ไหนๆ ก็เสียเวลาไปครึ่งวันแล้ว ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงประทับอยู่ตำหนักชิงอวิ๋นเสวยอาหารค่ำพร้อมกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแต่แล้วในระหว่างนี้ อวิ๋นผิงนางกำนัลคนสนิทของพระสนมหนิงเฟยได้มาถึง“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระสนมเฉินเพคะ พระสนมหนิงเฟยให้หม่อมฉันมาทูลถาม ว่าวันนี้ฝ่าบาทยังทรงปวดพระเศียรหรือไม่ ต้องให้พระสนมมาถวายการนวดหรือเปล่า” อวิ๋นผิงทูลถามด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ลองกดศีรษะของตนดู “วันนี้รู้สึกดีขึ้นมาก ให้พระสนมของเจ้าพักผ่อนสักวันเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเฉินกุ้ยเฟยก่อน”อวิ๋นผิงจึงถวายคำนับแล้วออกไปลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ยืนได้แล้วจ้องมองแผ่นหลังของอวิ๋นผิงที่เดินออกไป[บอกแล้วว่าพระสนมหนิงเฟยแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ก่อนรู้สึกว่านางเป็นคนเย็นชา แต่พอได้เลื่อนขั้นเป็นพระสนมเอก กลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน]ฮ่องเต้ต้าฉู่ซึ่งกำลังคีบผักอยู่ ได้ผ่อนมือช้าลง พร้อมเงี่ยหูฟังคำพูดของลู่ซิงหว่าน[เสด็จพ่อไม่เจอนางแค่วันเดียว ต้องส่งคนมาตามเชียวหรือ][เสด็จแม่แค่มาอยู่กับท่านแม่หนึ่งวัน พระสนมหนิงเฟยก็กลัวว่าเสด็จพ่อจะถูกแย่งไปหรืออย่างไร?][หากเสด็จพ่อทรงปวดหัวจริง ยังไงก็ต้องไปตามนา
“พระสนมเกรงใจไปแล้ว” ฉยงหัวไม่ชอบการเสแสร้ง นิสัยนางเป็นคนตรงไปตรงมา “ท่านพ่อของพระสนมเคยช่วยข้าไว้ ข้าย่อมต้องปกป้องพระสนมอย่างเต็มที่”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจยิ่ง เด็กคนนี้เป็นคนเถรตรง ช่างถูกชะตากับตนนัก “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงวางใจพักอยู่ในตำหนักชิงอวิ๋นได้ หากมีเรื่องอันใด ก็ให้พูดกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ ถ้าพวกนางช่วยไม่ได้ ก็ให้มาพูดคุยกับข้า”ฉยงหัวพยักหน้า เพราะทุกวันนี้ตนก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยดูเป็นคนดี งั้นก็จงอยู่ที่นี่ไปก่อนหลังเสร็จจากอาหารเช้า พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็พาลู่ซิงหว่านไปยังตำหนักเหยียนเหอ เพราะเมื่อวานยังมีเรื่องพูดคุยกับพระสนมหลานเฟยไม่จบ ถูกเรื่องของสนมซูผินมาแทรกซะก่อนเมื่อไปถึงตำหนักเหยียนเหอ พระสนมหลานเฟยก็รีบออกมาต้อนรับ ดึงมือพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามด้วยความห่วงใย “เมื่อวานได้ยินว่าตำหนักเจ้าเกิดเรื่อง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยดึงให้พระสนมหลานเฟยนั่งลงด้วยกัน “ในตำหนักข้ามีหมอหญิงมาใหม่ผู้หนึ่ง เป็นคนซื่อสัตย์นัก ดีที่ได้นางช่วยเหลือไว้”พระสนมหลานเฟยพยักหน้า “ปลอดภัยก็ดีแล้ว”พลางรับตัวลู่ซิงหว่านมาจ
หลายวันนี้ เหมยหลานจู๋จวี๋ทั้งสี่คนต่างง่วนอยู่กับการสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนวันนี้พอได้ข้อมูลครบถ้วน จึงพากันมายังตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ว่าพวกนางมาพร้อมกันคงมีเรื่องสำคัญแน่ จึงปฏิเสธงานอื่นไปก่อน ให้พวกนางมาอยู่ห้องด้านใน“จิ่นซินจิ่นอวี้ พวกเจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้” รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่กล้าละเลยความปลอดภัยเหมยอิ่งเอ่ยปากเป็นคนแรก “หลายวันนี้เราได้ไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ได้ข้อสรุปมาจึงต้องรายงานพระสนมก่อน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านก็ทนไม่ไหวก่อนแล้ว[ที่แท้นี่ก็คือองครักษ์ลับที่อยู่ในหนังสือนิทานหรอกหรือ แต่ก่อนยังคิดว่าเหมยหลานจู๋จวี๋ล้วนแต่อัธยาศัยดี แต่ตอนนี้ทั้งสี่คนมานั่งระแวงภัยอยู่ตรงหนี้ ดูคล้ายกับน่ากลัวมากกว่า][เท่ห์มากเลย][ไว้อีกหน่อยข้ากลับไปก็จะเลี้ยงองครักษ์ลับไว้หลายคนบ้าง ประเภทเรียกเมื่อไหร่ก็มาทันที แถมยังต้องมีวรยุทธ์สูงอีก]เหมยอิงไม่ได้ยินเสียงพูดในใจของลู่ซิงหว่านอยู่แล้ว เพียงเอ่ยปากกล่าวว่า “หลานอิ่งไปสืบเรื่ององค์ชายรัชทายาทมา”เหมยอิ่งกล่าวถึงตรงนี้ หลานอิ่งก็รับช่วงต
ครั้งนี้ถึงคราวลู่ซิงหว่านตกตะลึงบ้าง[เสนาบดีชุยไปทำอะไรกับหนิงซวี่กันแน่ หรือว่าเขาจะโดนคุณไสย? ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่า จะมีคนยอมปกป้องนายจนทำได้ถึงเพียงนี้][ช่างร้ายกาจจริงๆ เสนาบดีชุยผู้นี้ อย่างไรก็อดชมเชยไม่ได้ ลูกสาวเขาเป็นคนโง่ หลานก็โง่เช่นกัน ครอบครัวเขาทั้งบ้านมีเพียงเสนาบดีที่ร้ายกาจเพียงผู้เดียว][แต่ถึงร้ายกาจเพียงไหนก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องตายอยู่ดี]จู๋อิ่งเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่พูดจา จึงได้เอ่ยปากถาม “จะให้กำจัดเจิ้งจงหรือไม่เจ้าคะ?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยส่ายหน้า “อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เจิ้งจงไม่ใช่คนสำคัญอะไร”“คุณหนูพูดถูกแล้ว บ่าวยังสืบไปถึงความเคลื่อนไหวของเขาในหลายวันนี้ พบว่าเจิ้งจงมักติดต่อกับคนชื่อ ‘ซิ่นเทียน’ อยู่เนืองๆ และคนผู้นี้ก็คอยวางแผนให้องค์ชายสามอยู่เบื้องหลังด้วย”“เพียงแต่การติดต่อระหว่างพวกเขาจะใช้จดหมายเสียส่วนใหญ่ ทั้งองค์ชายสามและเจิ้งจงเกรงว่าอาจไม่เคยเห็นโฉมหน้าจริงของคนผู้นี้เสียด้วยซ้ำ”“และคนผู้นี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ แม้แต่เหมยอิ่งก็ยากจะตามทัน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเผยพิรุธออกมา วันหน้าจะจับผ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยกับคำพูดของลู่ซิงหว่าน “ไม่นึกว่าจ้าวหานยวนจะเป็นคนวางแผนเก่งถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าลืมส่งจดหมายถึงพ่อข้า เตือนให้เขาระวังจ้าวหานยวนหน่อย”เหมยอิ่งพยักหน้า หมดเรื่องรายงานแต่เพียงเท่านี้ ทุกคนล่าถอยออกไปพระสนมเฉินกุ้ยเฟยยืนขึ้นบิดเอว หลายวันนี้มีแต่เรื่องราวประเดประดังเข้ามา ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าสมัยไปออกรบอีกหลังจากมองดูลู่ซิงหว่านแล้วก็อดบ่นไม่ได้ “หวานหว่าน แม่รู้สึกเหนื่อยนัก แม่กลับชอบสมัยก่อนที่เป็นเพียงสนมเฉินเฟยมากกว่า อยู่ในวังคนเดียวเงียบๆ”ลู่ซิงหว่านหันหน้ามามองมารดา ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใย พร้อมเดินขึ้นหน้ามา กอดน่องของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไว้[น่าเห็นใจท่านแม่นัก ขอหอมท่านแม่หนึ่งที ตำแหน่งฮองเฮาบ้าบออะไรนั่น ปล่อยให้พระสนมหนิงเฟยเป็นไปเถอะนะ][แม้ลูกจะรู้สึกไม่ค่อยชอบนาง แต่ก็ดีเหมือนกัน เรื่องปวดหัวทั้งหลายเหล่ก็ปล่อยให้นางไปดูแลเอง ท่านแม่เพียงอยู่สบายในวังหลังก็พอแล้ว][ส่วนเสด็จพ่อก็ให้สละตำแหน่งเสีย ยกบัลลังก์ให้พี่ชายรัชทายาทไป เช่นนี้ข้าจะได้พาท่านแม่ออกจากวังแล้ว][ยังมีพี่ฉยงหัวของข้า และยังมีจิ่นซินกับจิ่นอวี้ ยังมีเหมย
พูดประโยคนี้จบ องค์หญิงรองก็เงยหน้ามองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ"พวกเจ้ายังเป็นแค่เด็ก ข้าจะคิดจริงจังกับพวกเจ้าได้อย่างไร?" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางเป็นแบบนี้ก็อดที่จะปลอบใจไม่ได้ "อีกอย่างก็เป็นเรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้วจะพูดถึงมันทำไมอีก?"แต่องค์หญิงรองกลับส่ายหัว "พระสนมเฉินไม่รู้หรอกว่า เรื่องนี้เป็นปมในใจข้าเสมอตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เสด็จพี่ทำเรื่องผิดบาปมากมาย เดิมทีข้าคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเสด็จแม่ของข้า การที่ข้าช่วยนางปกปิดเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกสมควรทำอยู่แล้ว""แต่เมื่อวานตอนที่ข้ามายังตำหนักชิงอวิ๋นและได้ฟังสิ่งที่เสด็จแม่พูดแล้ว ในสายตานาง ข้าคงเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้รักษาอำนาจของนางมาตั้งแต่แรกเลยกระมัง!"ลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะอุทานไม่ได้[ดูสิ! ตาสว่างอีกคนแล้ว สุดท้ายเจ้าก็คิดได้สักทีสินะองค์หญิงท่านนี้][ท่านแม่ของเจ้าน่ะเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้ายอำมหิตมาก ตอนนั้นที่ข้าอ่านนิทาน ตอนแรกคิดว่าการที่นางส่งเจ้าไปแคว้นเยว่เฟิงนั้นเพื่อให้เจ้ามีอนาคตที่ดี แต่ไม่คิดว่าต่อมากลับผลักน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าตกทะเลสาบเพื่อที่จะใส่ร้ายผู้อื่น ถึงแ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงรองอย่างสงสัยเมื่อองค์หญิงรองเห็นก็รีบอธิบายทันที "พระสนมเฉินไม่เชื่อข้าหรือ?"แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหัว "เจ้ารู้ไหม หากเรื่องนี้โยงเกี่ยวเข้ากับเสด็จแม่ของเจ้า ชีวิตของนางอาจไม่รอดก็ได้?"องค์หญิงรองได้ยินก็ก้มหน้าอย่างพ่ายแพ้ "ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าหากข้าเปิดโปงเรื่องนี้แก่พระสนมเฉิน ตอนนี้พระสนมเฉินยังสามารถสอบสวนเสด็จแม่ของข้าได้ทัน และสามารถให้โอกาสนางทำความดีชดเชยความผิด"พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงไป "ขอพระสนมเฉินเห็นแก่ที่ข้าเปิดโปงเรื่องนี้ไว้ชีวิตเสด็จแม่ของข้าด้วยเถิด"และเหมือนกลัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะไม่ตกลกจึงส่ายหัว "ไม่ต้องการตำแหน่งอำนาจอะไรทั้งสิ้น ขอแค่นางมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว"ตอนนี้สมองของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยวุ่นวายมาก อ้าปากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักคำผ่านไปนานสักพัก นางก็เข้าไปพยุงองค์หญิงรองให้ลุกขึ้น "ซิงเสวี่ย ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้วข้าจะช่วยเสด็จแม่ของเจ้าแน่นอน""ขอบพระคุณพระสนมเฉินกุ้ยเฟย" เมื่อครู่องค์หญิงรองตกใจกลัวจนน้ำตาไหล แต่ตอนนี้น้ำตาที่ไหลนั้นมาจากความดีใจขณะที่มององค์หญิงรองเดินออกจากตำหนักชิงอวิ๋น
แทนที่จะบอกว่าตนปกป้องนาง ควรบอกว่านางปกป้องตนมาโดยตลอดแต่เรื่องเสื้อผ้านี้เป็นปมในใจซ่งชิงเหยียนมาโดยตลอด นางมักจะนึกถึงเรื่องนี้ในกลางดึก จากนั้นก็โทษตัวเองว่าเป็นเพราะตน ทำให้พี่สาวไม่ได้ใส่ชุดที่คนรักมอบให้ในพิธีปักปิ่นต่อมาเมื่อพี่สาวจากไปนางก็มักจะคิดอยู่เสมอว่า เป็นเพราะตนทำเสื้อผ้าชุดนั้นเปื้อนใช่ไหมที่ทำให้พี่สาวของตนไม่ได้ครองรักกับคนที่รักจนแก่เฒ่าแต่ตอนนี้มีคนบอกนางว่า อาจจะมีคนทำให้พี่สาวตายแล้วจะให้นางรับได้อย่างไร?พี่สาวเป็นคนที่แสนดีขนาดนั้น แต่คนพวกนี้กลับคร่าชีวิตนางเพียงเพื่อตำแหน่งและอำนาจเมื่อคิดถึงตรงนี้ น้ำตาของซ่งชิงเหยียนก็ไหลลงมาตามแก้มจิ่นซินและจิ่นอวี้รู้ว่า ตลอดหลายปีมานี้พระสนมฝังในกับการตายของคุณหนูใหญ่มาโดยตลอด ตอนนี้จะให้ไม่เสียใจได้อย่างไร?นิ่งเงียบนานสักพักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ลุกขึ้น ในเมื่อมีคนยื่นมีดมาถึงมือตนแล้ว ทำไมตนจะไม่รับเอาไว้"จิ่นซิน ไปเรียกเหมยหยิ่งกับจู๋อิ่งมา"ไม่นาน เหมยหยิ่งและจู๋อิ่งก็เข้ามาในตำหนักพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยปากสั่งทันที "บัดนี้สนมซูผินถูกกักบริเวณที่ตำหนักจูหัว พวกเจ้าไปสอบสวนสนมซูผิน ถา
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ
ถึงอย่างไรก็เป็นพระชายาของพี่ชายองค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกทั้งหานซีเยว่ดีต่อนางมากจริงๆ การเข้าวังครั้งนี้ ยังนําของเล่นพื้นบ้านมาให้นางไม่น้อยเลย[คนดีๆแบบนี้ต้องไม่ตายแน่]คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงหว่านถึงกับขอบตาแดงก่ำ[ในนิยาย หานซีเยว่ตายเพื่อพี่รัชทายาท คงเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องจะมีตัวแปรมากมายขนาดนี้ แต่โชคชะตาของพี่หญิงตระกูลหานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง!][พี่ฉยงหัวต้องรักษาได้แน่ๆ ]ซ่งชิงเหยียนจึงหันไปมองลู่ซิงหว่านที่ดวงตาแดงก่ำ กอดนางไว้ในอ้อมแขนและตบนางเบาๆ “หวานหว่านไม่ต้องกังวล พี่หญิงหานของเจ้าเป็นคนดีขนาดนี้ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”“ฝ่าบาทเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ” ในขณะที่สองแม่ลูกกําลังเสียใจเพราะหานซีเยว่ เสียงของเมิ่งเฉวียนเต๋อก็ดังขึ้นจากข้างนอก“พระมเหสีเสด็จ” ทันทีที่เมิ่งเฉวียนเต๋อพูดจบ ก็มีเสียงของขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นซ่งชิงเหยียนปล่อยลู่ซิงหว่านแล้วจูบนาง “หวานหว่านอยู่ดีๆ นะ แม่จะไปพบเสด็จพ่อดีไหม”ลู่ซิงหว่านพยักหน้าอย่างหนักแน่น แต่ไม่สนใจซ่งชิงเหยียนอีก เพียงมองไปทางหานซีเยว่เมื่อซ่งชิงเหยียนปรากฏตัวที่นอกประตู ทุกคนต่างก็ตกตะลึงแต่โชคร้า
“พี่ไป๋หลิง ตอนนี้เสด็จพี่ไม่อยู่แล้ว คนทั้งวังต่างก็รังแกข้า วันนั้นข้าถูกไอ้เด็กเหลือขอลู่ซิงหว่านรังแกอีกแล้ว” พูดจบประโยค องค์หญิงหกก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งความไม่พอใจในใจของไป๋หลิงเมื่อสักครู่ถูกลู่ซิงหุยแก้ไขทันทีใช่แล้ว ตอนนี้พระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่อยู่แล้ว องค์ชายสามก็ถูกกักบริเวณแล้ว คนที่องค์หญิงหกสามารถพึ่งพาได้มีเพียงตนเองเท่านั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ไป๋หลิงก็ตบหลังองค์หญิงหกเบาๆ “องค์หญิงวางใจเถิด สิ่งใดที่ทําให้องค์หญิงไม่สบายใจ ล้วนต้องได้รับผลกรรม”ในทิศทางที่ลู่ซิงหุยมองไม่เห็น ดวงตาของไป๋หลิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังแม้แต่อิงหงก็ไม่กล้าสบตานางโดยตรง ก้มหน้าลงสิ่งที่ไป๋หลิงพูดในครั้งนี้ถูกต้อง ซ่งชิงเหยียนได้รับ"กรรมตามสนอง" อย่างที่นางพูดอย่างรวดเร็วเมื่อหานซีเยว่ออกจากวัง ซ่งชิงเหยียนก็ไปส่งนางที่ด้านนอก ซ่งชิงเหยียนก็ถูกลอบสังหารที่ถนนนอกตำหนักชิงอวิ๋นได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมากส่วนนางกํานัลที่ลอบสังหารคนนั้น หลังจากลอบสังหารสําเร็จแล้ว ก็ปาดคอตายอยู่บนถนนทันทีข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังอย่างรวดเร็วในเวลานี้ไป๋หลิงกําลังอยู่กับลู่ซิงหุย เมื่อลู่ซิงหุ
ในขณะที่ซ่งชิงเหยียนกําลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับหานซีเยว่ลู่ซิงหุยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมาหลายวันในที่สุดก็ได้พบกับไป๋หลิงทันทีที่ไป๋หลิงเข้าไปในห้องด้านใน ลู่ซิงหุยก็ขว้างถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าเขาไปที่เท้าของนางด้วยความโกรธ "เจ้ายังรู้ว่าจะมา!"“ตอนนี้เจ้าได้รับความโปรดปรานจากหญิงชั่วคนนั้นของฮองเฮาใช่หรือไม่? ลืมเสด็จแม่ของข้าไปจนสิ้นแล้ว!”ลู่ซิงหุยตอนนี้อาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ย่อมรู้ว่าบ่าวไพร่ของตําหนักจิ่นซิ่วเคารพไป๋หลิงเพียงใด และรู้ว่าตอนนี้ในใจของฮองเฮาพึ่งพาไป๋หลิงเป็นอย่างมากนอกจากนี้ไป๋หลิงไม่ได้ปรากฏตัวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงสงสัยส่วนอิงหงที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่ซิงหุย รีบก้าวเข้าไปปิดปากนางอย่างรวดเร็ว “องค์หญิง!”จากนั้นก็ปล่อยมือ “องค์หญิงระวังคําพูด ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่ว ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง”“ฮึ” ลู่ซิงหุยส่งเสียงหึในลําคออย่างเย็นชา แล้วหันไปมองไป๋หลิงที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าช่างเป็นคนที่รู้จักหลบๆ ซ่อนๆ เสียจริง เมื่อก่อนต้องมาที่ตำหนักของข้าทุกวัน”“ตั้งแต่พี่สามถูกเสด็จพ่อกักบริเวณอยู่ในตําหนักฉางชิว เจ้าก็ไม่ปราก