สนมซูผินขยับกายเล็กน้อยแล้วถอนหายใจพูด "ซิงเสวี่ย เจ้าต้องเข้าใจเสด็จแม่สิ เสด็จแม่แค่คิดว่ารัชทายาทเหอเหลียนเป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้น เจ้าแต่งเข้าไปก็จะได้เป็นพระชายา และได้เป็นฮองเฮาในอนาคต มันคือการแต่งงานที่ดีที่สุดแล้ว"แต่องค์หญิงรองกลับส่ายหัว ราวกับว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก "ลูกสาวมีเรื่องหนึ่งเรื่องที่ไม่เข้าใจ อยากขอเสด็จแม่ช่วยอธิบายให้ที"แต่ไม่ได้รอให้สนมซูผินถามก็เอ่ยปากพูดต่อ "เหตุใดเสด็จแม่ต้องพุ่งเป้าหาเรื่องพระสนมเฉินแบบนั้นด้วย? เป็นเพราะพระสนมเฉินมีตำหน่งสูงกว่าท่านแค่นั้นหรือ?"เมื่อสนมซูผินเห็นว่านางจู่ ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นก็ปรากฏความเลิ่กลั่กขึ้นในแววตาแต่กลับแสร้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วกล่าว "นางเข้าวังมาแค่ห้าปี ไม่ได้เป็นสนมคนโปรดอะไร แค่อาศัยครอบครัวของนางแค่นั้น แค่มีลูกสาวคนเดียวก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระสนมกุ้ยเฟยแล้ว แบบนี้หมายความว่าอะไร?""คงไม่ใช่เพราะว่าเสด็จแม่" องค์หญิงรองมองสนมซูผินอย่างแน่วแน่ ความอ่อนโยนในนัยน์ตาถูกความเย็นชาเข้าแทนที่ "เสด็จแม่ร่วมมือกับพระสนมเต๋อเฟยทำให้ฮองเฮาองค์ก่อนตาย และมีหลักฐานอยู่ในมือของพระสนมเต๋อเฟยจึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าหา
[แต่ท่านแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยสิ เสด็จป้าเป็นพี่สาวของท่านแม่ก่อนถึงค่อนเป็นภรรยา ค่อยเป็นฮองเฮา และค่อยเป็นแม่คน เสด็จป้าต้องอยากให้ท่านแม่มีชีวิตอย่างสบายใจแน่นอน][มีอิสระเหมือนท่านตอนเยาว์วัย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟินอุ้มลู่ซิงหว่านอย่างอดไม่ได้ ส่วนลู่ซิงหว่านก็แค่นึกว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังเสียใจส่วนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยห็ซาบซึ้งในคำพูดของลู่ซิงหว่าน ต้องบอกเลยว่าหวานหว่านนี่ปลอบคนเก่งจริง ๆ แน่นอนว่าตนต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี ไม่ใช่เพื่อจวนติ้งกั๋วโหว ไม่ใช่เพื่อฮ่องเต้ต้าฉู่ และไม่ใช่เพราะเด็ก ๆ พวกนี้ แต่เพื่อตัวเองต่างหาก เพื่อให้ซ่งชิงเหยียนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างอิสระสบายใจขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกำลังซาบซึ้ง จิ่นซินก็เคาะประตูเข้ามา"พระสนม พระสนมหนิงเฟยทรงพระครรภ์แล้วเพคะ" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้าว้างแต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับยิ้มอย่างไม่สนใจ "พระสนมหนิงเฟยเข้าวังมานานขนาดนี้แล้ว และยังได้รับควาฒโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกก็ควรท้องได้แล้ว"แต่จิ่นซินกลับอดที่จะบ่นไม่ได้ "พระสนมยังยิ้มได้อีกหรือเพคะ! ตอนนี้พระสนมหนิงเฟยได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมาก ถ้าให้กำเนิดองค์ช
เมื่อเห็นฉยงหัวถามเช่นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็รู้ว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือ จึงรีบนั่งตัวตรงและถามอย่างใคร่รู้ “สามารถแยกแยะได้อย่างนั้นเชียวหรือ?”พูดจบก็ชี้ไปทางด้านข้าง “เจ้านั่งลงก่อนเถอะ แล้วค่อยๆ เล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่?”นางนึกถึงจิ่นซินและจิ่นอวี้ที่อยู่ข้างๆ “พวกเจ้าสองคนก็นั่งลงด้วย ถึงอย่างไรวันนี้พวกเราก็ว่างอยู่แล้ว มิเช่นนั้นฟังคุณหนูแม่นางฉยงหัวเล่าให้พวกเราฟังดีกว่า”“เอ๊ะไม่ถูก จิ่นซินรินน้ำชาให้แม่นางฉยงหัวด้วย”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉยงหัวก็รู้สึกว่าตนเองเลือกนายไม่ผิด นางเป็นคนที่สดใสและใจกว้างอย่างที่ผู้คนพูดถึงจริงๆ ไม่เหมือนกับพระสนมกุ้ยเฟยในนิยายที่เย่อหยิ่งจองหองเลยนางจึงหัวเราะเบาๆ “พระสนมวางใจเถอะเพคะ เพียงแค่ทำให้ร่างกายของพระสนมดูอ่อนแอเล็กน้อย และเมื่อหมอหลวงมาจับชีพจร ก็จะมีอาการตรงกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพระสนมแข็งแรงดีมากเพคะ”“อัศจรรย์ถึงเพียงนี้เลยหรือ” จิ่นซินที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เปล่งประกาย มองฉยงหัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “หากเช่นนั้น...ข้าจะป่วยสักสามถึงห้าวันก่อน! ดูสถานการณ
ฉยงหัวไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่อุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาใกล้ตัวอีกนิด แล้วพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่ได้ยินว่ามีญาติอยู่ในเมืองชายแดน จึงเดินทางลำบากไปที่นั่นเพคะ”“หม่อมฉันคิดว่าเมืองเล็กๆ น่าจะมีผู้คนซื่อสัตย์ แต่กลับถูกหลอกจนเกือบถูกขายเข้าโรงโสเภณี”“โชคดีที่หม่อมฉันฉลาดหนีออกมาได้ แต่กลับถูกพวกนั้นไล่ล่าตาม แล้วก็โชคดีอีกครั้งที่ได้พบกับติ้งกั๋วโหว เขาช่วยหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันจึงได้ปลอดภัยเพคะ”“หลังจากนั้น หม่อมฉันก็เลิกล้มความคิดที่จะตามหาญาติ แล้วทำงานรับใช้ในค่ายทหาร ก็นับว่ามีทางออกแล้ว ต่อมาได้พบกับองครักษ์เงาของพระสนมที่ไปค่ายทหารทิศบูรพา ท่านโหวจึงส่งหม่อมฉันมากับพวกนางเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้าเมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ “นับว่าเป็นโชคชะตาทีเดียว เจ้าดูสิ ข้าอยู่ในวังหลังนี้ก็ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว จริงๆ แล้วข้าก็ขาดคนที่มีความรู้ทางการแพทย์อยู่”“เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะ หากวันใดเจ้ารู้สึกว่าวังหลวงนี้กักขังเจ้าไว้ ก็บอกข้า ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากวัง”ฉยงหัวได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกายทันที “จริงหรือเพคะ?”แต่แล้วก็รู้สึกว่าตนเองตื่นเต้นเกินไป จึงรีบสงบสติอารมณ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉยงหัวก็เอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าพระนามเต็มขององค์หญิงหวานหว่านคืออะไรหรือเพคะ?”จิ่นซินรีบเข้ามาคล้องแขนฉยงหัว “องค์หญิงของพวกเรามีพระนามว่า ลู่ซิงหว่าน เนื่องจากตอนประสูติมีลางมงคล ฝ่าบาทจึงพระราชทานพระนามว่าองค์หญิงหย่งอัน ทั้งยังพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิงด้วย ในวังหลวงนี้...”ฉยงหัวไม่ได้ฟังสิ่งที่จิ่นซินพูดต่อแล้วชื่อ “ลู่ซิงหว่าน ” ได้ระเบิดขึ้นในหัวของนาง สายตาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองลู่ซิงหว่าน แต่นางก็กดความตกใจในดวงตาเอาไว้เพียงแค่ฝืนยิ้มมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “นั่นดีมากเลยเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตกตะลึงกับยาลูกกลอนที่ฉยงหัวนำมาให้ จึงไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของนาง หันไปสั่งจิ่นอวี้ “จิ่นอวี้ เจ้าไปเชิญหมอหลวงมา เชิญมาสักคนก็พอ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ป่วยจริง”“จิ่นซิน ช่วยข้าจัดเตียงหน่อย พวกเราจะแกล้งป่วยกัน”ก่อนจะหันมาพูดกับฉยงหัว “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ หากเบื่อก็มาหาข้ากับหวานหว่านที่ตำหนักได้”ฉยงหัวยังคงครุ่นคิดเรื่องของลู่ซิงหว่าน จึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วหมุนตัวออกจากตำหนักไปลู่ซิงหว่านมองดูฉยงหัวออกจากห้องไปอย่
แต่ต่อหน้าหมอหลวงหลินก็ต้องแสดงให้สมบทบาท จึงรีบถามอย่างร้อนรน “เป็นไข้หวัดใหญ่หรือ อันตรายหรือไม่?”หมอหลวงหลินจึงหันมามองจิ่นอวี้ “แม่นางวางใจเถิด พระสนมป่วยกะทันหัน ให้ทานยาสักสองสามเม็ดก่อน คงเป็นเพราะพระสนมเหนื่อยล้ามาหลายวัน แล้วไม่รู้ตัวว่าโดนลมเย็นเข้าร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”แล้วหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “พระสนมมีอาการไม่สบายอื่นอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังคงมีท่าทางอ่อนแรงเหมือนเมื่อครู่ “ก็มีอาการปวดหัวบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนน้อยหรือเพราะไข้หวัดใหญ่นี้”หมอหลวงหลินพยักหน้า “พระสนมอย่าได้กังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเขียนใบสั่งยาให้ ให้นางกำนัลข้างกายไปรับยาที่สำนักหมอหลวงมาต้มก็พอ ให้กินยาสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากันพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ หมอหลวงหลินก็เขียนใบสั่งยาเสร็จแล้วส่งให้จิ่นอวี้ “กระหม่อมจะมาตรวจชีพจรพระสนมทุกวัน ส่วนเรื่องอาหาร แม้จะไม่อยากเสวย ก็ควรเสวยบ้าง ควรเสวยอาหารรสจืดจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ตอนนี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยหลับตาพริ้ม นอนพิงเตียงเงียบๆ ดูเหมือนจะใช้แรงทั้งหมดลืมตาขึ้น “ขอบคุณหมอหลวงหลินด้วย”หมอหลวงหลินคำนับอีกครั้ง แล้
“พระสนมเฉินกุ้ยเฟย พระสนมของพวกเรามีข่าวดีแล้วเพคะ ตอนนี้ฝ่าบาททรงอยู่ที่ตำหนักหนิงเหอกับพระสนมของพวกเราเพคะ” อวิ๋นผิงพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ทรงรับสั่งให้เชิญพระสนมไปนั่งเล่นด้วยกันเพคะ!”เมื่ออวิ๋นผิงพูดจบ จิ่นซินแทบจะกลอกตาขึ้นฟ้าลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะบ่น[นางกำนัลเช่นนี้ ต่อไปนายของนางจะเป็นฮองเฮาหรือ? ข้าล่ะเป็นห่วงพระสนมหนิงเฟยจริงๆ!)[ท่านแม่ ข้าขอบอกนะ ตัวละครเช่นนี้ ในนิยายน่ะ รับรองว่าอยู่ไม่เกินสามบทแน่นอน]ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ จิ่นอวี้ก็ถือยากลับมาจากข้างนอกพอดี เห็นจิ่นซินขวางอวิ๋นผิงไว้ที่ประตู ก็เข้าใจทันทีจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางอวิ๋นผิงมาทำไมหรือ?”อวิ๋นผิงอยากจะอวดกับทุกคน จึงยิ้มมองจิ่นอวี้ “พี่สาวไปไหนมาหรือ?”แต่ก็ไม่รอให้จิ่นอวี้ตอบ ก็พูดต่อไปเอง “พระสนมของพวกเรามีข่าวดีแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เชิญพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไปนั่งเล่นด้วยกันเจ้าค่ะ!”[อยากตีนางจังเลย ทำอย่างไรดี? ท่านแม่ ตีนางได้หรือไม่? รอข้าโตขึ้น ต้องตีนางให้ได้แน่ๆ][ทำราวกับตัวเองตั้งครรภ์เองอย่างนั้นแหละ นั่นเป็นลูกของพระสนมหนิงเฟย ไม่ใช่ลูกของนาง นางจะตื่
และในขณะนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็กล่าวอย่างอ่อนแอจากเตียงว่า “ขอบคุณหมอหลวงจ้าวเป็นอย่างมาก”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเคยช่วยแก้ไขปัญหาให้หมอหลวงจ้าวอยู่หลายครั้ง หมอหลวงจ้าวจึงรู้สึกขอบคุณซาบซึ้งนางเป็นอย่างมากอวิ๋นผิงที่อยู่ด้านหลังได้ยินหมอหลวงจ้าวพูดเช่นนั้น และได้ยินเสียงอันอ่อนแอของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงรู้ว่า จิ่นอวี้ไม่ได้โกหก รีบพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่สบาย ก็ขอให้พักผ่อนมาก ๆ บ่าวจะกลับไปยังตำหนักหนิงเหอเพื่อรายงานตัวก่อนนะเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ้มและตอบว่า “เจ้ากลับไปบอกฮ่องเต้และพระสนมหนิงเฟยว่า บัดนี้ร่างกายของข้าไม่สามารถไปแสดงความยินดีได้ ให้พระสนมหนิงเฟยพักผ่อนและดูแลครรภ์ให้ดี”หลังจากอวิ๋นผิงขอบคุณแล้ว ก็รีบวิ่งไปยังตำหนักหนิงเหอเมื่ออวิ๋นผิงกลับถึงตำหนักหนิงเหอเห็นฮ่องเต้กำลังพูดคุยกับพระสนมของตนอยู่ จึงกลืนคำที่จะพูดลงไปและไม่ได้พูดอะไรอีกฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่ข้างๆ เพิ่งสังเกตเห็นนางและถามว่า “นี่คือสาวใช้คนสนิทของเจ้าใช่หรือไม่? เมื่อครู่ทำไมถึงไม่เห็นเจ้า?”อวิ๋นผิงรีบคุกเข่าลงด้วยความรู้สึกผิดและกล่าวว่า “ บ่าวคิดว่าบัดนี้พระสนมกำลังตั้งครรภ์ จึงต้องระมัด