พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงรองอย่างสงสัยเมื่อองค์หญิงรองเห็นก็รีบอธิบายทันที "พระสนมเฉินไม่เชื่อข้าหรือ?"แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหัว "เจ้ารู้ไหม หากเรื่องนี้โยงเกี่ยวเข้ากับเสด็จแม่ของเจ้า ชีวิตของนางอาจไม่รอดก็ได้?"องค์หญิงรองได้ยินก็ก้มหน้าอย่างพ่ายแพ้ "ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าหากข้าเปิดโปงเรื่องนี้แก่พระสนมเฉิน ตอนนี้พระสนมเฉินยังสามารถสอบสวนเสด็จแม่ของข้าได้ทัน และสามารถให้โอกาสนางทำความดีชดเชยความผิด"พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงไป "ขอพระสนมเฉินเห็นแก่ที่ข้าเปิดโปงเรื่องนี้ไว้ชีวิตเสด็จแม่ของข้าด้วยเถิด"และเหมือนกลัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะไม่ตกลกจึงส่ายหัว "ไม่ต้องการตำแหน่งอำนาจอะไรทั้งสิ้น ขอแค่นางมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว"ตอนนี้สมองของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยวุ่นวายมาก อ้าปากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักคำผ่านไปนานสักพัก นางก็เข้าไปพยุงองค์หญิงรองให้ลุกขึ้น "ซิงเสวี่ย ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้วข้าจะช่วยเสด็จแม่ของเจ้าแน่นอน""ขอบพระคุณพระสนมเฉินกุ้ยเฟย" เมื่อครู่องค์หญิงรองตกใจกลัวจนน้ำตาไหล แต่ตอนนี้น้ำตาที่ไหลนั้นมาจากความดีใจขณะที่มององค์หญิงรองเดินออกจากตำหนักชิงอวิ๋น
แทนที่จะบอกว่าตนปกป้องนาง ควรบอกว่านางปกป้องตนมาโดยตลอดแต่เรื่องเสื้อผ้านี้เป็นปมในใจซ่งชิงเหยียนมาโดยตลอด นางมักจะนึกถึงเรื่องนี้ในกลางดึก จากนั้นก็โทษตัวเองว่าเป็นเพราะตน ทำให้พี่สาวไม่ได้ใส่ชุดที่คนรักมอบให้ในพิธีปักปิ่นต่อมาเมื่อพี่สาวจากไปนางก็มักจะคิดอยู่เสมอว่า เป็นเพราะตนทำเสื้อผ้าชุดนั้นเปื้อนใช่ไหมที่ทำให้พี่สาวของตนไม่ได้ครองรักกับคนที่รักจนแก่เฒ่าแต่ตอนนี้มีคนบอกนางว่า อาจจะมีคนทำให้พี่สาวตายแล้วจะให้นางรับได้อย่างไร?พี่สาวเป็นคนที่แสนดีขนาดนั้น แต่คนพวกนี้กลับคร่าชีวิตนางเพียงเพื่อตำแหน่งและอำนาจเมื่อคิดถึงตรงนี้ น้ำตาของซ่งชิงเหยียนก็ไหลลงมาตามแก้มจิ่นซินและจิ่นอวี้รู้ว่า ตลอดหลายปีมานี้พระสนมฝังในกับการตายของคุณหนูใหญ่มาโดยตลอด ตอนนี้จะให้ไม่เสียใจได้อย่างไร?นิ่งเงียบนานสักพักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ลุกขึ้น ในเมื่อมีคนยื่นมีดมาถึงมือตนแล้ว ทำไมตนจะไม่รับเอาไว้"จิ่นซิน ไปเรียกเหมยหยิ่งกับจู๋อิ่งมา"ไม่นาน เหมยหยิ่งและจู๋อิ่งก็เข้ามาในตำหนักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยปากสั่งทันที "บัดนี้สนมซูผินถูกกักบริเวณที่ตำหนักจูหัว พวกเจ้าไปสอบสวนสนมซูผิน ถา
สนมซูผินขยับกายเล็กน้อยแล้วถอนหายใจพูด "ซิงเสวี่ย เจ้าต้องเข้าใจเสด็จแม่สิ เสด็จแม่แค่คิดว่ารัชทายาทเหอเหลียนเป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้น เจ้าแต่งเข้าไปก็จะได้เป็นพระชายา และได้เป็นฮองเฮาในอนาคต มันคือการแต่งงานที่ดีที่สุดแล้ว"แต่องค์หญิงรองกลับส่ายหัว ราวกับว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก "ลูกสาวมีเรื่องหนึ่งเรื่องที่ไม่เข้าใจ อยากขอเสด็จแม่ช่วยอธิบายให้ที"แต่ไม่ได้รอให้สนมซูผินถามก็เอ่ยปากพูดต่อ "เหตุใดเสด็จแม่ต้องพุ่งเป้าหาเรื่องพระสนมเฉินแบบนั้นด้วย? เป็นเพราะพระสนมเฉินมีตำหน่งสูงกว่าท่านแค่นั้นหรือ?"เมื่อสนมซูผินเห็นว่านางจู่ ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นก็ปรากฏความเลิ่กลั่กขึ้นในแววตาแต่กลับแสร้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วกล่าว "นางเข้าวังมาแค่ห้าปี ไม่ได้เป็นสนมคนโปรดอะไร แค่อาศัยครอบครัวของนางแค่นั้น แค่มีลูกสาวคนเดียวก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระสนมกุ้ยเฟยแล้ว แบบนี้หมายความว่าอะไร?""คงไม่ใช่เพราะว่าเสด็จแม่" องค์หญิงรองมองสนมซูผินอย่างแน่วแน่ ความอ่อนโยนในนัยน์ตาถูกความเย็นชาเข้าแทนที่ "เสด็จแม่ร่วมมือกับพระสนมเต๋อเฟยทำให้ฮองเฮาองค์ก่อนตาย และมีหลักฐานอยู่ในมือของพระสนมเต๋อเฟยจึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าหา
[แต่ท่านแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยสิ เสด็จป้าเป็นพี่สาวของท่านแม่ก่อนถึงค่อนเป็นภรรยา ค่อยเป็นฮองเฮา และค่อยเป็นแม่คน เสด็จป้าต้องอยากให้ท่านแม่มีชีวิตอย่างสบายใจแน่นอน][มีอิสระเหมือนท่านตอนเยาว์วัย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟินอุ้มลู่ซิงหว่านอย่างอดไม่ได้ ส่วนลู่ซิงหว่านก็แค่นึกว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังเสียใจส่วนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยห็ซาบซึ้งในคำพูดของลู่ซิงหว่าน ต้องบอกเลยว่าหวานหว่านนี่ปลอบคนเก่งจริง ๆ แน่นอนว่าตนต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี ไม่ใช่เพื่อจวนติ้งกั๋วโหว ไม่ใช่เพื่อฮ่องเต้ต้าฉู่ และไม่ใช่เพราะเด็ก ๆ พวกนี้ แต่เพื่อตัวเองต่างหาก เพื่อให้ซ่งชิงเหยียนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างอิสระสบายใจขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังซาบซึ้ง จิ่นซินก็เคาะประตูเข้ามา"พระสนม พระสนมหนิงเฟยทรงพระครรภ์แล้วเพคะ" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้าว้างแต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยิ้มอย่างไม่สนใจ "พระสนมหนิงเฟยเข้าวังมานานขนาดนี้แล้ว และยังได้รับควาฒโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกก็ควรท้องได้แล้ว"แต่จิ่นซินกลับอดที่จะบ่นไม่ได้ "พระสนมยังยิ้มได้อีกหรือเพคะ! ตอนนี้พระสนมหนิงเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมาก ถ้าให้กำเนิดองค์ช
เมื่อเห็นฉยงหัวถามเช่นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็รู้ว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือ จึงรีบนั่งตัวตรงและถามอย่างใคร่รู้ “สามารถแยกแยะได้อย่างนั้นเชียวหรือ?”พูดจบก็ชี้ไปทางด้านข้าง “เจ้านั่งลงก่อนเถอะ แล้วค่อยๆ เล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”นางนึกถึงจิ่นซินและจิ่นอวี้ที่อยู่ข้างๆ “พวกเจ้าสองคนก็นั่งลงด้วย ถึงอย่างไรวันนี้พวกเราก็ว่างอยู่แล้ว มิเช่นนั้นฟังคุณหนูแม่นางฉยงหัวเล่าให้พวกเราฟังดีกว่า”“เอ๊ะไม่ถูก จิ่นซินรินน้ำชาให้แม่นางฉยงหัวด้วย”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉยงหัวก็รู้สึกว่าตนเองเลือกนายไม่ผิด นางเป็นคนที่สดใสและใจกว้างอย่างที่ผู้คนพูดถึงจริงๆ ไม่เหมือนกับพระสนมกุ้ยเฟยในนิยายที่เย่อหยิ่งจองหองเลยนางจึงหัวเราะเบาๆ “พระสนมวางใจเถอะเพคะ เพียงแค่ทำให้ร่างกายของพระสนมดูอ่อนแอเล็กน้อย และเมื่อหมอหลวงมาจับชีพจร ก็จะมีอาการตรงกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพระสนมแข็งแรงดีมากเพคะ”“อัศจรรย์ถึงเพียงนี้เลยหรือ” จิ่นซินที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เปล่งประกาย มองฉยงหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “หากเช่นนั้น...ข้าจะป่วยสักสามถึงห้าวันก่อน! ดูสถานการณ
ฉยงหัวไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่อุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาใกล้ตัวอีกนิด แล้วพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ได้ยินว่ามีญาติอยู่ในเมืองชายแดน จึงเดินทางลำบากไปที่นั่นเพคะ”“หม่อมฉันคิดว่าเมืองเล็กๆ น่าจะมีผู้คนซื่อสัตย์ แต่กลับถูกหลอกจนเกือบถูกขายเข้าโรงโสเภณี”“โชคดีที่หม่อมฉันฉลาดหนีออกมาได้ แต่กลับถูกพวกนั้นไล่ล่าตาม แล้วก็โชคดีอีกครั้งที่ได้พบกับติ้งกั๋วโหว เขาช่วยหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันจึงได้ปลอดภัยเพคะ”“หลังจากนั้น หม่อมฉันก็เลิกล้มความคิดที่จะตามหาญาติ แล้วทำงานรับใช้ในค่ายทหาร ก็นับว่ามีทางออกแล้ว ต่อมาได้พบกับองครักษ์เงาของพระสนมที่ไปค่ายทหารทิศบูรพา ท่านโหวจึงส่งหม่อมฉันมากับพวกนางเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้าเมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ “นับว่าเป็นโชคชะตาทีเดียว เจ้าดูสิ ข้าอยู่ในวังหลังนี้ก็ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว จริงๆ แล้วข้าก็ขาดคนที่มีความรู้ทางการแพทย์อยู่”“เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะ หากวันใดเจ้ารู้สึกว่าวังหลวงนี้กักขังเจ้าไว้ ก็บอกข้า ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากวัง”ฉยงหัวได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกายทันที “จริงหรือเพคะ?”แต่แล้วก็รู้สึกว่าตนเองตื่นเต้นเกินไป จึงรีบสงบสติอารมณ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉยงหัวก็เอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าพระนามเต็มขององค์หญิงหวานหว่านคืออะไรหรือเพคะ?”จิ่นซินรีบเข้ามาคล้องแขนฉยงหัว “องค์หญิงของพวกเรามีพระนามว่า ลู่ซิงหว่าน เนื่องจากตอนประสูติมีลางมงคล ฝ่าบาทจึงพระราชทานพระนามว่าองค์หญิงหย่งอัน ทั้งยังพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิงด้วย ในวังหลวงนี้...”ฉยงหัวไม่ได้ฟังสิ่งที่จิ่นซินพูดต่อแล้วชื่อ “ลู่ซิงหว่าน ” ได้ระเบิดขึ้นในหัวของนาง สายตาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองลู่ซิงหว่าน แต่นางก็กดความตกใจในดวงตาเอาไว้เพียงแค่ฝืนยิ้มมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “นั่นดีมากเลยเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตกตะลึงกับยาลูกกลอนที่ฉยงหัวนำมาให้ จึงไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของนาง หันไปสั่งจิ่นอวี้ “จิ่นอวี้ เจ้าไปเชิญหมอหลวงมา เชิญมาสักคนก็พอ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ป่วยจริง”“จิ่นซิน ช่วยข้าจัดเตียงหน่อย พวกเราจะแกล้งป่วยกัน”ก่อนจะหันมาพูดกับฉยงหัว “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ หากเบื่อก็มาหาข้ากับหวานหว่านที่ตำหนักได้”ฉยงหัวยังคงครุ่นคิดเรื่องของลู่ซิงหว่าน จึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วหมุนตัวออกจากตำหนักไปลู่ซิงหว่านมองดูฉยงหัวออกจากห้องไปอย่
แต่ต่อหน้าหมอหลวงหลินก็ต้องแสดงให้สมบทบาท จึงรีบถามอย่างร้อนรน “เป็นไข้หวัดใหญ่หรือ อันตรายหรือไม่?”หมอหลวงหลินจึงหันมามองจิ่นอวี้ “แม่นางวางใจเถิด พระสนมป่วยกะทันหัน ให้ทานยาสักสองสามเม็ดก่อน คงเป็นเพราะพระสนมเหนื่อยล้ามาหลายวัน แล้วไม่รู้ตัวว่าโดนลมเย็นเข้าร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”แล้วหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “พระสนมมีอาการไม่สบายอื่นอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังคงมีท่าทางอ่อนแรงเหมือนเมื่อครู่ “ก็มีอาการปวดหัวบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนน้อยหรือเพราะไข้หวัดใหญ่นี้”หมอหลวงหลินพยักหน้า “พระสนมอย่าได้กังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเขียนใบสั่งยาให้ ให้นางกำนัลข้างกายไปรับยาที่สำนักหมอหลวงมาต้มก็พอ ให้กินยาสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากันพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ หมอหลวงหลินก็เขียนใบสั่งยาเสร็จแล้วส่งให้จิ่นอวี้ “กระหม่อมจะมาตรวจชีพจรพระสนมทุกวัน ส่วนเรื่องอาหาร แม้จะไม่อยากเสวย ก็ควรเสวยบ้าง ควรเสวยอาหารรสจืดจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยหลับตาพริ้ม นอนพิงเตียงเงียบๆ ดูเหมือนจะใช้แรงทั้งหมดลืมตาขึ้น “ขอบคุณหมอหลวงหลินด้วย”หมอหลวงหลินคำนับอีกครั้ง แล้