เมื่อได้ยินพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้ เสิ่นเป่าซวงซึ่งเดิมก็อ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งน้ำตาร่วงไปใหญ่“คุณหนูเสิ่นน่าจะดูออก ว่ารัชทายาทมิได้มีใจต่อเจ้าเลย หากแม้วันหน้าได้เป็นคู่ครองจริง ก็อาจถูกทิ้งให้เปล่าเปลี่ยวเดียวดายอยู่ในวังหลังทั้งชาติ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “มิสู้หาคนดีๆ สักคน แล้วอยู่กันอย่างหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครองยังดีกว่า”“หนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครอง?” เสิ่นเป่าซวงเบิ่งตาโพลงพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถอนหายใจ “แม้ว่าอาจหายาก แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมดีกว่าอยู่อย่างเป็นรองผู้อื่น จริงไหม?”“คุณหนูเสิ่นอายุยังน้อย รัชทายาทไม่เหมาะกับเจ้าจริงๆ”เมื่อกล่าวจบ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ไม่เอ่ยปากอีกส่วนเสิ่นเป่าซวงฟังแล้ว ก็มีอาการครุ่นคิดหนักผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเสิ่นเป่าซวงก็หยุดเดิน พร้อมเอ่ยปาก “ขอบคุณพระสนมที่ชี้แนะ ข้าจะกลับไปหาพี่สาวตระกูลหาน แล้วอธิบายให้นางเข้าใจ พระสนมว่าดีหรือไม่?”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นนิสัยนางเป็นคนเฉียบขาด มีความคล้ายกับตนเองนัก จึงได้พยักหน้ายิ้มๆ “รีบไปเถอะ!”รอจนเสิ่นเป่าซวงเดินไปแล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดถอนหายใจไม่ได้ “เป็นผู้หญิงช
หานซีเยว่หันมายิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร หันมาคล้องแขนของพวกนางไว้ “ไปเถอะ เราไปชมดอกไม้กัน อุทยานหลวงสวยงามถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ชมให้ทั่ว มิเท่ากับเสียทีที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยอุตส่าห์เชื้อเชิญหรอกหรือ”หรงเหวินเมี่ยวกับเหออวี่เหยาแม้จะไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้พี่หานยังดูมีความกังวลใจอยู่ แต่พอมาคุยกับเสิ่นเป่าซวงแล้ว จู่ๆ คล้ายกับสบายใจขึ้นมากรอจนพวกนางเดินจากไปแล้ว ทางเดินด้านหลังกลับมีนายบ่าวสองคนปรากฏตัวขึ้น ก็คือพระสนมหนิงเฟยกับสาวใช้“พระสนม ดูเหมือนว่าคุณหนูหานจะปรับความเข้าใจกับคุณหนูรองแห่งตระกูลเสิ่นแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวพระสนมหนิงเฟยยิ้มรางๆ ในมือถือของเล่นชิ้นหนึ่ง พลางกล่าวเสียงเบา “อย่างน้อยก็ทำให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยหมดห่วง”หลังงานสังสรรค์เทศกาลฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยจึงเชิญองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรองมายังตำหนักของตนวันนี้ลู่ซิงหว่านตื่นแต่เช้าตรู่ ท่านแม่อุตส่าห์เป็นแม่สื่อด้วยตนเอง นางย่อมต้องมีส่วนร่วมบ้าง“ในวันงานสังสรรค์เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ พวกเจ้าได้อะไรบ้างหรือไม่?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกุ้ยเฟยเอ่ยปากถามสองพี่น้อง“ข้าไม่ได้สังเก
เมื่อเห็นรัชทายาทอาสาไปสำรวจทุกท้องที่ องค์ชายรองก็รีบออกมาคัดค้าน “ไม่ได้เด็ดขาด เสด็จพี่เป็นถึงรัชทายาท ควรต้องอยู่ในเมืองหลวง คอยช่วยงานเสด็จพ่อ จะออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร?”กล่าวจบก็หันไปคารวะฮ่องเต้ต้าฉู่ “เสด็จพ่อ ถ้าไงให้กระหม่อมและซื่อจื่อเผยฉู่เยี่ยนไปด้วยกัน พร้อมกับองครักษ์อีกหลายคน จะได้ดูแลความปลอดภัยให้เราได้”รัชทายาทมองดูองค์ชายรอง สายตาเต็มไปด้วยความตื้นตัน วันก่อนเสด็จป้ามาที่ตำหนักของตน ได้บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระสนมหลานให้ฟังบอกว่าจิ่นหยูตัดสินใจจะเป็นผู้ช่วยของตน หนทางเบื้องหน้าไม่ว่าจะขรุขระเพียงไหน เขาก็จะอยู่เคียงข้างตลอดไปอีกอย่างพระสนมหลานเฟยล้มป่วยอย่างมีเงื่อนงำ ให้ตนส่งองครักษ์ลับคอยปกป้องจิ่นหยูไว้ให้ดีก่อนหน้านี้ตนรู้สึกได้ว่า จิ่นหยูค่อนข้างห่างเหินกับตน ยังเคยคิดว่าหากตนยอมสละตำแหน่งรัชทายาท ให้จิ่นหยูขึ้นแทนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่หากตนยังคิดอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทต่อไป จิ่นหยูก็ไม่ควรจะมาแย่งชิงกับตนอีกเหตุพลิกผันของเรื่องนี้ ย่อมอยู่ที่ตอนอยู่วัดหมิงจิ้ง จิ่นหยูมาช่วยต้านรับดาบแทนตน ตอนนั้นตนยังนึกสงสัยเขา กระทั่งระแวงว่าจะเป็นแผนยอมเจ็บตั
“นางชุยตายแล้วเพคะ”‘อ๊อค’ โจ๊กที่อยู่ในปากลู่สิงหว่านถูกสำรอกออกมาจนสิ้นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ตกใจเสียจนช้อนในมือร่วงลงพื้น พร้อมกับลุกขึ้นยืน ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก[พระสนมเต๋อเฟยถูกทรมานในตำหนักเย็นจนเสียชีวิตหรืออย่างไร หรือว่านางท้อใจเต็มที คิดว่าเสด็จพ่อไม่รักอีกแล้ว จึงได้คิดสั้นฆ่าตัวตาย?][นางเป็นคนยึดติดในอำนาจถึงเพียงนั้น จะคิดสั้นง่ายๆ ได้ยังไงกัน]ไม่ทันรอให้พระสนมเฉินเฟยเอ่ยปาก จิ่นสินก็ได้พูดต่ออีก “สนมฟางกุ้ยเหรินที่อยู่ตำหนักผู่เหวิน ก็ตายแล้วเช่นกัน”“อะไรนะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ่งตะลึงซ้ำอีก[หรือว่าตำหนักเย็นเกิดไฟไหม้ จนทำให้ทั้งคู่ถูกไฟคลอกตายพร้อมกัน พี่จิ่นสินเล่าต่อเร็วเข้าสิ]ลู่สิงหว่านรีบยกไม้ยกมือ เป็นสื่อให้จิ่นสินพูดต่อเร็วๆ จิ่นอวี้อยู่ด้านข้างก็ทนรอไม่ไหว “จิ่นสิน เล่าต่อเร็วเข้า”“สาเหตุแท้จริงบ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อครู่นี้ทหารที่ตำหนักผู่เหวินมาแจ้ง ว่าสาวใช้ของสนมฟางกุ้ยเหรินบอกว่า ทั้งพระสนมเต๋อเฟยและสนมฟางกุ้ยเหรินต่างไม่รู้สึกตัวทั้งคู่ ให้รีบไปตามหมอหลวง”“แล้วหมอหลวงไปถึงหรือยัง?”“ทหารไปถึงสำนักหมอหลวง และให้หมออีกคนหนึ่งมา
เมื่อหมอหลวงเห็นพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาก็รีบเข้าไปทำความเคารพ "ทูลพระสนม ไม่รอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็พูดว่า "เชิญหมอหลวงหลินออกมากับข้าหน่อย"จากนั้นก็พาหมอหลวงหลินเดินไปข้างๆ ตรงที่ไม่มีใครอยู่สองสามก้าวแล้วจึงถามว่า "เกิดอะไรขึ้น"หมอหลวงหลินรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เขาพูดอย่างจริงจังว่า "ดูจากบาดแผลของแม่นางชุยแล้วเหมือนถูกรัดคอตาย ส่วนสนมฟางกุ้ยเหรินน่าจะฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้าแล้วกำชับว่า "อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเล่า"หมอหลวงหลินอยู่ในวังมานานแล้ว เขารู้ว่าควรทำอย่างไร จึงเอ่ยตอบว่า "วันนี้กระหม่อมดูแล้วสนมทั้งสองเหมือนกินอะไรผิดไป เรียกหมอหลวงเรียกไม่ทันเวลา ก็เลย..." .พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า นางพอใจกับคําตอบนี้มาก จึงสั่งให้จิ่นซินให้รางวัลกับหมอหลวงหลินและส่งหมอหลวงหลินกลับไป"จิ่นซิน ไปตามไป๋เวยมาที" ตอนนี้ไป๋จื่อจัดว่าไม่มีสติเท่าไหร่ จึงไม่สามารถคุยกับเธอได้ลู่ซิงหว่านที่ถูกจิ่นอวี้อุ้มไว้ในอ้อมแขนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ[ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริง ๆ ผู้หญิงที่ในหนังสือนิทานวี๊ดว
ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่น[นางกำนัลคนนี้พูดอะไรแปลกจริง คนระดับพระสนมพระสนมเต๋อเฟย แม้ว่าตอนนี้นางจะตกอับ แต่ก็ยังมีองค์หญิงองค์ชายอยู่ด้วย เหตุใดต้องมาเอาใจเจ้านายของพวกเจ้าด้วย?][เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ อะไรนะ อ๋อ ใช่แล้ว ดึงมาเป็นพวก][แต่เต๋อเฟยจะดึงกุ้ยเหรินมาเป็นพวกทำไมกัน มันจะมีประโยชน์ต่อนางอย่างไร]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะต้องครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ด้วยนิสัยของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว นางจะดูถูกคนที่ต่ำชั้นกว่าอย่างฟางกุ้ยเหริน แล้วทําไมต้องดึงนางมาเป็นพวกด้วยล่ะเซียงอวิ๋นก็พูดต่อว่า “มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตอนเช้ามืด เมื่อคืนเจ้านายของเรานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน บ่าวอยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงเจ้านายพลิกตัวไปมา เมื่อใกล้รุ่งสางนางก็เลยลุกขึ้นมาเสียและจะไปพบสาวพระสนมเต๋อเฟย บ่าวก็พยายามเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล""ครั้งนี้ก็ไม่ยอมให้บ่าวตามเข้าไป แต่ไม่คิดว่า... จะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้""ใครเป็นคนเจอคนแรก" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดถามไม่ได้"หา" เซียงอวิ๋นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นางหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามถึงอะไร "เมื่อเห็นว่าฟ้าสาง
แน่นอนว่าลู่ซิงหว่านต้องทนโมโหไม่ไหว[พระสนมเต๋อเฟยนี่ก็จริง ๆ เลย เมื่อก่อนก็คอยยุแยงตะแคงรั่วเสด็จพ่อกับท่านแม่ของข้าในวังหลัง มาตอนนี้เข้ามาอยู่ในวังเย็นนี้แล้วก็ไม่วายไม่ได้เจอกัน ก็ดันไปยุแยงคนอื่นอีก][วันหลังต้องให้ท่านแม่ค้นตำหนักของท่านให้ดี ๆ ดูสิว่าท่านได้ปั้นตุ๊กตาท่านแม่ข้าหรือไม่][ท่านแม่ ท่านต้องมีสตินะเพคะ ต้องตรวจดูให้ดี ๆ องค์ชายสามนั่น ข้าก็ว่าเขาก็ดูเจตนาไม่ดีเลย ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงกลับใจหันมาจงรักภักดีต่อพี่ใหญ่ได้ ข้าว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแน่]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็คิดตามคำพูดของหวานหว่าน แม้ว่าหลาย ๆ เหตุการณ์จะหลีกเลี่ยงไปได้เพราะความช่วยเหลือของหวานหว่าน แต่ดูเหมือนว่าจะมีตัวแปรอื่นเกิดขึ้นมากมาย แม้กระทั่งมีคนหวานหว่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนโผล่เข้ามาหลายคน ตอนนี้ได้แต่ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ต้องค่อย ๆ ดูกันไปทีละย่างก้าวแบบนี้จึงจะสามารถปกป้องตัวเองและหวานหว่านในวังนี้ได้แล้วนางก็เอ่ยปากถามอีกว่า "ช่วงหลายวันมานี้ยังมีอะไรผิดปกติอีกไหม?""ทูลพระสนม ไม่มีแล้วเพคะ" เซียงอวิ๋นส่ายหัว แต่ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อีก "แต่เมื
จิ่นซินเห็นว่าในสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความกังวล จึงรีบไปทำตามรับคําสั่งจิ่นอวี้ก็อุ้มลู่ซิงหว่านเดินตามหลังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไปเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรแต่ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนของนางกลับมีความสุขสนุกสนาน[น่าตื่นเต้นดีจริง ๆ วันนี้ช่างน่าตื่นเต้น ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญของเรื่องนี้จะอยู่ที่นางกำนัลคนนั้น นางต้องไปบอกอะไรกับสนมฟางกุ้ยเหรินแน่ ๆ เลยทำให้นางจู่ ๆ ก็เป็นบ้าขึ้นมา][ตอนกลางวันกลางวันยังคุยกับพระสนมเต๋อเฟยอย่างมีความสุขกันอยู่เลย พริบตาเดียวกลับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังถึงกับตายไปด้วยกัน][เมื่อก่อนการต่อสู้ของนางในวังหลังในหนังสือนิทานก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการวางกลอุบายแกล้งกัน เอาชีวิตแลกด้วยชีวิตแบบนี้นับว่า... นับว่ายากนักที่จะมี]ในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยกับความคิดของลู่ซิงหว่าน นางกำนัลคนนั้นเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้เพียงแต่ว่านี้วังใหญ่ขนาดนี้จะไปหาเจอได้อย่างไรจะทูลเล่าเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบหรือไม่เมื่อกลับไปถึงตำหนักชิงอวิ๋น เหมยหลายจู๋จวี๋ก็มารออยู่ในตำหนักแล้วแม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะชอบเล่น แต่ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เรียกเหมยหลานจู๋จ
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ