ลู่ซิงหว่านอดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่น[นางกำนัลคนนี้พูดอะไรแปลกจริง คนระดับพระสนมพระสนมเต๋อเฟย แม้ว่าตอนนี้นางจะตกอับ แต่ก็ยังมีองค์หญิงองค์ชายอยู่ด้วย เหตุใดต้องมาเอาใจเจ้านายของพวกเจ้าด้วย?][เขาเรียกว่าอะไรแล้วนะ อะไรนะ อ๋อ ใช่แล้ว ดึงมาเป็นพวก][แต่เต๋อเฟยจะดึงกุ้ยเหรินมาเป็นพวกทำไมกัน มันจะมีประโยชน์ต่อนางอย่างไร]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะต้องครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ด้วยนิสัยของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว นางจะดูถูกคนที่ต่ำชั้นกว่าอย่างฟางกุ้ยเหริน แล้วทําไมต้องดึงนางมาเป็นพวกด้วยล่ะเซียงอวิ๋นก็พูดต่อว่า “มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตอนเช้ามืด เมื่อคืนเจ้านายของเรานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน บ่าวอยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงเจ้านายพลิกตัวไปมา เมื่อใกล้รุ่งสางนางก็เลยลุกขึ้นมาเสียและจะไปพบสาวพระสนมเต๋อเฟย บ่าวก็พยายามเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล""ครั้งนี้ก็ไม่ยอมให้บ่าวตามเข้าไป แต่ไม่คิดว่า... จะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้""ใครเป็นคนเจอคนแรก" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดถามไม่ได้"หา" เซียงอวิ๋นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นางหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถามถึงอะไร "เมื่อเห็นว่าฟ้าสาง
แน่นอนว่าลู่ซิงหว่านต้องทนโมโหไม่ไหว[พระสนมเต๋อเฟยนี่ก็จริง ๆ เลย เมื่อก่อนก็คอยยุแยงตะแคงรั่วเสด็จพ่อกับท่านแม่ของข้าในวังหลัง มาตอนนี้เข้ามาอยู่ในวังเย็นนี้แล้วก็ไม่วายไม่ได้เจอกัน ก็ดันไปยุแยงคนอื่นอีก][วันหลังต้องให้ท่านแม่ค้นตำหนักของท่านให้ดี ๆ ดูสิว่าท่านได้ปั้นตุ๊กตาท่านแม่ข้าหรือไม่][ท่านแม่ ท่านต้องมีสตินะเพคะ ต้องตรวจดูให้ดี ๆ องค์ชายสามนั่น ข้าก็ว่าเขาก็ดูเจตนาไม่ดีเลย ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงกลับใจหันมาจงรักภักดีต่อพี่ใหญ่ได้ ข้าว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแน่]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็คิดตามคำพูดของหวานหว่าน แม้ว่าหลาย ๆ เหตุการณ์จะหลีกเลี่ยงไปได้เพราะความช่วยเหลือของหวานหว่าน แต่ดูเหมือนว่าจะมีตัวแปรอื่นเกิดขึ้นมากมาย แม้กระทั่งมีคนหวานหว่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนโผล่เข้ามาหลายคน ตอนนี้ได้แต่ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ต้องค่อย ๆ ดูกันไปทีละย่างก้าวแบบนี้จึงจะสามารถปกป้องตัวเองและหวานหว่านในวังนี้ได้แล้วนางก็เอ่ยปากถามอีกว่า "ช่วงหลายวันมานี้ยังมีอะไรผิดปกติอีกไหม?""ทูลพระสนม ไม่มีแล้วเพคะ" เซียงอวิ๋นส่ายหัว แต่ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อีก "แต่เมื
จิ่นซินเห็นว่าในสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความกังวล จึงรีบไปทำตามรับคําสั่งจิ่นอวี้ก็อุ้มลู่ซิงหว่านเดินตามหลังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไปเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรแต่ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนของนางกลับมีความสุขสนุกสนาน[น่าตื่นเต้นดีจริง ๆ วันนี้ช่างน่าตื่นเต้น ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญของเรื่องนี้จะอยู่ที่นางกำนัลคนนั้น นางต้องไปบอกอะไรกับสนมฟางกุ้ยเหรินแน่ ๆ เลยทำให้นางจู่ ๆ ก็เป็นบ้าขึ้นมา][ตอนกลางวันกลางวันยังคุยกับพระสนมเต๋อเฟยอย่างมีความสุขกันอยู่เลย พริบตาเดียวกลับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังถึงกับตายไปด้วยกัน][เมื่อก่อนการต่อสู้ของนางในวังหลังในหนังสือนิทานก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการวางกลอุบายแกล้งกัน เอาชีวิตแลกด้วยชีวิตแบบนี้นับว่า... นับว่ายากนักที่จะมี]ในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยกับความคิดของลู่ซิงหว่าน นางกำนัลคนนั้นเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้เพียงแต่ว่านี้วังใหญ่ขนาดนี้จะไปหาเจอได้อย่างไรจะทูลเล่าเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบหรือไม่เมื่อกลับไปถึงตำหนักชิงอวิ๋น เหมยหลายจู๋จวี๋ก็มารออยู่ในตำหนักแล้วแม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะชอบเล่น แต่ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เรียกเหมยหลานจู๋จ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่เสด็จเข้ามา พระสนมเฉินกุ้ยเฟยซึ่งรอคอยมานานก็รีบลุกขึ้นมาทักทายว่า "ถวายบังคมฝ่าบาท"ฮ่องเต้ต้าฉู่ก้าวไปข้างหน้าและจับมือนาง "ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาที่ห้องทรงอักษรได้"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา แต่ก็ได้แต่รอยยิ้มอันขมขื่นฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นนางแบบนี้ ก็หันไปรับลู่ซิงหว่านมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า "เกิดอะไรขึ้นหรือ?""พระสนมเต๋อเฟยเสียแล้ว" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตอบอย่างขมขื่นและไม่ได้สังเกตว่าตัวเองไม่ได้ใช้คําพูดให้เกียรติ"อะไรนะ" ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่เพิ่งนั่งลงก็เด้งขึ้นมาทันที สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อจิ่นอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ รีบไปรับลู่ซิงหว่านมา กลัวว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะตื่นตระหนกจนเผลอทำนางเจ็บพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดจบก็หันไปมองเมิ่งฉวนเต๋อ "มหาขันทีเมิ่ง ให้คนอื่นออกไปก่อน!"จากนั้นก็มองไปที่จิ่นอวี้อีกครั้ง "เจ้าก็พาหวานหว่านออกไปก่อนเถอะ"เมิ่งฉวนเต๋อมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่กำลังงุนงง เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ตอบสนอง เขาจึงทำตามคำสั่งของพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟย กลับหลังหันและพาคนอื่นออกไป"เมื่อเช้าวันนี้องครักษ์ของตำหนักผู่เหวินมา
สีหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเปลี่ยนไปทันที "นางเป็นฆาตกร การที่ให้ฝังนางในฐานะกุ้ยเหรินก็เพราะเห็นแค่หน้าพ่อของนาง""ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ แล้วเรื่องนี้จะตรวจสอบต่อไปหรือไม่เพคะ""ตรวจสอบ ไปตรวจสอบมาให้ข้า!" ฮ่องเต้ต้าฉู่พุดลุกขึ้นและตรัสด้วยความโหดเหี้ยม แต่แล้วก็นั่งลงไปใหม่ "เจ้าส่งคนไปตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ ส่งไปแค่คนสองคนพอ อย่ากระโตกกระตาก""หม่อมข้าเข้าใจเพคะ" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยทำความเคารพ "เช่นนั้นหม่อมข้ากลับตำหนักไปจัดการเรื่องนี้ก่อนนะเพคะ"เสร็จแล้วก็ออกจากห้องทรงอักษร"พระสนม ฝ่าบาททรงว่าอย่างไรเพคะ" จิ่นอวี้ที่อุ้มลูกซิงหว่านอยู่เมื่อเห็นพระสนมออกมาก็รีบถามว่า "ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดหรือเพคะ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยส่ายหัวตอบว่า "เรื่องในราชวงศ์ย่อมต้องรักษาหน้าตาให้ดูดีไว้ก่อน"ลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดส่ายหัวไม่ได้[เกิดในราชวงศ์ต้องไร้ความปราณีและไร้ความปรารถนาจริง ๆ สินะ เห็นเหมือนเสด็จพ่อจะชอบพระสนมเต๋อเฟยมาก แต่พอนางตายแล้ว กลับแค่พูดประโยคเดียวว่า "เอาล่ะ" ก็เปลี่ยนบทแล้ว]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็แอบตอบในใจว่า ก็ใช่น่ะสิ เสด็จพ่อของเจ้าหลั่งน้ำตาออกมาตั้งหลายหยด
องค์ชายสามไม่ได้คิดว่าเรื่องจะพัฒนามาถึงขนาดนี้ หลังจากได้ยินการตัดสินใจของฮ่องเต่ต้าฉู่ องค์ชายสามที่อยู่ในตำหนักฉางชิวก็โมโหขึ้นมาทันทีเจิ้งจงที่ปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ ก็รีบเข้าไปเตือนว่า "องค์ชายอย่าเพิ่งรีบร้อน วันเวลายังอีกยาวไกล อีกอย่างเรื่องพระสนมเต๋อเฟย ถ้าองค์ชายทรงแสดงออกไม่เศร้าโศกสักหน่อย ฝ่าบาทก็จะไม่ทรงสงสัยหรือ""ตอนนี้ภารกิจหลักของเราไม่ใช่การแย่งอำนาจกับองค์รัชทายาท แต่เป็นการได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทต่างหาก แค่การลาดตระเวนไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ""ไม่คิดว่าเสด็จแม่จะมา..." น้ำเสียงขององค์ชายสามมีความไม่พอใจต่อพระสนมเต๋อเฟยเล็กน้อยนายและบ่าวสองคนคุยโต้ตอบกันไปมา ไม่ได้เห็นค่าของชีวิตพระสนมเต๋อเฟยเลยและถ้อยคําเหล่านี้ถูกองค์ชายห้าที่มาเยี่ยมองค์ชายสามที่อยู่หน้าประตูได้ยินเข้าเมื่อก่อนเขารู้ว่าเสด็จพี่เขาเย็นชาและเอาแต่ใจ เดิมคิดว่าหลังจากเสด็จแม่ถูกส่งเข้าวังเย็นนิสัยของเสด็จพี่เลยเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนแปลงนิสัยไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่คิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงการเสแสร้งของเสด็จพี่เพื่อเอาใจเสด็จพ่อองค์ชายห้าก้าวจ้ำอ้าวออกมามาจากตำหนักขององค์ชายสามวันรุ่งขึ้น เป็นไป
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ" จู๋อิ่งรับคําสั่งและกําลังจะจากไป จวี๋อิ่งก็เข้ามาจากข้างนอกพอดี ทั้งสองพอพบกันก็พยักหน้าให้กัน ถือว่าทักทายกันแล้วจากนั้นจู๋อิ่งก็บินจากไปและเริ่มภารกิจใหม่"บังเอิญจริง้ชียวจู๋อิ่งเพิ่งออกไปพอดี" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นจวี๋อิ่งมาทักทาย"ข้าได้เจอนางแล้ว" จวี๋อิ่งทำมือคำนับแล้วพูดต่อ "ข้าน้อยไปตรวจสอบบ้านเดิมของสนมฟางกุ้ยเหรินแล้ว พระสนมคงคิดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าพ่อของนางคือจ้าวหานยวน""จ้าวหานยวน?" พอพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินชื่อนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ "รองแม่ทัพที่อยู่กับท่านพ่อน่ะหรือ""ใช่เพคะ"จ้าวหานยวนคนนี้เป็นรองแม่ทัพที่ที่ใกล่ชิดกับติ้งกั๋วโหว ในความเป็นจริงในแง่ของความสามารถทางทหาร จ้าวหานยวนนี้ใช้ไม่ได้เท่าไหร่ เพียงแต่เขาติดตามติ่งกั๋วโหวมาเป็นเวลานาน จะไม่ให้ตําแหน่งอะไรแก่เขาเลยได้ก็คงไม่ได้จึงแต่งตั้งให้เป็นรองแม่ทัพ แต่ท่านพ่อก็ไม่ได้ใช้งานเขามากนักเพียงแต่ถ้าคนเรามีความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่ง ก็จะเกิดเรื่องถูกผิดขึ้นมาบ้างในปีนั้นระหว่างสงครามกับแคว้นเยว่เฟิง ท่านพ่อให้จ้าวหานยวนนํากองกำลังเล็ก ๆ ไปตรวจสอบศัตรู แต่จ้าวหานยวนคนนี้บุกเข้ามาเพราะอยากไ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนิ่งเงียบเป็นเวลาสักพัก ทันใดนั้นในตำหนักก็จมอยู่ในความนิ่งขรึมทันที"นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองจวี๋อิ่งอีกครั้ง "ต้องตามสืบจ้าวหานยวนให้ดีอีก ดูว่าช่วงนี้เขาไปมาหาสู่กับใครบ้าง""ท่านพ่อเชื่อใจเขามากเกินไปเกรงว่าข้าจะโน้มน้าวเขาไม่ได้ เจ้าไปสักหน่อยเมื่อไปถึงข้างกายท่านพ่อของข้าแล้วก็คอยสังเกตจ้าวหานยวนนั่นหน่อย ให้หลานอิ่งไปกับเจ้าด้วย"เมื่อจวี๋อิ่งออกไป จิ่นอวี้ก็เดินเข้ามาถามเสียงเบาทันที "พระสนมสงสัยองค์ชายสามหรือเพคะ?"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยกัหน้า "จิ่นเฉินเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันเกินไป อดที่จะทำให้คนสงสัยไม่ได้"จิ่นอวี้พยักหน้า รินน้ำชาให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอีกแก้ว "แต่บัดนี้จวนชุยถูกดับสิ้นไปแล้ว องค์ชายสามไม่มีที่พึ่งแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?"ลู่ซิงหว่านเข้ามามีส่วนร่วมกับการระดมความคิดนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้[องค์ชายสามไปบอกพระสนมเต๋อเฟยว่า ให้ดึงสนมฟางกุ้ยเหรินเป็นพรรคพวก อนาคตนางยังมีประโยชน์][พระสนมเต๋อเฟยจึงเริ่มใกล้ชิดกับสนมฟางกุ้ยเหริน แต่ไม่คิดว่าจู่ ๆ ก็มีนางกำนัลมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มาบอกอะไรไม่รู้แก่สนมฟางกุ้ยเหริน แล้วส
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต