หลายวันนี้ เหมยหลานจู๋จวี๋ทั้งสี่คนต่างง่วนอยู่กับการสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนวันนี้พอได้ข้อมูลครบถ้วน จึงพากันมายังตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ว่าพวกนางมาพร้อมกันคงมีเรื่องสำคัญแน่ จึงปฏิเสธงานอื่นไปก่อน ให้พวกนางมาอยู่ห้องด้านใน“จิ่นซินจิ่นอวี้ พวกเจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้” รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่กล้าละเลยความปลอดภัยเหมยอิ่งเอ่ยปากเป็นคนแรก “หลายวันนี้เราได้ไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ได้ข้อสรุปมาจึงต้องรายงานพระสนมก่อน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านก็ทนไม่ไหวก่อนแล้ว[ที่แท้นี่ก็คือองครักษ์ลับที่อยู่ในหนังสือนิทานหรอกหรือ แต่ก่อนยังคิดว่าเหมยหลานจู๋จวี๋ล้วนแต่อัธยาศัยดี แต่ตอนนี้ทั้งสี่คนมานั่งระแวงภัยอยู่ตรงหนี้ ดูคล้ายกับน่ากลัวมากกว่า][เท่ห์มากเลย][ไว้อีกหน่อยข้ากลับไปก็จะเลี้ยงองครักษ์ลับไว้หลายคนบ้าง ประเภทเรียกเมื่อไหร่ก็มาทันที แถมยังต้องมีวรยุทธ์สูงอีก]เหมยอิงไม่ได้ยินเสียงพูดในใจของลู่ซิงหว่านอยู่แล้ว เพียงเอ่ยปากกล่าวว่า “หลานอิ่งไปสืบเรื่ององค์ชายรัชทายาทมา”เหมยอิ่งกล่าวถึงตรงนี้ หลานอิ่งก็รับช่วงต
ครั้งนี้ถึงคราวลู่ซิงหว่านตกตะลึงบ้าง[เสนาบดีชุยไปทำอะไรกับหนิงซวี่กันแน่ หรือว่าเขาจะโดนคุณไสย? ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่า จะมีคนยอมปกป้องนายจนทำได้ถึงเพียงนี้][ช่างร้ายกาจจริงๆ เสนาบดีชุยผู้นี้ อย่างไรก็อดชมเชยไม่ได้ ลูกสาวเขาเป็นคนโง่ หลานก็โง่เช่นกัน ครอบครัวเขาทั้งบ้านมีเพียงเสนาบดีที่ร้ายกาจเพียงผู้เดียว][แต่ถึงร้ายกาจเพียงไหนก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องตายอยู่ดี]จู๋อิ่งเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่พูดจา จึงได้เอ่ยปากถาม “จะให้กำจัดเจิ้งจงหรือไม่เจ้าคะ?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยส่ายหน้า “อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เจิ้งจงไม่ใช่คนสำคัญอะไร”“คุณหนูพูดถูกแล้ว บ่าวยังสืบไปถึงความเคลื่อนไหวของเขาในหลายวันนี้ พบว่าเจิ้งจงมักติดต่อกับคนชื่อ ‘ซิ่นเทียน’ อยู่เนืองๆ และคนผู้นี้ก็คอยวางแผนให้องค์ชายสามอยู่เบื้องหลังด้วย”“เพียงแต่การติดต่อระหว่างพวกเขาจะใช้จดหมายเสียส่วนใหญ่ ทั้งองค์ชายสามและเจิ้งจงเกรงว่าอาจไม่เคยเห็นโฉมหน้าจริงของคนผู้นี้เสียด้วยซ้ำ”“และคนผู้นี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ แม้แต่เหมยอิ่งก็ยากจะตามทัน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเผยพิรุธออกมา วันหน้าจะจับผ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยกับคำพูดของลู่ซิงหว่าน “ไม่นึกว่าจ้าวหานยวนจะเป็นคนวางแผนเก่งถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าลืมส่งจดหมายถึงพ่อข้า เตือนให้เขาระวังจ้าวหานยวนหน่อย”เหมยอิ่งพยักหน้า หมดเรื่องรายงานแต่เพียงเท่านี้ ทุกคนล่าถอยออกไปพระสนมเฉินกุ้ยเฟยยืนขึ้นบิดเอว หลายวันนี้มีแต่เรื่องราวประเดประดังเข้ามา ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าสมัยไปออกรบอีกหลังจากมองดูลู่ซิงหว่านแล้วก็อดบ่นไม่ได้ “หวานหว่าน แม่รู้สึกเหนื่อยนัก แม่กลับชอบสมัยก่อนที่เป็นเพียงสนมเฉินเฟยมากกว่า อยู่ในวังคนเดียวเงียบๆ”ลู่ซิงหว่านหันหน้ามามองมารดา ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใย พร้อมเดินขึ้นหน้ามา กอดน่องของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไว้[น่าเห็นใจท่านแม่นัก ขอหอมท่านแม่หนึ่งที ตำแหน่งฮองเฮาบ้าบออะไรนั่น ปล่อยให้พระสนมหนิงเฟยเป็นไปเถอะนะ][แม้ลูกจะรู้สึกไม่ค่อยชอบนาง แต่ก็ดีเหมือนกัน เรื่องปวดหัวทั้งหลายเหล่ก็ปล่อยให้นางไปดูแลเอง ท่านแม่เพียงอยู่สบายในวังหลังก็พอแล้ว][ส่วนเสด็จพ่อก็ให้สละตำแหน่งเสีย ยกบัลลังก์ให้พี่ชายรัชทายาทไป เช่นนี้ข้าจะได้พาท่านแม่ออกจากวังแล้ว][ยังมีพี่ฉยงหัวของข้า และยังมีจิ่นซินกับจิ่นอวี้ ยังมีเหมย
พูดประโยคนี้จบ องค์หญิงรองก็เงยหน้ามองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ"พวกเจ้ายังเป็นแค่เด็ก ข้าจะคิดจริงจังกับพวกเจ้าได้อย่างไร?" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางเป็นแบบนี้ก็อดที่จะปลอบใจไม่ได้ "อีกอย่างก็เป็นเรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้วจะพูดถึงมันทำไมอีก?"แต่องค์หญิงรองกลับส่ายหัว "พระสนมเฉินไม่รู้หรอกว่า เรื่องนี้เป็นปมในใจข้าเสมอตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เสด็จพี่ทำเรื่องผิดบาปมากมาย เดิมทีข้าคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเสด็จแม่ของข้า การที่ข้าช่วยนางปกปิดเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกสมควรทำอยู่แล้ว""แต่เมื่อวานตอนที่ข้ามายังตำหนักชิงอวิ๋นและได้ฟังสิ่งที่เสด็จแม่พูดแล้ว ในสายตานาง ข้าคงเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้รักษาอำนาจของนางมาตั้งแต่แรกเลยกระมัง!"ลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะอุทานไม่ได้[ดูสิ! ตาสว่างอีกคนแล้ว สุดท้ายเจ้าก็คิดได้สักทีสินะองค์หญิงท่านนี้][ท่านแม่ของเจ้าน่ะเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้ายอำมหิตมาก ตอนนั้นที่ข้าอ่านนิทาน ตอนแรกคิดว่าการที่นางส่งเจ้าไปแคว้นเยว่เฟิงนั้นเพื่อให้เจ้ามีอนาคตที่ดี แต่ไม่คิดว่าต่อมากลับผลักน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าตกทะเลสาบเพื่อที่จะใส่ร้ายผู้อื่น ถึงแ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงรองอย่างสงสัยเมื่อองค์หญิงรองเห็นก็รีบอธิบายทันที "พระสนมเฉินไม่เชื่อข้าหรือ?"แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหัว "เจ้ารู้ไหม หากเรื่องนี้โยงเกี่ยวเข้ากับเสด็จแม่ของเจ้า ชีวิตของนางอาจไม่รอดก็ได้?"องค์หญิงรองได้ยินก็ก้มหน้าอย่างพ่ายแพ้ "ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าหากข้าเปิดโปงเรื่องนี้แก่พระสนมเฉิน ตอนนี้พระสนมเฉินยังสามารถสอบสวนเสด็จแม่ของข้าได้ทัน และสามารถให้โอกาสนางทำความดีชดเชยความผิด"พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงไป "ขอพระสนมเฉินเห็นแก่ที่ข้าเปิดโปงเรื่องนี้ไว้ชีวิตเสด็จแม่ของข้าด้วยเถิด"และเหมือนกลัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะไม่ตกลกจึงส่ายหัว "ไม่ต้องการตำแหน่งอำนาจอะไรทั้งสิ้น ขอแค่นางมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว"ตอนนี้สมองของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยวุ่นวายมาก อ้าปากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักคำผ่านไปนานสักพัก นางก็เข้าไปพยุงองค์หญิงรองให้ลุกขึ้น "ซิงเสวี่ย ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้วข้าจะช่วยเสด็จแม่ของเจ้าแน่นอน""ขอบพระคุณพระสนมเฉินกุ้ยเฟย" เมื่อครู่องค์หญิงรองตกใจกลัวจนน้ำตาไหล แต่ตอนนี้น้ำตาที่ไหลนั้นมาจากความดีใจขณะที่มององค์หญิงรองเดินออกจากตำหนักชิงอวิ๋น
แทนที่จะบอกว่าตนปกป้องนาง ควรบอกว่านางปกป้องตนมาโดยตลอดแต่เรื่องเสื้อผ้านี้เป็นปมในใจซ่งชิงเหยียนมาโดยตลอด นางมักจะนึกถึงเรื่องนี้ในกลางดึก จากนั้นก็โทษตัวเองว่าเป็นเพราะตน ทำให้พี่สาวไม่ได้ใส่ชุดที่คนรักมอบให้ในพิธีปักปิ่นต่อมาเมื่อพี่สาวจากไปนางก็มักจะคิดอยู่เสมอว่า เป็นเพราะตนทำเสื้อผ้าชุดนั้นเปื้อนใช่ไหมที่ทำให้พี่สาวของตนไม่ได้ครองรักกับคนที่รักจนแก่เฒ่าแต่ตอนนี้มีคนบอกนางว่า อาจจะมีคนทำให้พี่สาวตายแล้วจะให้นางรับได้อย่างไร?พี่สาวเป็นคนที่แสนดีขนาดนั้น แต่คนพวกนี้กลับคร่าชีวิตนางเพียงเพื่อตำแหน่งและอำนาจเมื่อคิดถึงตรงนี้ น้ำตาของซ่งชิงเหยียนก็ไหลลงมาตามแก้มจิ่นซินและจิ่นอวี้รู้ว่า ตลอดหลายปีมานี้พระสนมฝังในกับการตายของคุณหนูใหญ่มาโดยตลอด ตอนนี้จะให้ไม่เสียใจได้อย่างไร?นิ่งเงียบนานสักพักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ลุกขึ้น ในเมื่อมีคนยื่นมีดมาถึงมือตนแล้ว ทำไมตนจะไม่รับเอาไว้"จิ่นซิน ไปเรียกเหมยหยิ่งกับจู๋อิ่งมา"ไม่นาน เหมยหยิ่งและจู๋อิ่งก็เข้ามาในตำหนักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยปากสั่งทันที "บัดนี้สนมซูผินถูกกักบริเวณที่ตำหนักจูหัว พวกเจ้าไปสอบสวนสนมซูผิน ถา
สนมซูผินขยับกายเล็กน้อยแล้วถอนหายใจพูด "ซิงเสวี่ย เจ้าต้องเข้าใจเสด็จแม่สิ เสด็จแม่แค่คิดว่ารัชทายาทเหอเหลียนเป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้น เจ้าแต่งเข้าไปก็จะได้เป็นพระชายา และได้เป็นฮองเฮาในอนาคต มันคือการแต่งงานที่ดีที่สุดแล้ว"แต่องค์หญิงรองกลับส่ายหัว ราวกับว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก "ลูกสาวมีเรื่องหนึ่งเรื่องที่ไม่เข้าใจ อยากขอเสด็จแม่ช่วยอธิบายให้ที"แต่ไม่ได้รอให้สนมซูผินถามก็เอ่ยปากพูดต่อ "เหตุใดเสด็จแม่ต้องพุ่งเป้าหาเรื่องพระสนมเฉินแบบนั้นด้วย? เป็นเพราะพระสนมเฉินมีตำหน่งสูงกว่าท่านแค่นั้นหรือ?"เมื่อสนมซูผินเห็นว่านางจู่ ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นก็ปรากฏความเลิ่กลั่กขึ้นในแววตาแต่กลับแสร้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วกล่าว "นางเข้าวังมาแค่ห้าปี ไม่ได้เป็นสนมคนโปรดอะไร แค่อาศัยครอบครัวของนางแค่นั้น แค่มีลูกสาวคนเดียวก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระสนมกุ้ยเฟยแล้ว แบบนี้หมายความว่าอะไร?""คงไม่ใช่เพราะว่าเสด็จแม่" องค์หญิงรองมองสนมซูผินอย่างแน่วแน่ ความอ่อนโยนในนัยน์ตาถูกความเย็นชาเข้าแทนที่ "เสด็จแม่ร่วมมือกับพระสนมเต๋อเฟยทำให้ฮองเฮาองค์ก่อนตาย และมีหลักฐานอยู่ในมือของพระสนมเต๋อเฟยจึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าหา
[แต่ท่านแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยสิ เสด็จป้าเป็นพี่สาวของท่านแม่ก่อนถึงค่อนเป็นภรรยา ค่อยเป็นฮองเฮา และค่อยเป็นแม่คน เสด็จป้าต้องอยากให้ท่านแม่มีชีวิตอย่างสบายใจแน่นอน][มีอิสระเหมือนท่านตอนเยาว์วัย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟินอุ้มลู่ซิงหว่านอย่างอดไม่ได้ ส่วนลู่ซิงหว่านก็แค่นึกว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังเสียใจส่วนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยห็ซาบซึ้งในคำพูดของลู่ซิงหว่าน ต้องบอกเลยว่าหวานหว่านนี่ปลอบคนเก่งจริง ๆ แน่นอนว่าตนต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี ไม่ใช่เพื่อจวนติ้งกั๋วโหว ไม่ใช่เพื่อฮ่องเต้ต้าฉู่ และไม่ใช่เพราะเด็ก ๆ พวกนี้ แต่เพื่อตัวเองต่างหาก เพื่อให้ซ่งชิงเหยียนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างอิสระสบายใจขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังซาบซึ้ง จิ่นซินก็เคาะประตูเข้ามา"พระสนม พระสนมหนิงเฟยทรงพระครรภ์แล้วเพคะ" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้าว้างแต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยิ้มอย่างไม่สนใจ "พระสนมหนิงเฟยเข้าวังมานานขนาดนี้แล้ว และยังได้รับควาฒโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกก็ควรท้องได้แล้ว"แต่จิ่นซินกลับอดที่จะบ่นไม่ได้ "พระสนมยังยิ้มได้อีกหรือเพคะ! ตอนนี้พระสนมหนิงเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมาก ถ้าให้กำเนิดองค์ช
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต