[ข้าช่างเป็นคนฉลาดนัก สนมอวิ๋นกุ้ยเหรินเป็นเพียงสนมเล็กๆ ก็กล้ามาคิดร้ายต่อท่านแม่ แสดงว่าสนมซูผินคงมีส่วนร่วมด้วย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเช่นนี้ก็ให้จนปัญญา ลูกรักของแม่ แต่ว่าซูผินก็เป็นเพียงสนมในตำแหน่งผินเท่านั้นสิ่งที่ตนไม่เข้าใจก็คือ ได้ไปล่วงเกินอะไรต่อสนมซูผินคนนี้เข้า นางจึงได้โกรธแค้นตนถึงเพียงนี้?เซียงอวิ๋นย่อมไม่รู้ความคิดวกวนในใจของผู้อื่น ได้แต่ก้มหน้ากล่าวตอบ “พระสนม บ่าวไม่กล้าพูดเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนี้ก็แอบถลึงตาไม่ให้คนอื่นได้เห็น ให้โอกาสเจ้าได้พูดกลับมาทำอิดออด ตอนนี้ถ้าอยู่ในกองทัพ ข้าคงสั่งโบยเจ้าไปสิบทีแล้วค่อยว่าต่อเป็นแน่แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่สนพระทัยเรื่องเหล่านี้ “ในเมื่อไม่กล้าพูด เมิ่งฉวนเต๋อ ลากตัวออกไปโบยสักสิบที ดูว่าจะกล้าพูดหรือเปล่า"”“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันพูด” เซียงอวิ๋นเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงรีบคุกเข่าขอขมา แต่กลับถูกขันทีหลายคนลากตัวออกไป “พระสนมโปรดช่วยบ่าวด้วย”เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้วเช่นนี้ สนมซูผินกับสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังจึงยิ่งไม่กล้าพูดจาโบยตีอยู่ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเพิ่งนึกได้ว่าลู่ซ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ปฏิบัติต่อสนมซูผินเช่นนั้น เซียงอวิ๋นก็ค่อยมีกำลังใจมากขึ้น“ขณะที่สนมซูผินมอบเตาเครื่องหอมให้หม่อมฉัน ได้บอกว่าข้างในผสมยาพิษไว้ หากหม่อมฉันกล้าเอาไปวางไว้ในตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย นั่นคือการแสดงความซื่อสัตย์ของหม่อมฉันเอง”เซียงอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้จึงได้หยุดลง พาให้ตำหนักชิงอวิ๋นยิ่งเงียบกริบ ทุกคนต่างตะลึงกับพฤติกรรมของสนมซูผินเช่นนี้ที่ออกเสียงได้ ก็มีเพียงเสียงในใจของลู่ซิงหว่านเท่านั้น [สนมซูผินเป็นบ้าแล้วหรือไง พบเจอครั้งแรกก็ให้นางกำนัลพิสูจน์ความซื่อสัตย์ด้วยวิธีการเช่นนี้][ถ้าอย่างนั้นมิสู้ให้นางไปตายเสียดีกว่า หมดเรื่องหมดราวไป][เซียงอวิ๋นก็ช่างโง่นัก สนมซูผินทำเช่นนี้คือการหลอกใช้เห็นๆ ขนาดเด็กอย่างข้ายังดูออกเลย เรื่องนี้หากทำสำเร็จจริง เจ้าก็ช่วยนางกำจัดแม่ข้าได้ แต่หากล้มเหลว นางจะโยนความผิดให้เจ้ารับแต่เพียงผู้เดียว][เสด็จพ่อช่างไปหาผู้หญิงสติไม่สมประกอบเหล่านี้มาจากไหนกัน ก่อนหน้านี้ก็พระสนมเต๋อเฟย ถัดมาก็เป็นสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินและฟางกุ้ยเหริน ตอนนี้ก็เป็นสนมซูผินอีก][เฮ่ย เป็นเสด็จพ่อก็ไม่ง่ายนัก วันๆ ต้องคลุกคลีอยู่กับผู้หญิงโง่เขล
“เพื่อเห็นแก่องค์หญิงทั้งสอง ข้าพยายามอดทนต่อเจ้า แต่เจ้าก็ยังเหิมเกริมไม่เลิกรา”“สมัยก่อนข้าดูแลกิจการในวังหลังหกตำหนัก เจ้าก็คอยฉีกหน้ากลั่นแกล้งอยู่เรื่อย ตอนนั้นเคยลงโทษเจ้าไปแล้วหนหนึ่ง ไม่นึกว่าเจ้ายังไม่หลาบจำ”“มาวันนี้ก็มีเรื่องวางยาอีก เห็นทีว่า เรื่องสนมอวิ๋นกุ้ยเหรินก็คงเกี่ยวข้องกับเจ้าแน่”สนมซูผินได้ยินพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยถึงเรื่องสนมอวิ๋นกุ้ยเหริน ก็พลันใจเต้นคล้ายจะหลุดจากอก พยายามควบคุมเสียงของตนเองไว้ “พระสนมเมตตาด้วย แม้ข้าจะสนิทกับอวิ๋นกุ้ยเหรินมากก็จริง แต่ไม่กล้ามีส่วนร่วมกับเรื่องทำคุณไสยแน่นอน”ไม่ต้องรอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านชิงดักหน้าก่อน[อย่ามาทำปากดีหน่อยเลย ท่านสนิทกับอวิ๋นกุ้ยเหรินราวกับอะไรดี ปกตินอกจากกินข้าวกับนอนแล้ว เวลาอื่นแทบจะตัวติดกัน][สิ่งที่อวิ๋นกุ้ยเหรินเคยกระทำ ล้วนเป็นการยุยงจากท่าน แล้วเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับท่านได้อย่างไร]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังคงมีน้ำเสียงเย็นชา มองดูสนมซูผินคล้ายกับเจ็บใจที่นางไม่รักดี “ซูผิน หากข้าไม่มีหลักฐาน คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ส่งเดช”สนมซูผินเงยหน้าขึ้นมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เห็นแววตานางมีแต
ครั้นเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ยิ่งขมวดคิ้วหนัก เมิ่งฉวนเต๋อก็เดินไปใช้เท้าเตะอวี้ซิ่วหนึ่งที “นังไพร่ไม่รู้กาลเทศะ คำพูดนี้ให้เจ้าพูดจากปากได้หรือ?”แต่ในใจกลับแอบคิด สาวใช้ผู้นี้เห็นทีจะได้ตายพร้อมพระสนมเต๋อเฟยในวันนี้เป็นแน่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นดังนี้ จึงได้ถามอวี้ซิ่ว “เจ้าอยู่กับเต๋อเฟยในตำแหน่งอะไร?”“ฮึ!” สาวใช้เพียงแค่ทำเสียงฮึในลำคอ ไม่ยอมพูดอะไรอีกฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงนวดคลึงหว่างคิ้วของพระองค์เอง จึงได้รับสั่งต่อ “จับตัวนังผู้นี้ไปกรมอาญา แล้วสอบเค้นให้หนัก จนกว่านางจะยอมเปิดปากสารภาพทุกอย่าง”จากนั้นก็ทรงชี้นิ้วไปทางเซียงอวิ๋น “ประหารซะ”เมิ่งฉวนเต๋ออยู่กับฮ่องเต้มานาน ย่อมรู้ถึงนิสัยเป็นอย่างดี จึงไม่กล้ารีรออีก รีบสั่งให้คนปิดปากนางกำนัลทั้งสอง พร้อมแยกย้ายส่งตัวไปรับโทษบัดนี้จึงเหลือเพียงสนมซูผินเพียงผู้เดียว รอบข้างเงียบกริบเป็นอย่างมากเมื่อคำนึงถึงว่าใกล้จะมีงานอภิเษกขององค์หญิงรอง พระสนมหวงกุ้ยเฟยคิดว่าเรื่องนี้ให้ยุติชั่วคราวจะดีกว่า เพียงแต่ในใจยังอดนึกโกรธไม่ได้สุดท้ายจึงได้ถอนหายใจ พร้อมเอ่ยปากต่อ “ฝ่าบาทเพคะ ถึงอย่างไรซูเฟยก็เป็นมารดาขององค์หญิงรองและองค์หญิงเจ็ด บ
ฉยงหัวอยู่ด้านข้างแอบนินทาในใจ ขณะมองดูแสดงความรักระหว่างฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟย รู้ว่าเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะปกติฮ่องเต้ก็มีสนมมากมายอยู่แล้ว ส่วนแววตาที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองดูฮ่องเต้นั้น ก็หาได้มีความรักแต่อย่างใด ดูคล้ายกับมองดูผู้เป็นนายมากกว่าใช่แล้ว คล้ายกับนายจ้าง ในนิทานก็บอกไว้เช่นนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ชี้นิ้วไปยังสนมซูผิน “จับตัวนัง...”พลันหยุดชะงัก ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบหุบปาก เก็บคำว่า ‘ผู้หญิงหน้าโง่’ เข้าไปทันควัน เกือบถูกหวานหว่านพาให้เสียคนซะแล้ว“ให้นางไปอยู่ในตำหนักจูหัว ห้ามใครเข้าพบเป็นอันขาด รอจนกว่าองค์หญิงรองออกเรือนแล้วค่อยว่าใหม่”กล่าวจับก็ชี้ไปยังเมิ่งฉวนเต๋อ “ถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าจะเล่นงานเจ้า”เมิ่งฉวนเต๋อรีบถวายคำนับ “กระหม่อมจะดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”พลางเดินขึ้นหน้า ไปถึงข้างกายพระสนมซูผิน “เชิญพระสนมไปได้แล้ว”ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ถอดถอนนาง นางก็ยังเป็นสนมตำแหน่งผินอยู่ เมิ่งฉวนเต๋อจึงต้องให้เกียรติต่อหน้าผู้อื่นบ้างและในเวลานี้ ที่ทางเดินด้านนอกตำหนักชิงอวิ๋น องค์หญิงรองซิงเสวี่ยกำลังเดินเหม่อลอยอยู่นางรู้มานานแล้วว่าเสด็จแม่ไม่
ไหนๆ ก็เสียเวลาไปครึ่งวันแล้ว ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงประทับอยู่ตำหนักชิงอวิ๋นเสวยอาหารค่ำพร้อมกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแต่แล้วในระหว่างนี้ อวิ๋นผิงนางกำนัลคนสนิทของพระสนมหนิงเฟยได้มาถึง“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระสนมเฉินเพคะ พระสนมหนิงเฟยให้หม่อมฉันมาทูลถาม ว่าวันนี้ฝ่าบาทยังทรงปวดพระเศียรหรือไม่ ต้องให้พระสนมมาถวายการนวดหรือเปล่า” อวิ๋นผิงทูลถามด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ลองกดศีรษะของตนดู “วันนี้รู้สึกดีขึ้นมาก ให้พระสนมของเจ้าพักผ่อนสักวันเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเฉินกุ้ยเฟยก่อน”อวิ๋นผิงจึงถวายคำนับแล้วออกไปลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ยืนได้แล้วจ้องมองแผ่นหลังของอวิ๋นผิงที่เดินออกไป[บอกแล้วว่าพระสนมหนิงเฟยแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ก่อนรู้สึกว่านางเป็นคนเย็นชา แต่พอได้เลื่อนขั้นเป็นพระสนมเอก กลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน]ฮ่องเต้ต้าฉู่ซึ่งกำลังคีบผักอยู่ ได้ผ่อนมือช้าลง พร้อมเงี่ยหูฟังคำพูดของลู่ซิงหว่าน[เสด็จพ่อไม่เจอนางแค่วันเดียว ต้องส่งคนมาตามเชียวหรือ][เสด็จแม่แค่มาอยู่กับท่านแม่หนึ่งวัน พระสนมหนิงเฟยก็กลัวว่าเสด็จพ่อจะถูกแย่งไปหรืออย่างไร?][หากเสด็จพ่อทรงปวดหัวจริง ยังไงก็ต้องไปตามนา
“พระสนมเกรงใจไปแล้ว” ฉยงหัวไม่ชอบการเสแสร้ง นิสัยนางเป็นคนตรงไปตรงมา “ท่านพ่อของพระสนมเคยช่วยข้าไว้ ข้าย่อมต้องปกป้องพระสนมอย่างเต็มที่”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจยิ่ง เด็กคนนี้เป็นคนเถรตรง ช่างถูกชะตากับตนนัก “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงวางใจพักอยู่ในตำหนักชิงอวิ๋นได้ หากมีเรื่องอันใด ก็ให้พูดกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ ถ้าพวกนางช่วยไม่ได้ ก็ให้มาพูดคุยกับข้า”ฉยงหัวพยักหน้า เพราะทุกวันนี้ตนก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยดูเป็นคนดี งั้นก็จงอยู่ที่นี่ไปก่อนหลังเสร็จจากอาหารเช้า พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็พาลู่ซิงหว่านไปยังตำหนักเหยียนเหอ เพราะเมื่อวานยังมีเรื่องพูดคุยกับพระสนมหลานเฟยไม่จบ ถูกเรื่องของสนมซูผินมาแทรกซะก่อนเมื่อไปถึงตำหนักเหยียนเหอ พระสนมหลานเฟยก็รีบออกมาต้อนรับ ดึงมือพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามด้วยความห่วงใย “เมื่อวานได้ยินว่าตำหนักเจ้าเกิดเรื่อง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยดึงให้พระสนมหลานเฟยนั่งลงด้วยกัน “ในตำหนักข้ามีหมอหญิงมาใหม่ผู้หนึ่ง เป็นคนซื่อสัตย์นัก ดีที่ได้นางช่วยเหลือไว้”พระสนมหลานเฟยพยักหน้า “ปลอดภัยก็ดีแล้ว”พลางรับตัวลู่ซิงหว่านมาจ
หลายวันนี้ เหมยหลานจู๋จวี๋ทั้งสี่คนต่างง่วนอยู่กับการสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนวันนี้พอได้ข้อมูลครบถ้วน จึงพากันมายังตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ว่าพวกนางมาพร้อมกันคงมีเรื่องสำคัญแน่ จึงปฏิเสธงานอื่นไปก่อน ให้พวกนางมาอยู่ห้องด้านใน“จิ่นซินจิ่นอวี้ พวกเจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้” รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่กล้าละเลยความปลอดภัยเหมยอิ่งเอ่ยปากเป็นคนแรก “หลายวันนี้เราได้ไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ได้ข้อสรุปมาจึงต้องรายงานพระสนมก่อน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านก็ทนไม่ไหวก่อนแล้ว[ที่แท้นี่ก็คือองครักษ์ลับที่อยู่ในหนังสือนิทานหรอกหรือ แต่ก่อนยังคิดว่าเหมยหลานจู๋จวี๋ล้วนแต่อัธยาศัยดี แต่ตอนนี้ทั้งสี่คนมานั่งระแวงภัยอยู่ตรงหนี้ ดูคล้ายกับน่ากลัวมากกว่า][เท่ห์มากเลย][ไว้อีกหน่อยข้ากลับไปก็จะเลี้ยงองครักษ์ลับไว้หลายคนบ้าง ประเภทเรียกเมื่อไหร่ก็มาทันที แถมยังต้องมีวรยุทธ์สูงอีก]เหมยอิงไม่ได้ยินเสียงพูดในใจของลู่ซิงหว่านอยู่แล้ว เพียงเอ่ยปากกล่าวว่า “หลานอิ่งไปสืบเรื่ององค์ชายรัชทายาทมา”เหมยอิ่งกล่าวถึงตรงนี้ หลานอิ่งก็รับช่วงต