เพราะได้รับคำเชิญจากพระสนมเอก ทุกคนจึงไม่กล้าอิดออดชักช้า เพียงไม่ถึงเวลาครึ่งก้านธูป บรรดาคุณหนูก็ถูกจิ่นอวี้พาเข้ามายังโถงกลางของตำหนักชิงอวิ๋นส่วนคุณหนูผู้อื่นนั้น ก็มีนางกำนัลอีกหลายคนพาไปยังตำหนักชิงอวิ๋น หลังจากคารวะพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแล้วค่อยไปต่อที่อุทยานหลวง ยังมีคุณชายอีกหลายคน ก็จะมีคนของรัชทายาทและเหล่าพี่น้องคอยให้การต้อนรับวังหลวงเป็นที่พำนักของฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้บรรดาคุณหนูซึ่งปกติอยู่บ้านมักใช้อำนาจบาตรใหญ่ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามนางกำนัลไปอย่างเงียบ ๆและมีคุณหนูบางคนเพิ่งเคยมาวังหลวงครั้งแรก แม้ปกติอยู่บ้านจะถูกเอาอกเอาใจเพียงไหน เมื่อเข้าวังมาก็ต้องเดินตามนางกำนัลด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่กล้าพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียวเพราะไม่นึกว่าวังหลวงจะโอ่อ่าถึงเพียงนี้ ขนาดเดินอยู่นานถึงครึ่งก้านธูป ก็ยังไม่ถึงตำหนักชิงอวิ๋นสักที ทำเอาเหล่าคุณหนูเริ่มจะเหนื่อยล้าเต็มทีนางกำนัลที่นำหน้าได้รับคำสั่งมาจากพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เมื่อเห็นเหล่าคุณหนูต่างก็เหนื่อยล้า จึงได้ชะลอฝีเท้าลง เพราะไหน ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ช้าหน่อยคงไม่เป็นไรและที่ตำหนักชิงอวิ๋นในเวลานี้ พระสน
ไม่นานนัก คนอื่นก็ตามมาสมทบที่ตำหนักชิงอวิ๋นจิ่นอวี้เข้ามารายงาน “พระสนม คุณหนูทั้งหลายมาถึงแล้วเพคะ”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า พร้อมสั่งจิ่นอวี้ “เอาของเข้ามาได้”จากนั้นก็กล่าวต่อคุณหนูทั้งหลาย “วันนี้ที่เชิญทุกคนมา เพราะมีธุระเรื่องหนึ่ง ข้ารู้สึกถูกชะตากับคุณหนูทุกคน จึงได้เตรียมปิ่นไว้ห้าเล่ม แต่ว่ารูปแบบเหมือนกัน เพื่อมอบให้แก่ทุกคน”ทุกคนรีบลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณพระสนมเพคะ”จึงให้จิ่นซิ่นและจิ่นอวี้ช่วยทุกคนปักปิ่น และหัวเราะด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว สวยมาก”ตื่นเช้ามาวันนี้ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนาน ๆ จะแต่งกายเต็มยศสักครั้ง แม้ว่าจะวุ่นวายซับซ้อน แต่ก็แลดูสวยงามยิ่ง จนทำให้คุณหนูบางคนรู้สึกละอายในตนเอง ที่แท้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นสาวงามที่หาคนเทียบยากยิ่งนักแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็อดชื่นชมไม่ได้[ท่านแม่สวยจัง ข้าอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญยังไม่เคยเห็นใครสวยขนาดนี้มาก่อน อีกหน่อยข้าโตขึ้นก็คงสวยเหมือนท่านแม่ด้วยใช่ไหม]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยื่นหน้าไปหอมแก้มลู่ซิงหว่าน พลางคิดในใจ หวานหว่านของแม่ย่อมเป็นหญิงสาวที่งามที่สุดในโลก“ไปเถอะ เราไปข้างนอกกัน” กล่าวจบก็เดินนำออกไปคุณหน
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง หวานหว่านของตนรู้จักห่วงแม่ถึงเพียงนี้แล้วยังไม่ทันที่รัชทายาทจะมาถึง ฮ่องเต้ต้าฉู่กับพระสนมหนิงเฟยก็มาถึงก่อนทุกคนต่างยืนขึ้นพร้อมถวายบังคมฮ่องเต้ต้าฉู่รับตัวลู่ซิงหว่านมาอุ้มในอ้อมแขน พลางหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “ลำบากเจ้าแล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ้มพลางส่ายหน้า “ฝ่าบาทมาได้อย่างไรเพคะ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงยิ้มแล้วมองดูพระสนมหนิงเฟย “ที่จริงข้าก็ไม่อยากมา แต่หนิงเฟยชวนข้าออกมาเดินเล่นหน่อยน่ะ”“คงมีแต่น้องหญิงหนิงเฟยที่เกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้นะเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวยิ้ม ๆที่ไหนได้ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนฮ่องเต้กลับไม่พอใจ[น่าเห็นใจท่านแม่นัก ถูกคนอื่นแย่งสามีไป ตอนนี้เสด็จพ่อเป็นสวามีของพระสนมหนิงเฟย ไม่ใช่ของท่านแม่อีกแล้ว]ฮ่องเต้ต้าฉู่พลันขมวดคิ้ว เด็กคนนี้ไปเรียนรู้ตรรกะผิดเพี้ยนเหล่านี้มาจากไหนกัน[จู่ ๆ ก็คิดว่าไม่ให้พระสนมหนิงเฟยเป็นฮองเฮาดีกว่า เพราะถ้านางเป็นฮองเฮา อีกหน่อยท่านแม่ไม่ต้องไปถวายบังคมนางหรอกหรือ แค่คิดก็เจ็บใจแทนท่านแม่แล้ว ฮือ ๆ ๆ]คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่หยุดชะงัก หรือว่าหนิงเฟยคือว่าที่ฮองเฮาที
ขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาถึง มีคุณหนูผู้หนึ่งตาไวเห็นนางเข้า จึงรีบเอ่ยปาก “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาแล้ว”คุณหนูอื่น ๆ เพิ่งเห็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาถึง จึงรีบหันมาคุกเข่าคำนับ“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแม้จะร้อนรุ่มในใจ แต่ก็ยังฝืนเก็บงำความรู้สึกไว้ พร้อมถามเสียงเบาโดยไม่รอให้เสิ่นเป่าซวงซึ่งคุกเข่าอยู่ได้เอ่ยปากก่อน หญิงสาวในชุดสีชมพูด้านข้างรีบชิงเอ่ยขึ้น “เรียนพระสนม พวกเราเดินมาถึงตรงนี้ ก็เห็นเสิ่นเป่าซวงกำลังยื้อยุดอยู่กับรัชทายาท ตอแยเขาอยู่เพคะ ช่างทำให้สตรีอย่างพวกเราขายหน้าจริง ๆ”[นี่เป็นใครกัน?]ไม่เพียงแต่ลู่หว่านซิงเท่านั้น แม้แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร แต่กลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ที่เห็นนางไม่รู้กาลเทศะ จึงไม่ได้กล่าวตอบหญิงสาวผู้นั้นยังคงหันหน้ามามองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยความแปลกใจจิ่นอวี้เห็นนางทำเช่นนี้ จึงได้กล่าวตวาด “บังอาจนัก จะกล่าวตอบพระสนม ไม่รายงานชื่อเสียงเรียงนามของตนยังพอว่า ยังกล้าจองมองพระสนมซึ่งหน้าอีก”หญิงผู้นั้นได้ยินดังนี้ จึงรีบคุกเข่าขอขมาทันที “หม่อมฉันเป็นบุตรสาวจางวางกรมขุนนางมีนามว่าหลินอิน เป็นควา
คนอื่นไม่เข้าใจ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยผู้คร่ำหวอดในสนามรบมานานปีมีหรือจะไม่รู้จึงได้หันไปกล่าวกับเสิ่นเป่าซวง “คุณหนูเสิ่นวางใจได้ เรื่องในวันนี้ ต่อให้คนรอบข้างล้วนไม่เชื่อเจ้า ข้าก็เชื่อที่เจ้าพูดมา”เสิ่นเป่าซวงรีบโขกศีรษะด้วยความซาบซึ้งเพียงแต่คำพูดของรัชทายาท ย่อมแสดงถึงความรังเกียจการตอแยของเสิ่นเป่าซวง แม้ปากจะไม่พูด แต่ในใจกลับเชื่อคำพูดของหลินอิงมากกว่าส่วนคนอื่นแม้จะไม่พูดอะไร แต่แววตาก็แสดงออกถึงความรังเกียจนางเสิ่นเป่าซวงเห็นทุกคนเป็นเช่นนี้ จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่คำนับศีรษะไปทางเฉินกุ้ยเฟย พร้อมกับเอ่ยปาก “ขอบคุณพระสนมที่เชื่อใจข้าน้อยเจ้าค่ะ”กล่าวจบก็พุ่งตัวไปยังภูเขาจำลองที่อยู่ด้านข้างทันทีทำเอาคุณหนูทั้งหลายต่างร้องด้วยความตกใจ พร้อมกับถอยหลังกรูดในขณะที่องค์ชายรองตาไวมือไว รีบคว้าตัวเสิ่นเป่าซวงเอาไว้ทัน แต่กลับกระทบถึงแผลเก่าเข้า “คุณหนูเสิ่น ร่างกายผิวพรรณได้จากพ่อแม่ เหตุใดเพียงแค่ข่าวลือเล็กน้อยก็ต้องทำร้ายตัวเองด้วย”เสิ่นเป่าเยี่ยนรีบเดินมาขอบคุณองค์ชายรอง และพยุงน้องสาวให้ยืนขึ้น รั้งตัวเข้าสู่อ้อมอกรัชทายาทเดินมาจับตัวองค์ชายรองไว้พร้อมกับซักถ
เมื่อได้ยินพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้ เสิ่นเป่าซวงซึ่งเดิมก็อ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งน้ำตาร่วงไปใหญ่“คุณหนูเสิ่นน่าจะดูออก ว่ารัชทายาทมิได้มีใจต่อเจ้าเลย หากแม้วันหน้าได้เป็นคู่ครองจริง ก็อาจถูกทิ้งให้เปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ในวังหลังทั้งชาติ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “มิสู้หาคนดีๆ สักคน แล้วอยู่กันอย่างหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครองยังดีกว่า”“หนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครอง?” เสิ่นเป่าซวงเบิ่งตาโพลงพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถอนหายใจ “แม้ว่าอาจหายาก แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมดีกว่าอยู่อย่างเป็นรองผู้อื่น จริงไหม?”“คุณหนูเสิ่นอายุยังน้อย รัชทายาทไม่เหมาะกับเจ้าจริงๆ”เมื่อกล่าวจบ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ไม่เอ่ยปากอีกส่วนเสิ่นเป่าซวงฟังแล้ว ก็มีอาการครุ่นคิดหนักผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเสิ่นเป่าซวงก็หยุดเดิน พร้อมเอ่ยปาก “ขอบคุณพระสนมที่ชี้แนะ ข้าจะกลับไปหาพี่สาวตระกูลหาน แล้วอธิบายให้นางเข้าใจ พระสนมว่าดีหรือไม่?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนิสัยนางเป็นคนเฉียบขาด มีความคล้ายกับตนเองนัก จึงได้พยักหน้ายิ้มๆ “รีบไปเถอะ!”รอจนเสิ่นเป่าซวงเดินไปแล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดถอนหายใจไม่ได้ “เป็นผู้หญิงช
หานซีเยว่หันมายิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร หันมาคล้องแขนของพวกนางไว้ “ไปเถอะ เราไปชมดอกไม้กัน อุทยานหลวงสวยงามถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ชมให้ทั่ว มิเท่ากับเสียทีที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยอุตส่าห์เชื้อเชิญหรอกหรือ”หรงเหวินเมี่ยวกับเหออวี่เหยาแม้จะไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้พี่หานยังดูมีความกังวลใจอยู่ แต่พอมาคุยกับเสิ่นเป่าซวงแล้ว จู่ๆ คล้ายกับสบายใจขึ้นมากรอจนพวกนางเดินจากไปแล้ว ทางเดินด้านหลังกลับมีนายบ่าวสองคนปรากฏตัวขึ้น ก็คือพระสนมหนิงเฟยกับสาวใช้“พระสนม ดูเหมือนว่าคุณหนูหานจะปรับความเข้าใจกับคุณหนูรองแห่งตระกูลเสิ่นแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวพระสนมหนิงเฟยยิ้มรางๆ ในมือถือของเล่นชิ้นหนึ่ง พลางกล่าวเสียงเบา “อย่างน้อยก็ทำให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยหมดห่วง”หลังงานสังสรรค์เทศกาลฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยจึงเชิญองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรองมายังตำหนักของตนวันนี้ลู่ซิงหว่านตื่นแต่เช้าตรู่ ท่านแม่อุตส่าห์เป็นแม่สื่อด้วยตนเอง นางย่อมต้องมีส่วนร่วมบ้าง“ในวันงานสังสรรค์เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ พวกเจ้าได้อะไรบ้างหรือไม่?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยเอ่ยปากถามสองพี่น้อง“ข้าไม่ได้สังเก
เมื่อเห็นรัชทายาทอาสาไปสำรวจทุกท้องที่ องค์ชายรองก็รีบออกมาคัดค้าน “ไม่ได้เด็ดขาด เสด็จพี่เป็นถึงรัชทายาท ควรต้องอยู่ในเมืองหลวง คอยช่วยงานเสด็จพ่อ จะออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร?”กล่าวจบก็หันไปคารวะฮ่องเต้ต้าฉู่ “เสด็จพ่อ ถ้าไงให้กระหม่อมและซื่อจื่อเผยฉู่เยี่ยนไปด้วยกัน พร้อมกับองครักษ์อีกหลายคน จะได้ดูแลความปลอดภัยให้เราได้”รัชทายาทมองดูองค์ชายรอง สายตาเต็มไปด้วยความตื้นตัน วันก่อนเสด็จป้ามาที่ตำหนักของตน ได้บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระสนมหลานให้ฟังบอกว่าจิ่นหยูตัดสินใจจะเป็นผู้ช่วยของตน หนทางเบื้องหน้าไม่ว่าจะขรุขระเพียงไหน เขาก็จะอยู่เคียงข้างตลอดไปอีกอย่างพระสนมหลานเฟยล้มป่วยอย่างมีเงื่อนงำ ให้ตนส่งองครักษ์ลับคอยปกป้องจิ่นหยูไว้ให้ดีก่อนหน้านี้ตนรู้สึกได้ว่า จิ่นหยูค่อนข้างห่างเหินกับตน ยังเคยคิดว่าหากตนยอมสละตำแหน่งรัชทายาท ให้จิ่นหยูขึ้นแทนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่หากตนยังคิดอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทต่อไป จิ่นหยูก็ไม่ควรจะมาแย่งชิงกับตนอีกเหตุพลิกผันของเรื่องนี้ ย่อมอยู่ที่ตอนอยู่วัดหมิงจิ้ง จิ่นหยูมาช่วยต้านรับดาบแทนตน ตอนนั้นตนยังนึกสงสัยเขา กระทั่งระแวงว่าจะเป็นแผนยอมเจ็บตั