ฉยงหัวอยู่ด้านข้างแอบนินทาในใจ ขณะมองดูแสดงความรักระหว่างฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟย รู้ว่าเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะปกติฮ่องเต้ก็มีสนมมากมายอยู่แล้ว ส่วนแววตาที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองดูฮ่องเต้นั้น ก็หาได้มีความรักแต่อย่างใด ดูคล้ายกับมองดูผู้เป็นนายมากกว่าใช่แล้ว คล้ายกับนายจ้าง ในนิทานก็บอกไว้เช่นนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ชี้นิ้วไปยังสนมซูผิน “จับตัวนัง...”พลันหยุดชะงัก ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบหุบปาก เก็บคำว่า ‘ผู้หญิงหน้าโง่’ เข้าไปทันควัน เกือบถูกหวานหว่านพาให้เสียคนซะแล้ว“ให้นางไปอยู่ในตำหนักจูหัว ห้ามใครเข้าพบเป็นอันขาด รอจนกว่าองค์หญิงรองออกเรือนแล้วค่อยว่าใหม่”กล่าวจับก็ชี้ไปยังเมิ่งฉวนเต๋อ “ถ้ามีอะไรผิดพลาด ข้าจะเล่นงานเจ้า”เมิ่งฉวนเต๋อรีบถวายคำนับ “กระหม่อมจะดูแลอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”พลางเดินขึ้นหน้า ไปถึงข้างกายพระสนมซูผิน “เชิญพระสนมไปได้แล้ว”ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ถอดถอนนาง นางก็ยังเป็นสนมตำแหน่งผินอยู่ เมิ่งฉวนเต๋อจึงต้องให้เกียรติต่อหน้าผู้อื่นบ้างและในเวลานี้ ที่ทางเดินด้านนอกตำหนักชิงอวิ๋น องค์หญิงรองซิงเสวี่ยกำลังเดินเหม่อลอยอยู่นางรู้มานานแล้วว่าเสด็จแม่ไม่
ไหนๆ ก็เสียเวลาไปครึ่งวันแล้ว ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงประทับอยู่ตำหนักชิงอวิ๋นเสวยอาหารค่ำพร้อมกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแต่แล้วในระหว่างนี้ อวิ๋นผิงนางกำนัลคนสนิทของพระสนมหนิงเฟยได้มาถึง“ถวายบังคมฝ่าบาทและพระสนมเฉินเพคะ พระสนมหนิงเฟยให้หม่อมฉันมาทูลถาม ว่าวันนี้ฝ่าบาทยังทรงปวดพระเศียรหรือไม่ ต้องให้พระสนมมาถวายการนวดหรือเปล่า” อวิ๋นผิงทูลถามด้วยความนอบน้อมฮ่องเต้ต้าฉู่ลองกดศีรษะของตนดู “วันนี้รู้สึกดีขึ้นมาก ให้พระสนมของเจ้าพักผ่อนสักวันเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเฉินกุ้ยเฟยก่อน”อวิ๋นผิงจึงถวายคำนับแล้วออกไปลู่ซิงหว่านซึ่งตอนนี้ยืนได้แล้วจ้องมองแผ่นหลังของอวิ๋นผิงที่เดินออกไป[บอกแล้วว่าพระสนมหนิงเฟยแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ก่อนรู้สึกว่านางเป็นคนเย็นชา แต่พอได้เลื่อนขั้นเป็นพระสนมเอก กลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน]ฮ่องเต้ต้าฉู่ซึ่งกำลังคีบผักอยู่ ได้ผ่อนมือช้าลง พร้อมเงี่ยหูฟังคำพูดของลู่ซิงหว่าน[เสด็จพ่อไม่เจอนางแค่วันเดียว ต้องส่งคนมาตามเชียวหรือ][เสด็จแม่แค่มาอยู่กับท่านแม่หนึ่งวัน พระสนมหนิงเฟยก็กลัวว่าเสด็จพ่อจะถูกแย่งไปหรืออย่างไร?][หากเสด็จพ่อทรงปวดหัวจริง ยังไงก็ต้องไปตามนา
“พระสนมเกรงใจไปแล้ว” ฉยงหัวไม่ชอบการเสแสร้ง นิสัยนางเป็นคนตรงไปตรงมา “ท่านพ่อของพระสนมเคยช่วยข้าไว้ ข้าย่อมต้องปกป้องพระสนมอย่างเต็มที่”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจยิ่ง เด็กคนนี้เป็นคนเถรตรง ช่างถูกชะตากับตนนัก “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงวางใจพักอยู่ในตำหนักชิงอวิ๋นได้ หากมีเรื่องอันใด ก็ให้พูดกับจิ่นซินและจิ่นอวี้ ถ้าพวกนางช่วยไม่ได้ ก็ให้มาพูดคุยกับข้า”ฉยงหัวพยักหน้า เพราะทุกวันนี้ตนก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยดูเป็นคนดี งั้นก็จงอยู่ที่นี่ไปก่อนหลังเสร็จจากอาหารเช้า พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็พาลู่ซิงหว่านไปยังตำหนักเหยียนเหอ เพราะเมื่อวานยังมีเรื่องพูดคุยกับพระสนมหลานเฟยไม่จบ ถูกเรื่องของสนมซูผินมาแทรกซะก่อนเมื่อไปถึงตำหนักเหยียนเหอ พระสนมหลานเฟยก็รีบออกมาต้อนรับ ดึงมือพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามด้วยความห่วงใย “เมื่อวานได้ยินว่าตำหนักเจ้าเกิดเรื่อง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยดึงให้พระสนมหลานเฟยนั่งลงด้วยกัน “ในตำหนักข้ามีหมอหญิงมาใหม่ผู้หนึ่ง เป็นคนซื่อสัตย์นัก ดีที่ได้นางช่วยเหลือไว้”พระสนมหลานเฟยพยักหน้า “ปลอดภัยก็ดีแล้ว”พลางรับตัวลู่ซิงหว่านมาจ
หลายวันนี้ เหมยหลานจู๋จวี๋ทั้งสี่คนต่างง่วนอยู่กับการสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนวันนี้พอได้ข้อมูลครบถ้วน จึงพากันมายังตำหนักของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ว่าพวกนางมาพร้อมกันคงมีเรื่องสำคัญแน่ จึงปฏิเสธงานอื่นไปก่อน ให้พวกนางมาอยู่ห้องด้านใน“จิ่นซินจิ่นอวี้ พวกเจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้” รู้ว่ามีเรื่องสำคัญ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงไม่กล้าละเลยความปลอดภัยเหมยอิ่งเอ่ยปากเป็นคนแรก “หลายวันนี้เราได้ไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ได้ข้อสรุปมาจึงต้องรายงานพระสนมก่อน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ลู่ซิงหว่านก็ทนไม่ไหวก่อนแล้ว[ที่แท้นี่ก็คือองครักษ์ลับที่อยู่ในหนังสือนิทานหรอกหรือ แต่ก่อนยังคิดว่าเหมยหลานจู๋จวี๋ล้วนแต่อัธยาศัยดี แต่ตอนนี้ทั้งสี่คนมานั่งระแวงภัยอยู่ตรงหนี้ ดูคล้ายกับน่ากลัวมากกว่า][เท่ห์มากเลย][ไว้อีกหน่อยข้ากลับไปก็จะเลี้ยงองครักษ์ลับไว้หลายคนบ้าง ประเภทเรียกเมื่อไหร่ก็มาทันที แถมยังต้องมีวรยุทธ์สูงอีก]เหมยอิงไม่ได้ยินเสียงพูดในใจของลู่ซิงหว่านอยู่แล้ว เพียงเอ่ยปากกล่าวว่า “หลานอิ่งไปสืบเรื่ององค์ชายรัชทายาทมา”เหมยอิ่งกล่าวถึงตรงนี้ หลานอิ่งก็รับช่วงต
ครั้งนี้ถึงคราวลู่ซิงหว่านตกตะลึงบ้าง[เสนาบดีชุยไปทำอะไรกับหนิงซวี่กันแน่ หรือว่าเขาจะโดนคุณไสย? ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่า จะมีคนยอมปกป้องนายจนทำได้ถึงเพียงนี้][ช่างร้ายกาจจริงๆ เสนาบดีชุยผู้นี้ อย่างไรก็อดชมเชยไม่ได้ ลูกสาวเขาเป็นคนโง่ หลานก็โง่เช่นกัน ครอบครัวเขาทั้งบ้านมีเพียงเสนาบดีที่ร้ายกาจเพียงผู้เดียว][แต่ถึงร้ายกาจเพียงไหนก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องตายอยู่ดี]จู๋อิ่งเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่พูดจา จึงได้เอ่ยปากถาม “จะให้กำจัดเจิ้งจงหรือไม่เจ้าคะ?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยส่ายหน้า “อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เจิ้งจงไม่ใช่คนสำคัญอะไร”“คุณหนูพูดถูกแล้ว บ่าวยังสืบไปถึงความเคลื่อนไหวของเขาในหลายวันนี้ พบว่าเจิ้งจงมักติดต่อกับคนชื่อ ‘ซิ่นเทียน’ อยู่เนืองๆ และคนผู้นี้ก็คอยวางแผนให้องค์ชายสามอยู่เบื้องหลังด้วย”“เพียงแต่การติดต่อระหว่างพวกเขาจะใช้จดหมายเสียส่วนใหญ่ ทั้งองค์ชายสามและเจิ้งจงเกรงว่าอาจไม่เคยเห็นโฉมหน้าจริงของคนผู้นี้เสียด้วยซ้ำ”“และคนผู้นี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ แม้แต่เหมยอิ่งก็ยากจะตามทัน”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเผยพิรุธออกมา วันหน้าจะจับผ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยกับคำพูดของลู่ซิงหว่าน “ไม่นึกว่าจ้าวหานยวนจะเป็นคนวางแผนเก่งถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าลืมส่งจดหมายถึงพ่อข้า เตือนให้เขาระวังจ้าวหานยวนหน่อย”เหมยอิ่งพยักหน้า หมดเรื่องรายงานแต่เพียงเท่านี้ ทุกคนล่าถอยออกไปพระสนมเฉินกุ้ยเฟยยืนขึ้นบิดเอว หลายวันนี้มีแต่เรื่องราวประเดประดังเข้ามา ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเสียยิ่งกว่าสมัยไปออกรบอีกหลังจากมองดูลู่ซิงหว่านแล้วก็อดบ่นไม่ได้ “หวานหว่าน แม่รู้สึกเหนื่อยนัก แม่กลับชอบสมัยก่อนที่เป็นเพียงสนมเฉินเฟยมากกว่า อยู่ในวังคนเดียวเงียบๆ”ลู่ซิงหว่านหันหน้ามามองมารดา ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใย พร้อมเดินขึ้นหน้ามา กอดน่องของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไว้[น่าเห็นใจท่านแม่นัก ขอหอมท่านแม่หนึ่งที ตำแหน่งฮองเฮาบ้าบออะไรนั่น ปล่อยให้พระสนมหนิงเฟยเป็นไปเถอะนะ][แม้ลูกจะรู้สึกไม่ค่อยชอบนาง แต่ก็ดีเหมือนกัน เรื่องปวดหัวทั้งหลายเหล่ก็ปล่อยให้นางไปดูแลเอง ท่านแม่เพียงอยู่สบายในวังหลังก็พอแล้ว][ส่วนเสด็จพ่อก็ให้สละตำแหน่งเสีย ยกบัลลังก์ให้พี่ชายรัชทายาทไป เช่นนี้ข้าจะได้พาท่านแม่ออกจากวังแล้ว][ยังมีพี่ฉยงหัวของข้า และยังมีจิ่นซินกับจิ่นอวี้ ยังมีเหมย
พูดประโยคนี้จบ องค์หญิงรองก็เงยหน้ามองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แววตาเต็มไปด้วยความเสียใจ"พวกเจ้ายังเป็นแค่เด็ก ข้าจะคิดจริงจังกับพวกเจ้าได้อย่างไร?" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนางเป็นแบบนี้ก็อดที่จะปลอบใจไม่ได้ "อีกอย่างก็เป็นเรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้วจะพูดถึงมันทำไมอีก?"แต่องค์หญิงรองกลับส่ายหัว "พระสนมเฉินไม่รู้หรอกว่า เรื่องนี้เป็นปมในใจข้าเสมอตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เสด็จพี่ทำเรื่องผิดบาปมากมาย เดิมทีข้าคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเสด็จแม่ของข้า การที่ข้าช่วยนางปกปิดเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกสมควรทำอยู่แล้ว""แต่เมื่อวานตอนที่ข้ามายังตำหนักชิงอวิ๋นและได้ฟังสิ่งที่เสด็จแม่พูดแล้ว ในสายตานาง ข้าคงเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้รักษาอำนาจของนางมาตั้งแต่แรกเลยกระมัง!"ลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะอุทานไม่ได้[ดูสิ! ตาสว่างอีกคนแล้ว สุดท้ายเจ้าก็คิดได้สักทีสินะองค์หญิงท่านนี้][ท่านแม่ของเจ้าน่ะเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้ายอำมหิตมาก ตอนนั้นที่ข้าอ่านนิทาน ตอนแรกคิดว่าการที่นางส่งเจ้าไปแคว้นเยว่เฟิงนั้นเพื่อให้เจ้ามีอนาคตที่ดี แต่ไม่คิดว่าต่อมากลับผลักน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าตกทะเลสาบเพื่อที่จะใส่ร้ายผู้อื่น ถึงแ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมององค์หญิงรองอย่างสงสัยเมื่อองค์หญิงรองเห็นก็รีบอธิบายทันที "พระสนมเฉินไม่เชื่อข้าหรือ?"แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับส่ายหัว "เจ้ารู้ไหม หากเรื่องนี้โยงเกี่ยวเข้ากับเสด็จแม่ของเจ้า ชีวิตของนางอาจไม่รอดก็ได้?"องค์หญิงรองได้ยินก็ก้มหน้าอย่างพ่ายแพ้ "ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าหากข้าเปิดโปงเรื่องนี้แก่พระสนมเฉิน ตอนนี้พระสนมเฉินยังสามารถสอบสวนเสด็จแม่ของข้าได้ทัน และสามารถให้โอกาสนางทำความดีชดเชยความผิด"พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงไป "ขอพระสนมเฉินเห็นแก่ที่ข้าเปิดโปงเรื่องนี้ไว้ชีวิตเสด็จแม่ของข้าด้วยเถิด"และเหมือนกลัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะไม่ตกลกจึงส่ายหัว "ไม่ต้องการตำแหน่งอำนาจอะไรทั้งสิ้น ขอแค่นางมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว"ตอนนี้สมองของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยวุ่นวายมาก อ้าปากจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกสักคำผ่านไปนานสักพัก นางก็เข้าไปพยุงองค์หญิงรองให้ลุกขึ้น "ซิงเสวี่ย ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้วข้าจะช่วยเสด็จแม่ของเจ้าแน่นอน""ขอบพระคุณพระสนมเฉินกุ้ยเฟย" เมื่อครู่องค์หญิงรองตกใจกลัวจนน้ำตาไหล แต่ตอนนี้น้ำตาที่ไหลนั้นมาจากความดีใจขณะที่มององค์หญิงรองเดินออกจากตำหนักชิงอวิ๋น