องค์ชายรองรีบถามอย่างร้อนใจ "พระสนมเฉินยังไม่ได้บอกเลยว่า พระสนมเต๋อเฟยตายได้อย่างไร""สนมฟางกุ้ยเหรินฆ่าพระสนมเต๋อเฟย จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตาม" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตอบอย่างสงบแล้วองค์ชายรองก็เด้งตัวขึ้นทันที "อะไรนะ? สนมฟางกุ้ยเหริน?"รัชทายาทก็สับสนงุนงงเหมือนกัน "พระสนมเต๋อเฟยดึงสนมฟางกุ้ยเหรินเป็นพรรคพวกไม่สำเร็จ แต่กลับถูกสนมฟางกุ้ยเหรินฆ่าเนี่ยนะ?"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยพยักหน้า "เรื่องนี้ข้ากำลังตามสืบอยู่ ยังไม่ได้คำตอบสุดท้าย แต่สืบได้แค่เรื่องขององค์ชายสามจึงรีบเรียกพวกเจ้ามาทันที"เผยฉู่เยี่ยนที่นิ่งเงียบตั้งนานก็พูดขึ้นสักที "ขอบพระคุณความห่วงใยจากพระสนมมาก วันหลังกระหม่อมจะคอยระวังคนข้างกายให้ดี"เมื่อทั้งสามคนออกจากตำหนักชิงอวิ๋น เหมยหยิ่งก็กลับมาลู่ซิงหว่านอดที่จะรำพึงรำพันไม่ได้[วันนี้ท่านแม่ยุ่งมากเลย ฟังรายงานตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ แล้วยังเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกพี่รัชทายาทพวกเขาอีก][ท่านแม่ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ตอนนี้พระสนมหลานเฟยล้มป่วย ท่านแม่ต้องห้ามล้มลงเด็ดขาดนะ]ลู่ซิงหว่านไม่รู้ว่า คำพูดของตนนั้นจะกลายเป็นคำทำนายที่เป็นจริงแน่นอนว่า นั่นคือเรื่องราวใ
แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับไม่สามารถขัดได้ "จิ่นอวี้ เจ้ากับจิ่นซินไปทำงานเถอะ ข้าและสนมหลินผินไม่ต้องการการดูแล"จิ่นซินจึงลากจิ่นอวี้เดินออกไป เมื่อออกจากตำหนักถึงค่อยพูด "ไม่เป็นไรหรอก พระสนมของเราเป็นคนอยู่ในสนามรบมานาน คนอย่างสนมหลินผินเข้าใกล้ท่านไม่ได้หรอก"แต่จิ่นซินกลับไม่ไว้ใจ ยังคงมองเข้าไปข้างในด้วยความกังวล "แต่ตอนที่พระสนมเรากำลังให้กำเนิดก็เกือบถูกปองร้ายไม่ใช่หรือ""เจ้าก็พูดเองไม่ใช่หรือว่าตอนนั้นกำลังให้กำเนิดอยู่" จิ่นอวี้รู้ว่าจิ่นซินเป็นคนขี้กลัว ดังนั้นจึงมีความกังวลมากหน่อย "พระสนมบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าปกติคลอดลูกก็ต้องเสี่ยงอันตรายเกือบตายอยู่แล้ว"แล้วก็เข้าไปกระซิบข้างหูจิ่นซิน "ถ้าพวกเราอยู่ สนมหลินผินกลัวเรื่องจะแพร่ออกไปไม่ยอมปริปากล่ะจะทำอย่างไร?"จิ่นซินถึงค่อยพยักหน้าแล้วเฝ้าอยู่หน้าตำหนักด้วยกันกับจิ่นอวี้ส่วนสนมหลินผินที่อยู่ในตำหนัก เมื่อเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยสั่งให้สาวใช้ติดตัวออกไป ใจที่เพิ่มวางลงก็เริ่มแขวนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ทำได้แค่เพียงฝืนยิ้มถาม "ทำไมวันนี้ไม่เห็นองค์หญิงหย่งอันล่ะ?""หย่งอันหลับไปแล้ว" แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับตอบอย่างเฉยเมย
เมื่อเห็นสนมหลินผินพูดมาแบบนี้ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เงียบขรึมไปทันที "เจ้าคิดน้อยไปแล้ว..."พูดจบก็ประคองนางขึ้นมา "เจ้านั่งลงก่อน ค่อย ๆ เล่าให้ข้าฟัง"ขณะนั้น เสียงเล็ก ๆ ของลู่ซิงหว่านก็ดังขึ้นอย่างรื่นเริง[ท่านแม่อยากฟังเรื่องซุบซิบนินทาใช่ไหมเนี่ย!]ในใจพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดที่จะแย้งไม่ได้ : หวานหว่าน แม่กำลังทำเรื่องจริงจังอยู่ เรื่องจริงจัง!สนมหลินผินจึงเช็ด น้ำตาหยุดร้องไห้แล้วค่อย ๆ เล่าเมื่อเห็นลู่ซิงหว่านตื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ร้องไห้งอแง พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เลยไม่ได้ไปสนใจนาง ภายในห้องเงียบสงบมีเพียงแค่เสียงพูดของสนมหลินผิน"ช่วงปีที่พระสนมเพิ่งเข้าวังมาใหม่ ๆ ไม่ค่อยออกจากตำหนักชิงอวิ๋นเท่าไหร่ ดังนั้นพระสนมจึงไม่รู้เรื่องนี้""พระสนมเต๋อเฟยติดตามฝ่าบาทมาตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์แล้ว นอกจากฮองเฮาองค์ก่อนแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานนางที่สุด จึงทำให้นางวางอำนาจบาตรใหญ่ในวัง""ตอนนั้นครอบครัวของพระสนมเต๋อเฟยยิ่งใหญ่ตระกูลเดียว เมื่อฮองเฮาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไป พระสนมเต๋อเฟยก็อยากได้ตำแหน่งฮองเฮาเป็นอย่างมาก แต่ว่านางก็ไม่ได้ใจกว้างให้ลูกของคนอื่นเกิดมา""พระสนมดูใน
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบหยุดนางเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิติยินดี “หากเอ่ยว่าครั้งนี้เป็นเจ้าที่ทำเรื่องผิดพลาดลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วนางกำนัลผู้นั้นเล่า ? นางอายุยังน้อย และเป็นเพียงแค่ผู้ที่ถ่ายทอดคำพูดเท่านั้น แล้วเหตุใดถึงจะต้องไปรังแกผู้บริสุทธิ์ ? ” “หม่อมฉัน…หม่อมฉันได้ยินว่าพระสนมเต๋อเฟยสิ้นพระชนม์แล้วถึงได้ร้อนรนใจขึ้นมา และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถึงได้…ถึงได้ส่งตัวของนางกำนัลผู้นั้นออกไปจากวัง และคิดว่าการที่ให้ไปหลบซ่อนเอาไว้ก็คงจะดี” สนมหลินผินเอ่ยพร้อมดึงมือของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “แต่เมื่อนางออกไปแล้วหม่อมก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวจึงได้ให้คน…แต่ว่าพระสนมทรงวางพระทัยได้เพคะหม่อมฉันได้นำเงินก้อนหนึ่งไปมอบให้แก่ครอบครัวของนางกำนัลผู้นั้นแล้ว และเพียงพอที่จะให้พวกเขามีอาหาร และเสื้อผ้าใช้ไปตลอดชีวิตอย่างไม่ต้องเป็นกังวล”แม้ว่าจะบีบบังคับให้ตนเองเคยชินกับโลกแห่งนี้แล้ว แต่การที่ไม่สนใจชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้กลับทำให้ลู่ชิงหว่านนั้นรู้สึกรับไม่ไหว[หรือไม่ข้าก็นำเงินมามอบให้เจ้าสองหมื่นตำลึงทองจากนั้นก็ตัดศีรษะของเจ้า ดีไหมล่ะ?][พวกที่มีพละกำลัง และอำนาจอย่างพวกเจ้านั้นเอ่ยอะ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน องค์หญิงใหญ่ก็เข้าวังมาเพื่อคารวะ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ไปที่ตำหนังของไท่เฮาพร้อม ๆ กันกับนาง“พวกเจ้าก็ล้วนแต่มีเรื่องของตนเองให้ทำไม่จำเป็นต้องมาหายายแก่อย่างข้าทุกวันเช่นนี้” ไทเฮาเห็นว่าพวกนางมา แน่นอนว่านางนั้นก็ดีใจเพียงแต่ปากกลับเอ่ยบอกปัดออกมาอย่างนั้น“มาทุกวันเสียที่ไหนกันล่ะเพคะ” องค์หญิงใหญ่ยกน้ำชาแก้วหนึ่งมาให้ไทเฮาแล้วนำไปวางลงที่เบื้องหน้าของไทเฮาเบา ๆ “หรือว่าเสด็จย่าทรงรังเกียจหลาน ? ”“เจ้าดูเจ้าเด็กคนนี้” ไทเฮาแตะไปที่ศีรษะขององค์หญิงใหญ่เบา ๆ แล้วมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยดวงตาที่โค้งราวกลับพระจันทร์เสี้ยว “เริ่มมีนิสัยเหมือนเด็กน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ้มเอ่ย “ยามนี้ไทเฮาก็ยอมนางสักหน่อยเถิดเพคะ ยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ และเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทเลยนะเพคะ ! ”“ดูแล้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคงจะหึงแล้วล่ะเพคะ ! ” องค์หญิงใหญ่กรอกตาแล้วยิ้มพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแกล้งทำเป็นโกรธเคืองแล้วมองไปที่ไทเฮา “ไทเฮาก็ดูเด็กคนนี้เถิดเพคะหม่อมฉันจัดการกับนางไม่ไหวแล้ว”จากนั้นพวกนางก็หัวเราะกันขึ้นมา และแม้แต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ข้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไทเฮาก็ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข “ซิงรั่วของพวกเรากำลังจะได้เป็นแม่คนแล้วสินะ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ” พลางยื่นมือออกไปตบไหล่องค์หญิงใหญ่เบาๆ องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอียงตัวซบแขนไทเฮาด้วยท่าทางเขินอาย พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เสด็จย่า~”“หลินจื่อโจวเป็นใครหรือ?” ไทเฮาหันไปถามพระสนมเฉินกุ้ยเฟย“เป็นหลานชายของราชครูหลินเพคะ ปีนี้อายุเข้าสิบเจ็ดปีแล้ว อายุอานามกำลังพอดีเลยเพคะ!”“อ๋อ~” ไทเฮาลากเสียงยาว ราวกับนึกอะไรออก “ข้าเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน หน้าตาดีทีเดียว เหมาะสมกับซิงเสวี่ยของพวกเรายิ่งนัก”เห็นไทเฮาทำสีหน้าพึงพอใจ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ยิ้มตาม “ในเมื่อไทเฮาเองก็ทรงเห็นว่าดี เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไปถามความเห็นจากฝ่าบาทดูเพคะ หากฝ่าบาทเห็นชอบด้วย หม่อมฉันก็จะให้คนไปสอบถามทางตระกูลหลินเพคะ”“ดี” ไทเฮาตบมือองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ เบา ๆ แล้วหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “เจ้าช่างเป็นคนรอบคอบอยู่เสมอเลย”ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับลังเลพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “ซิงรั่วดูท่าทางอึกอักเช่นนี้เป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?”“เพียงแต่ว่าสว
เมื่อได้ยินว่ามีคนสามารถรักษาอาการป่วยของพระสนมหลานเฟยได้ องค์ชายรองก็ลงมือทันที เช้าวันรุ่งขึ้นก็เตรียมของกำนัลล่วงหน้าไปยังจวนกว่างฉินโหวจวนกว่างฉินโหวที่สืบทอดบรรดาศักดิ์มาหลายชั่วอายุคนจนถึงรุ่นนี้ก็ดูจะซบเซาลงไปบ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าช่วงนี้กลับมีคนจากวังหลวงมาเยือนอยู่บ่อยครั้งเพราะสะใภ้ของตระกูล ฮูหยินกว่างฉินโหวจึงรู้สึกชอบสะใภ้คนนี้มากขึ้นในทันทีก่วนหลางสือยังไม่กลับจากการประชุมในตอนเช้า จึงเป็นกว่างฉินโหวที่ต้อนรับองค์ชายรองก่อนที่กว่างฉินโหวจะทันได้คำนับ องค์ชายรองก็ก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับทันที “ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะขอร้อง จึงไม่ขอพูดอ้อมค้อมกับท่านโหวแล้ว”กว่างฉินโหวมองออกถึงความเร่งรีบขององค์ชายรอง จึงกลืนคำพูดที่กำลังจะถามไถ่ทิ้งไป แล้วคำนับกล่าวว่า “หากองค์ชายมีอะไรที่จวนกว่างฉินโหวของกระหม่อมจะช่วยได้ ขอเพียงบอกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าได้ยินว่ามารดาของฮูหยินก่วนมาที่นี่ เสด็จแม่ของข้าป่วยหนักลุกไม่ได้มาหลายวันแล้ว จึงอยากขอให้ท่านหมออูช่วยตรวจอาการ เสด็จแม่ของข้าสักหน่อยเถิด”“พระสนมหลานเฟยทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” กว่างฉินโหวได้ยินเช
พูดจบก็หันไปมองพระสนมหลานเฟยที่นอนอยู่บนเตียงคราวนี้พระสนมหลานเฟยเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “แม่นางอูมาถึงที่นี่ได้ ถือว่ารบกวนท่านแล้ว”แม่นางอูเห็นพระสนมหลานเฟยท่าทางอ่อนแรง จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ มองพระสนมหลานเฟยแล้วกล่าว “เช่นนั้นหม่อมฉันขอตรวจอาการพระสนมสักหน่อยนะเพคะ”คนอื่น ๆ ต่างถอยออกไปด้านข้าง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากรบกวนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพียงพยักหน้าให้ต้วนอวิ๋นอี ไม่ได้พูดอะไรอีก มองแม่นางอูด้วยสายตาเต็มไปด้วยความพอใจบิดาของแม่นางอูเคยเป็นหัวหน้าหมอหลวง มีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง ภายหลังแม้จะเกษียณกลับบ้านเกิด แต่ก็ไม่ได้อยู่เฉย กลับเปิดสถานพยาบาลในท้องถิ่น บางครั้งรักษาคนยากจนโดยไม่คิดค่ารักษา นับเป็นแพทย์ผู้มีจิตเมตตาอย่างแท้จริงแม้ท่านหมออูจะมีบุตรธิดาหลายคน ทว่ามีเพียงธิดาคนนี้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์จากเขา เพียงแต่หลังแต่งงานแม่นางอูก็แทบไม่ได้ออกมาตรวจรักษาผู้ป่วย ช่างน่าเสียดายวิชาแพทย์ที่มีติดตัวเสียจริง ๆเมื่อครู่เห็นนางมองพระสนมหลานเฟยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ก็รู้ว่าแม่นางอูคงมีนิสัยเหมือนบิดาครู่ต่อมา แม่นางอูจึงลุกขึ้นยืน หันไปมององค์ชายรอง แล้วหันกลับมา
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต