แน่นอนว่าลู่ซิงหว่านต้องทนโมโหไม่ไหว[พระสนมเต๋อเฟยนี่ก็จริง ๆ เลย เมื่อก่อนก็คอยยุแยงตะแคงรั่วเสด็จพ่อกับท่านแม่ของข้าในวังหลัง มาตอนนี้เข้ามาอยู่ในวังเย็นนี้แล้วก็ไม่วายไม่ได้เจอกัน ก็ดันไปยุแยงคนอื่นอีก][วันหลังต้องให้ท่านแม่ค้นตำหนักของท่านให้ดี ๆ ดูสิว่าท่านได้ปั้นตุ๊กตาท่านแม่ข้าหรือไม่][ท่านแม่ ท่านต้องมีสตินะเพคะ ต้องตรวจดูให้ดี ๆ องค์ชายสามนั่น ข้าก็ว่าเขาก็ดูเจตนาไม่ดีเลย ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงกลับใจหันมาจงรักภักดีต่อพี่ใหญ่ได้ ข้าว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแน่]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็คิดตามคำพูดของหวานหว่าน แม้ว่าหลาย ๆ เหตุการณ์จะหลีกเลี่ยงไปได้เพราะความช่วยเหลือของหวานหว่าน แต่ดูเหมือนว่าจะมีตัวแปรอื่นเกิดขึ้นมากมาย แม้กระทั่งมีคนหวานหว่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนโผล่เข้ามาหลายคน ตอนนี้ได้แต่ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ต้องค่อย ๆ ดูกันไปทีละย่างก้าวแบบนี้จึงจะสามารถปกป้องตัวเองและหวานหว่านในวังนี้ได้แล้วนางก็เอ่ยปากถามอีกว่า "ช่วงหลายวันมานี้ยังมีอะไรผิดปกติอีกไหม?""ทูลพระสนม ไม่มีแล้วเพคะ" เซียงอวิ๋นส่ายหัว แต่ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อีก "แต่เมื
จิ่นซินเห็นว่าในสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความกังวล จึงรีบไปทำตามรับคําสั่งจิ่นอวี้ก็อุ้มลู่ซิงหว่านเดินตามหลังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไปเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรแต่ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนของนางกลับมีความสุขสนุกสนาน[น่าตื่นเต้นดีจริง ๆ วันนี้ช่างน่าตื่นเต้น ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญของเรื่องนี้จะอยู่ที่นางกำนัลคนนั้น นางต้องไปบอกอะไรกับสนมฟางกุ้ยเหรินแน่ ๆ เลยทำให้นางจู่ ๆ ก็เป็นบ้าขึ้นมา][ตอนกลางวันกลางวันยังคุยกับพระสนมเต๋อเฟยอย่างมีความสุขกันอยู่เลย พริบตาเดียวกลับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังถึงกับตายไปด้วยกัน][เมื่อก่อนการต่อสู้ของนางในวังหลังในหนังสือนิทานก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการวางกลอุบายแกล้งกัน เอาชีวิตแลกด้วยชีวิตแบบนี้นับว่า... นับว่ายากนักที่จะมี]ในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยกับความคิดของลู่ซิงหว่าน นางกำนัลคนนั้นเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้เพียงแต่ว่านี้วังใหญ่ขนาดนี้จะไปหาเจอได้อย่างไรจะทูลเล่าเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบหรือไม่เมื่อกลับไปถึงตำหนักชิงอวิ๋น เหมยหลายจู๋จวี๋ก็มารออยู่ในตำหนักแล้วแม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะชอบเล่น แต่ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เรียกเหมยหลานจู๋จ
เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่เสด็จเข้ามา พระสนมเฉินกุ้ยเฟยซึ่งรอคอยมานานก็รีบลุกขึ้นมาทักทายว่า "ถวายบังคมฝ่าบาท"ฮ่องเต้ต้าฉู่ก้าวไปข้างหน้าและจับมือนาง "ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาที่ห้องทรงอักษรได้"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยายามเค้นรอยยิ้มออกมา แต่ก็ได้แต่รอยยิ้มอันขมขื่นฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นนางแบบนี้ ก็หันไปรับลู่ซิงหว่านมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า "เกิดอะไรขึ้นหรือ?""พระสนมเต๋อเฟยเสียแล้ว" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตอบอย่างขมขื่นและไม่ได้สังเกตว่าตัวเองไม่ได้ใช้คําพูดให้เกียรติ"อะไรนะ" ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่เพิ่งนั่งลงก็เด้งขึ้นมาทันที สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อจิ่นอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ รีบไปรับลู่ซิงหว่านมา กลัวว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะตื่นตระหนกจนเผลอทำนางเจ็บพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดจบก็หันไปมองเมิ่งฉวนเต๋อ "มหาขันทีเมิ่ง ให้คนอื่นออกไปก่อน!"จากนั้นก็มองไปที่จิ่นอวี้อีกครั้ง "เจ้าก็พาหวานหว่านออกไปก่อนเถอะ"เมิ่งฉวนเต๋อมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่กำลังงุนงง เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ตอบสนอง เขาจึงทำตามคำสั่งของพระสนมพระสนมเฉินกุ้ยเฟย กลับหลังหันและพาคนอื่นออกไป"เมื่อเช้าวันนี้องครักษ์ของตำหนักผู่เหวินมา
สีหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเปลี่ยนไปทันที "นางเป็นฆาตกร การที่ให้ฝังนางในฐานะกุ้ยเหรินก็เพราะเห็นแค่หน้าพ่อของนาง""ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ แล้วเรื่องนี้จะตรวจสอบต่อไปหรือไม่เพคะ""ตรวจสอบ ไปตรวจสอบมาให้ข้า!" ฮ่องเต้ต้าฉู่พุดลุกขึ้นและตรัสด้วยความโหดเหี้ยม แต่แล้วก็นั่งลงไปใหม่ "เจ้าส่งคนไปตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ ส่งไปแค่คนสองคนพอ อย่ากระโตกกระตาก""หม่อมข้าเข้าใจเพคะ" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยทำความเคารพ "เช่นนั้นหม่อมข้ากลับตำหนักไปจัดการเรื่องนี้ก่อนนะเพคะ"เสร็จแล้วก็ออกจากห้องทรงอักษร"พระสนม ฝ่าบาททรงว่าอย่างไรเพคะ" จิ่นอวี้ที่อุ้มลูกซิงหว่านอยู่เมื่อเห็นพระสนมออกมาก็รีบถามว่า "ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดหรือเพคะ"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยส่ายหัวตอบว่า "เรื่องในราชวงศ์ย่อมต้องรักษาหน้าตาให้ดูดีไว้ก่อน"ลู่ซิงหว่านที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดส่ายหัวไม่ได้[เกิดในราชวงศ์ต้องไร้ความปราณีและไร้ความปรารถนาจริง ๆ สินะ เห็นเหมือนเสด็จพ่อจะชอบพระสนมเต๋อเฟยมาก แต่พอนางตายแล้ว กลับแค่พูดประโยคเดียวว่า "เอาล่ะ" ก็เปลี่ยนบทแล้ว]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็แอบตอบในใจว่า ก็ใช่น่ะสิ เสด็จพ่อของเจ้าหลั่งน้ำตาออกมาตั้งหลายหยด
องค์ชายสามไม่ได้คิดว่าเรื่องจะพัฒนามาถึงขนาดนี้ หลังจากได้ยินการตัดสินใจของฮ่องเต่ต้าฉู่ องค์ชายสามที่อยู่ในตำหนักฉางชิวก็โมโหขึ้นมาทันทีเจิ้งจงที่ปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ ก็รีบเข้าไปเตือนว่า "องค์ชายอย่าเพิ่งรีบร้อน วันเวลายังอีกยาวไกล อีกอย่างเรื่องพระสนมเต๋อเฟย ถ้าองค์ชายทรงแสดงออกไม่เศร้าโศกสักหน่อย ฝ่าบาทก็จะไม่ทรงสงสัยหรือ""ตอนนี้ภารกิจหลักของเราไม่ใช่การแย่งอำนาจกับองค์รัชทายาท แต่เป็นการได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทต่างหาก แค่การลาดตระเวนไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ""ไม่คิดว่าเสด็จแม่จะมา..." น้ำเสียงขององค์ชายสามมีความไม่พอใจต่อพระสนมเต๋อเฟยเล็กน้อยนายและบ่าวสองคนคุยโต้ตอบกันไปมา ไม่ได้เห็นค่าของชีวิตพระสนมเต๋อเฟยเลยและถ้อยคําเหล่านี้ถูกองค์ชายห้าที่มาเยี่ยมองค์ชายสามที่อยู่หน้าประตูได้ยินเข้าเมื่อก่อนเขารู้ว่าเสด็จพี่เขาเย็นชาและเอาแต่ใจ เดิมคิดว่าหลังจากเสด็จแม่ถูกส่งเข้าวังเย็นนิสัยของเสด็จพี่เลยเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนแปลงนิสัยไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่คิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงการเสแสร้งของเสด็จพี่เพื่อเอาใจเสด็จพ่อองค์ชายห้าก้าวจ้ำอ้าวออกมามาจากตำหนักขององค์ชายสามวันรุ่งขึ้น เป็นไป
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ" จู๋อิ่งรับคําสั่งและกําลังจะจากไป จวี๋อิ่งก็เข้ามาจากข้างนอกพอดี ทั้งสองพอพบกันก็พยักหน้าให้กัน ถือว่าทักทายกันแล้วจากนั้นจู๋อิ่งก็บินจากไปและเริ่มภารกิจใหม่"บังเอิญจริง้ชียวจู๋อิ่งเพิ่งออกไปพอดี" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นจวี๋อิ่งมาทักทาย"ข้าได้เจอนางแล้ว" จวี๋อิ่งทำมือคำนับแล้วพูดต่อ "ข้าน้อยไปตรวจสอบบ้านเดิมของสนมฟางกุ้ยเหรินแล้ว พระสนมคงคิดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าพ่อของนางคือจ้าวหานยวน""จ้าวหานยวน?" พอพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินชื่อนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ "รองแม่ทัพที่อยู่กับท่านพ่อน่ะหรือ""ใช่เพคะ"จ้าวหานยวนคนนี้เป็นรองแม่ทัพที่ที่ใกล่ชิดกับติ้งกั๋วโหว ในความเป็นจริงในแง่ของความสามารถทางทหาร จ้าวหานยวนนี้ใช้ไม่ได้เท่าไหร่ เพียงแต่เขาติดตามติ่งกั๋วโหวมาเป็นเวลานาน จะไม่ให้ตําแหน่งอะไรแก่เขาเลยได้ก็คงไม่ได้จึงแต่งตั้งให้เป็นรองแม่ทัพ แต่ท่านพ่อก็ไม่ได้ใช้งานเขามากนักเพียงแต่ถ้าคนเรามีความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่ง ก็จะเกิดเรื่องถูกผิดขึ้นมาบ้างในปีนั้นระหว่างสงครามกับแคว้นเยว่เฟิง ท่านพ่อให้จ้าวหานยวนนํากองกำลังเล็ก ๆ ไปตรวจสอบศัตรู แต่จ้าวหานยวนคนนี้บุกเข้ามาเพราะอยากไ
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนิ่งเงียบเป็นเวลาสักพัก ทันใดนั้นในตำหนักก็จมอยู่ในความนิ่งขรึมทันที"นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองจวี๋อิ่งอีกครั้ง "ต้องตามสืบจ้าวหานยวนให้ดีอีก ดูว่าช่วงนี้เขาไปมาหาสู่กับใครบ้าง""ท่านพ่อเชื่อใจเขามากเกินไปเกรงว่าข้าจะโน้มน้าวเขาไม่ได้ เจ้าไปสักหน่อยเมื่อไปถึงข้างกายท่านพ่อของข้าแล้วก็คอยสังเกตจ้าวหานยวนนั่นหน่อย ให้หลานอิ่งไปกับเจ้าด้วย"เมื่อจวี๋อิ่งออกไป จิ่นอวี้ก็เดินเข้ามาถามเสียงเบาทันที "พระสนมสงสัยองค์ชายสามหรือเพคะ?"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยกัหน้า "จิ่นเฉินเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันเกินไป อดที่จะทำให้คนสงสัยไม่ได้"จิ่นอวี้พยักหน้า รินน้ำชาให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอีกแก้ว "แต่บัดนี้จวนชุยถูกดับสิ้นไปแล้ว องค์ชายสามไม่มีที่พึ่งแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?"ลู่ซิงหว่านเข้ามามีส่วนร่วมกับการระดมความคิดนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้[องค์ชายสามไปบอกพระสนมเต๋อเฟยว่า ให้ดึงสนมฟางกุ้ยเหรินเป็นพรรคพวก อนาคตนางยังมีประโยชน์][พระสนมเต๋อเฟยจึงเริ่มใกล้ชิดกับสนมฟางกุ้ยเหริน แต่ไม่คิดว่าจู่ ๆ ก็มีนางกำนัลมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มาบอกอะไรไม่รู้แก่สนมฟางกุ้ยเหริน แล้วส
[ก็เป็นแค่อนุสรณ์ถึงความรักที่ตายไปแล้วของเขา]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยคิดว่าหวานหว่านของตนนั้นพูดสรุปได้ถึงใจมาก แต่แค่ไม่สามารถยกมาบอกรัชทายาททั้งประโยคเลยจึงไม่สนใจ "ช่างเถอะ พวกเราพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า""พระสนมเฉินเฟย พระสนมเต๋อเฟยกินของผิดสำแดงจริงหรือ?" องค์ชายรองหักห้ามความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่"วันนี้ที่ให้พวกเจ้ามาก็จะพูดเรื่องนี้แหละ" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "แต่แค่พวกเจ้าจำไว้ว่าเรื่องที่จะพูดใน เมื่อออกจากตำหนักชิงอวิ๋นไปพวกเจ้าต้องทำเป็นไม่เคยได้ยินอะไรทั้งนั้น"ทั้งสามคนเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพูดแบบนี้ก็รีบพยักหน้า"ข้าให้คนของข้าไปสืบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าช่วงก่อนองค์ชายสามเคยไปตำหนักผู่เหวิน จากนั้นพระสนมเต๋อเฟยก็เริ่มใกล้ชิดกับสนมฟางกุ้ยเหริน เพื่อที่จะดึงเป็นพรรคพวกเดียวกัน""แล้วข้าก็ตามสืบสนมฟางกุ้ยเหริน พบว่าพ่อของสนมฟางกุ้ยเหรินเป็นรองแม่ทัพคนหนึ่งข้างกายท่านพ่อของข้า คนผู้นี้ทะเยอทะยาน แต่ไม่มีความสามารถเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ไม่รู้จักประเมินตนเอง""พระสนมเฉินสงสัยน้องชายสามงั้นหรือ?" องค์ชายรองเอ่ยปากถามพระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า "ก็มีความคิดแบ