับนาง แต่ทว่าในที่สุดนางก็ไม่สามารถอยู่