หลังจากนั้นไม่กี่วัน องค์หญิงใหญ่ก็เข้าวังมาเพื่อคารวะ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ไปที่ตำหนังของไท่เฮาพร้อม ๆ กันกับนาง“พวกเจ้าก็ล้วนแต่มีเรื่องของตนเองให้ทำไม่จำเป็นต้องมาหายายแก่อย่างข้าทุกวันเช่นนี้” ไทเฮาเห็นว่าพวกนางมา แน่นอนว่านางนั้นก็ดีใจเพียงแต่ปากกลับเอ่ยบอกปัดออกมาอย่างนั้น“มาทุกวันเสียที่ไหนกันล่ะเพคะ” องค์หญิงใหญ่ยกน้ำชาแก้วหนึ่งมาให้ไทเฮาแล้วนำไปวางลงที่เบื้องหน้าของไทเฮาเบา ๆ “หรือว่าเสด็จย่าทรงรังเกียจหลาน ? ”“เจ้าดูเจ้าเด็กคนนี้” ไทเฮาแตะไปที่ศีรษะขององค์หญิงใหญ่เบา ๆ แล้วมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยดวงตาที่โค้งราวกลับพระจันทร์เสี้ยว “เริ่มมีนิสัยเหมือนเด็กน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ้มเอ่ย “ยามนี้ไทเฮาก็ยอมนางสักหน่อยเถิดเพคะ ยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ และเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทเลยนะเพคะ ! ”“ดูแล้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคงจะหึงแล้วล่ะเพคะ ! ” องค์หญิงใหญ่กรอกตาแล้วยิ้มพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแกล้งทำเป็นโกรธเคืองแล้วมองไปที่ไทเฮา “ไทเฮาก็ดูเด็กคนนี้เถิดเพคะหม่อมฉันจัดการกับนางไม่ไหวแล้ว”จากนั้นพวกนางก็หัวเราะกันขึ้นมา และแม้แต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ข้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไทเฮาก็ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข “ซิงรั่วของพวกเรากำลังจะได้เป็นแม่คนแล้วสินะ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ” พลางยื่นมือออกไปตบไหล่องค์หญิงใหญ่เบาๆ องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอียงตัวซบแขนไทเฮาด้วยท่าทางเขินอาย พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เสด็จย่า~”“หลินจื่อโจวเป็นใครหรือ?” ไทเฮาหันไปถามพระสนมเฉินกุ้ยเฟย“เป็นหลานชายของราชครูหลินเพคะ ปีนี้อายุเข้าสิบเจ็ดปีแล้ว อายุอานามกำลังพอดีเลยเพคะ!”“อ๋อ~” ไทเฮาลากเสียงยาว ราวกับนึกอะไรออก “ข้าเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน หน้าตาดีทีเดียว เหมาะสมกับซิงเสวี่ยของพวกเรายิ่งนัก”เห็นไทเฮาทำสีหน้าพึงพอใจ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ยิ้มตาม “ในเมื่อไทเฮาเองก็ทรงเห็นว่าดี เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไปถามความเห็นจากฝ่าบาทดูเพคะ หากฝ่าบาทเห็นชอบด้วย หม่อมฉันก็จะให้คนไปสอบถามทางตระกูลหลินเพคะ”“ดี” ไทเฮาตบมือองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ เบา ๆ แล้วหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “เจ้าช่างเป็นคนรอบคอบอยู่เสมอเลย”ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับลังเลพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “ซิงรั่วดูท่าทางอึกอักเช่นนี้เป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?”“เพียงแต่ว่าสว
เมื่อได้ยินว่ามีคนสามารถรักษาอาการป่วยของพระสนมหลานเฟยได้ องค์ชายรองก็ลงมือทันที เช้าวันรุ่งขึ้นก็เตรียมของกำนัลล่วงหน้าไปยังจวนกว่างฉินโหวจวนกว่างฉินโหวที่สืบทอดบรรดาศักดิ์มาหลายชั่วอายุคนจนถึงรุ่นนี้ก็ดูจะซบเซาลงไปบ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าช่วงนี้กลับมีคนจากวังหลวงมาเยือนอยู่บ่อยครั้งเพราะสะใภ้ของตระกูล ฮูหยินกว่างฉินโหวจึงรู้สึกชอบสะใภ้คนนี้มากขึ้นในทันทีก่วนหลางสือยังไม่กลับจากการประชุมในตอนเช้า จึงเป็นกว่างฉินโหวที่ต้อนรับองค์ชายรองก่อนที่กว่างฉินโหวจะทันได้คำนับ องค์ชายรองก็ก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับทันที “ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะขอร้อง จึงไม่ขอพูดอ้อมค้อมกับท่านโหวแล้ว”กว่างฉินโหวมองออกถึงความเร่งรีบขององค์ชายรอง จึงกลืนคำพูดที่กำลังจะถามไถ่ทิ้งไป แล้วคำนับกล่าวว่า “หากองค์ชายมีอะไรที่จวนกว่างฉินโหวของกระหม่อมจะช่วยได้ ขอเพียงบอกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าได้ยินว่ามารดาของฮูหยินก่วนมาที่นี่ เสด็จแม่ของข้าป่วยหนักลุกไม่ได้มาหลายวันแล้ว จึงอยากขอให้ท่านหมออูช่วยตรวจอาการ เสด็จแม่ของข้าสักหน่อยเถิด”“พระสนมหลานเฟยทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” กว่างฉินโหวได้ยินเช
พูดจบก็หันไปมองพระสนมหลานเฟยที่นอนอยู่บนเตียงคราวนี้พระสนมหลานเฟยเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “แม่นางอูมาถึงที่นี่ได้ ถือว่ารบกวนท่านแล้ว”แม่นางอูเห็นพระสนมหลานเฟยท่าทางอ่อนแรง จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ มองพระสนมหลานเฟยแล้วกล่าว “เช่นนั้นหม่อมฉันขอตรวจอาการพระสนมสักหน่อยนะเพคะ”คนอื่น ๆ ต่างถอยออกไปด้านข้าง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากรบกวนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพียงพยักหน้าให้ต้วนอวิ๋นอี ไม่ได้พูดอะไรอีก มองแม่นางอูด้วยสายตาเต็มไปด้วยความพอใจบิดาของแม่นางอูเคยเป็นหัวหน้าหมอหลวง มีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง ภายหลังแม้จะเกษียณกลับบ้านเกิด แต่ก็ไม่ได้อยู่เฉย กลับเปิดสถานพยาบาลในท้องถิ่น บางครั้งรักษาคนยากจนโดยไม่คิดค่ารักษา นับเป็นแพทย์ผู้มีจิตเมตตาอย่างแท้จริงแม้ท่านหมออูจะมีบุตรธิดาหลายคน ทว่ามีเพียงธิดาคนนี้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์จากเขา เพียงแต่หลังแต่งงานแม่นางอูก็แทบไม่ได้ออกมาตรวจรักษาผู้ป่วย ช่างน่าเสียดายวิชาแพทย์ที่มีติดตัวเสียจริง ๆเมื่อครู่เห็นนางมองพระสนมหลานเฟยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ก็รู้ว่าแม่นางอูคงมีนิสัยเหมือนบิดาครู่ต่อมา แม่นางอูจึงลุกขึ้นยืน หันไปมององค์ชายรอง แล้วหันกลับมา
ณ ตำหนักชิงอวิ๋น เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมา องค์ชายรองก็รออยู่ที่นั่นแล้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าเขามาด้วยเรื่องอะไร จึงสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้ถอยออกไป แล้ววางลู่ซิงหว่านลงบนเตียง ยัดของเล่นให้นางก่อนจะหันไปทักทายองค์ชายรอง “พระสนมเฉินกุ้ยเฟย” องค์ชายรองมาด้วยเรื่องที่พระสนมหลานเฟยถูกวางยาพิษ เขาเคยชินกับการพึ่งพาตัวเองมาตลอด แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คิดว่าควรหาคนปรึกษา จึงเดินมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นโดยไม่รู้ตัว“จิ่นอวี้ไม่ต้องกังวล หลังเจ้าออกจากวังไป ข้าจะคอยดูแลมารดาเจ้าในวังเอง” เห็นเขาไม่พูดอะไร พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงทำลายความเงียบองค์ชายรองส่ายหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งคล้ายนึกได้ว่าไม่ถูกต้อง จึงพยักหน้า แล้วถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดี เสด็จแม่ของข้าเป็นคนระมัดระวังที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกวางยาพิษได้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนึกถึงคำที่แม่นางอูบอก ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรกับองค์ชายรองแทนที่จะให้เขากังวล ไม่สู้สืบสวนให้กระจ่างก่อนค่อยบอกเขาเสียดีกว่า“ปู่ของข้าจากไปตั้งแต่เยาว์วัย เสด็จแม่ข้าจึงไม่มีญาติฝ่ายมารดาคอยพึ่งพามาตั้งนานแล้ว บัดนี้อาศ
แต่ในวังหลังนี้ ไม่เคยสงบสุขมาก่อน ต่อไปภายภาคหน้า ตนเองยังต้องคอยดูแลหวานหว่านอย่างดีจึงจะได้ลู่ซิงหว่านก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้ ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่มองมาที่ตน พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา[ว้าว เสด็จแม่ของข้าช่างงดงามจริง ๆ!][อายจัง เสด็จแม่จ้องมองหวานหว่าน หวานหว่านอายไปหมดแล้ว]เมื่อคิดในใจเช่นนั้นนั้น จึงเริ่มมุดเข้าไปในอ้อมกอดของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เห็นนางเป็นเช่นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ยิ่งรู้สึกดีใจ รีบกอดลู่ซิงหว่านแล้วจูบหนึ่งทีจึงจะยอมปล่อยสองแม่ลูกลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเกิดความคิดขึ้นมา จึงสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้พาไปที่ตำหนักองค์รัชทายาท เมื่อเข้าไปในตำหนักซิงหยางขององค์รัชทายาท ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้วลู่ซิงหว่านมาที่ตำหนักซิงหยางเป็นครั้งแรก จึงหมุนไปมาในอ้อมแขนของจิ่นซินด้วยความตื่นเต้น[ที่แท้นี่ก็คือตำหนักของพี่ชายใหญ่ ช่างมีกลิ่นอายของบัณฑิตจริง ๆ!][ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่า พี่ชายใหญ่ที่สุภาพนุ่มนวลเช่นนี้ จะชอบสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...]พระสนมเฉ
เมื่อเข้ามาในตำหนักก็พบว่ารัชทายาทกำลังฟุบอยู่กับโต๊ะ ท่าทางเหมือนไม่สบายมากและเริ่มฉีกเสื้อผ้าของตนเองออกจิ่นอวี้อดที่จะะหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้แต่กลับเห็นสีหน้าของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยนิ่งเย็นชาราวน้ำแข็ง ชำเลืองมองนางกำนัลแต่ก่อนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเคยร่วมรบในสนามรบมาก่อน เพียงแค่สายตาเดียวรังสีอำมหิตก็พลุ่งพล่านออกมาทันที จนนางกำนัลตกใจกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง เพียงแค่หมอบลงอยู่กับที่ ตัวสั่นระริกในอ้อมอกของจิ่นซินอุ้มลู่ซิงหว่านไว้อยู่ แล้วรู้สึกว่าภาพเหตุการ์ณแบบนี้ไม่สมควรให้เด็กเห็น จึงปิดตานางทันทีแต่ลู่ซิงหว่านไม่ใช่คนว่านอนสอนง่าย จึงขยับซ้ายทีขวาทีเพื่อต้องการที่จะเห็นให้ชัดจิ่นซินสู้นางไม่ได้จึงไม่ปิดตานางอีกแล้วปล่อยนางไป เพราะองค์หญิงน้อยผู้นี้ก็เคยเห็นอะไรที่หนักกว่านี้มาแล้วลู่ซิงหว่านถึงค่อยอยู่นิ่ง ๆส่วนพระะสนมเฉินกุ้ยเฟยก็หันกลับมาอุ้มลู่ซิงหว่านจากจิ่นซิน และกระซิบบอกนางเสียงเบา "ไปเชิญหมอหลวงจ้าวมา ด่วน อย่าอึกทึกครึกโครม บอกแค่ว่าข้าอยู่ที่ตำหนักของรัชทายาทแล้วไม่สบายกะทันหัน"เมื่อจิ่นซินได้รับคำสั่งก็รีบหมุนตัวจะออกไป แต่กลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเ
เผยฉู่เยี่ยนอึ้งไปทันที ตนเป็นปค่องครักษ์ไม่ใช่หรือ? องครักษ์ยังต้องทำหน้าที่เป็นแม่นมด้วยหรือ?แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ในเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยยัดองค์หญิงใส่ในอ้อมอกของตนแล้วจะให้ตนทิ้งนางหรอกหรือส่วนลู่ซิงหว่านก็อึ้งกับการกระทำของท่านแม่เหมือนกัน[ท่านแม่ เขาอายุแค่แปดขวบ เขาอุ้มข้าได้เหรอ?][น่ากลัวจังเลย น่ากลัวจังเลย ข้าต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ ท่านแม่ ท่านดูท่าทางของเขาสิอุ้มข้าได้ที่ไหนเล่า!]จากนั้นก็มองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่กำลังเป็นห่วงมาก[ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ วันนี้ท่านแม่ยุ่งขนาดนี้ยอมให้เจ้าเด็กนี่อุ้มข้าครั้งหนึ่งก็ได้]ขณะนั้นเอง จงผิงคนรับใช้คนสนิทของรัชทายาทก็รีบวิ่งเข้ามาในตำหนักซิงหยาง วิ่งตรงปรี่มายังตำหนักหลักอย่างเร่งรีบ สายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่มองเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจจงผิงกำลังจะอ้าปากอธิบายก็ถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตัดบทเพราะร่างกายของรัชทายาทสำคัญที่สุด พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้กล่าวโทษ ณ ตรงนั้นเลยทันทีเพียงแค่สั่งจงผิง "เจ้าพาองค์รัชทายาทของเจ้าไปอาบน้ำเย็นก่อน มีอะไรค่อยพูดทีหลัง"เมื่อครู่ที่จงผิงเข้ามาในตหนักก็สังดกตเห็นรัชทายาทที่เหมือนจะไม่สบ