พูดจบก็หันไปมองพระสนมหลานเฟยที่นอนอยู่บนเตียงคราวนี้พระสนมหลานเฟยเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “แม่นางอูมาถึงที่นี่ได้ ถือว่ารบกวนท่านแล้ว”แม่นางอูเห็นพระสนมหลานเฟยท่าทางอ่อนแรง จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ มองพระสนมหลานเฟยแล้วกล่าว “เช่นนั้นหม่อมฉันขอตรวจอาการพระสนมสักหน่อยนะเพคะ”คนอื่น ๆ ต่างถอยออกไปด้านข้าง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากรบกวนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพียงพยักหน้าให้ต้วนอวิ๋นอี ไม่ได้พูดอะไรอีก มองแม่นางอูด้วยสายตาเต็มไปด้วยความพอใจบิดาของแม่นางอูเคยเป็นหัวหน้าหมอหลวง มีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง ภายหลังแม้จะเกษียณกลับบ้านเกิด แต่ก็ไม่ได้อยู่เฉย กลับเปิดสถานพยาบาลในท้องถิ่น บางครั้งรักษาคนยากจนโดยไม่คิดค่ารักษา นับเป็นแพทย์ผู้มีจิตเมตตาอย่างแท้จริงแม้ท่านหมออูจะมีบุตรธิดาหลายคน ทว่ามีเพียงธิดาคนนี้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์จากเขา เพียงแต่หลังแต่งงานแม่นางอูก็แทบไม่ได้ออกมาตรวจรักษาผู้ป่วย ช่างน่าเสียดายวิชาแพทย์ที่มีติดตัวเสียจริง ๆเมื่อครู่เห็นนางมองพระสนมหลานเฟยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ก็รู้ว่าแม่นางอูคงมีนิสัยเหมือนบิดาครู่ต่อมา แม่นางอูจึงลุกขึ้นยืน หันไปมององค์ชายรอง แล้วหันกลับมา
ณ ตำหนักชิงอวิ๋น เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมา องค์ชายรองก็รออยู่ที่นั่นแล้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าเขามาด้วยเรื่องอะไร จึงสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้ถอยออกไป แล้ววางลู่ซิงหว่านลงบนเตียง ยัดของเล่นให้นางก่อนจะหันไปทักทายองค์ชายรอง “พระสนมเฉินกุ้ยเฟย” องค์ชายรองมาด้วยเรื่องที่พระสนมหลานเฟยถูกวางยาพิษ เขาเคยชินกับการพึ่งพาตัวเองมาตลอด แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คิดว่าควรหาคนปรึกษา จึงเดินมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นโดยไม่รู้ตัว“จิ่นอวี้ไม่ต้องกังวล หลังเจ้าออกจากวังไป ข้าจะคอยดูแลมารดาเจ้าในวังเอง” เห็นเขาไม่พูดอะไร พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงทำลายความเงียบองค์ชายรองส่ายหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งคล้ายนึกได้ว่าไม่ถูกต้อง จึงพยักหน้า แล้วถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดี เสด็จแม่ของข้าเป็นคนระมัดระวังที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกวางยาพิษได้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนึกถึงคำที่แม่นางอูบอก ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรกับองค์ชายรองแทนที่จะให้เขากังวล ไม่สู้สืบสวนให้กระจ่างก่อนค่อยบอกเขาเสียดีกว่า“ปู่ของข้าจากไปตั้งแต่เยาว์วัย เสด็จแม่ข้าจึงไม่มีญาติฝ่ายมารดาคอยพึ่งพามาตั้งนานแล้ว บัดนี้อาศ
แต่ในวังหลังนี้ ไม่เคยสงบสุขมาก่อน ต่อไปภายภาคหน้า ตนเองยังต้องคอยดูแลหวานหว่านอย่างดีจึงจะได้ลู่ซิงหว่านก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้ ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่มองมาที่ตน พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา[ว้าว เสด็จแม่ของข้าช่างงดงามจริง ๆ!][อายจัง เสด็จแม่จ้องมองหวานหว่าน หวานหว่านอายไปหมดแล้ว]เมื่อคิดในใจเช่นนั้นนั้น จึงเริ่มมุดเข้าไปในอ้อมกอดของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เห็นนางเป็นเช่นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ยิ่งรู้สึกดีใจ รีบกอดลู่ซิงหว่านแล้วจูบหนึ่งทีจึงจะยอมปล่อยสองแม่ลูกลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเกิดความคิดขึ้นมา จึงสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้พาไปที่ตำหนักองค์รัชทายาท เมื่อเข้าไปในตำหนักซิงหยางขององค์รัชทายาท ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้วลู่ซิงหว่านมาที่ตำหนักซิงหยางเป็นครั้งแรก จึงหมุนไปมาในอ้อมแขนของจิ่นซินด้วยความตื่นเต้น[ที่แท้นี่ก็คือตำหนักของพี่ชายใหญ่ ช่างมีกลิ่นอายของบัณฑิตจริง ๆ!][ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่า พี่ชายใหญ่ที่สุภาพนุ่มนวลเช่นนี้ จะชอบสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...]พระสนมเฉ
เมื่อเข้ามาในตำหนักก็พบว่ารัชทายาทกำลังฟุบอยู่กับโต๊ะ ท่าทางเหมือนไม่สบายมากและเริ่มฉีกเสื้อผ้าของตนเองออกจิ่นอวี้อดที่จะะหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้แต่กลับเห็นสีหน้าของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยนิ่งเย็นชาราวน้ำแข็ง ชำเลืองมองนางกำนัลแต่ก่อนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเคยร่วมรบในสนามรบมาก่อน เพียงแค่สายตาเดียวรังสีอำมหิตก็พลุ่งพล่านออกมาทันที จนนางกำนัลตกใจกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง เพียงแค่หมอบลงอยู่กับที่ ตัวสั่นระริกในอ้อมอกของจิ่นซินอุ้มลู่ซิงหว่านไว้อยู่ แล้วรู้สึกว่าภาพเหตุการ์ณแบบนี้ไม่สมควรให้เด็กเห็น จึงปิดตานางทันทีแต่ลู่ซิงหว่านไม่ใช่คนว่านอนสอนง่าย จึงขยับซ้ายทีขวาทีเพื่อต้องการที่จะเห็นให้ชัดจิ่นซินสู้นางไม่ได้จึงไม่ปิดตานางอีกแล้วปล่อยนางไป เพราะองค์หญิงน้อยผู้นี้ก็เคยเห็นอะไรที่หนักกว่านี้มาแล้วลู่ซิงหว่านถึงค่อยอยู่นิ่ง ๆส่วนพระะสนมเฉินกุ้ยเฟยก็หันกลับมาอุ้มลู่ซิงหว่านจากจิ่นซิน และกระซิบบอกนางเสียงเบา "ไปเชิญหมอหลวงจ้าวมา ด่วน อย่าอึกทึกครึกโครม บอกแค่ว่าข้าอยู่ที่ตำหนักของรัชทายาทแล้วไม่สบายกะทันหัน"เมื่อจิ่นซินได้รับคำสั่งก็รีบหมุนตัวจะออกไป แต่กลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเ
เผยฉู่เยี่ยนอึ้งไปทันที ตนเป็นปค่องครักษ์ไม่ใช่หรือ? องครักษ์ยังต้องทำหน้าที่เป็นแม่นมด้วยหรือ?แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ในเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยยัดองค์หญิงใส่ในอ้อมอกของตนแล้วจะให้ตนทิ้งนางหรอกหรือส่วนลู่ซิงหว่านก็อึ้งกับการกระทำของท่านแม่เหมือนกัน[ท่านแม่ เขาอายุแค่แปดขวบ เขาอุ้มข้าได้เหรอ?][น่ากลัวจังเลย น่ากลัวจังเลย ข้าต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ ท่านแม่ ท่านดูท่าทางของเขาสิอุ้มข้าได้ที่ไหนเล่า!]จากนั้นก็มองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่กำลังเป็นห่วงมาก[ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ วันนี้ท่านแม่ยุ่งขนาดนี้ยอมให้เจ้าเด็กนี่อุ้มข้าครั้งหนึ่งก็ได้]ขณะนั้นเอง จงผิงคนรับใช้คนสนิทของรัชทายาทก็รีบวิ่งเข้ามาในตำหนักซิงหยาง วิ่งตรงปรี่มายังตำหนักหลักอย่างเร่งรีบ สายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่มองเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจจงผิงกำลังจะอ้าปากอธิบายก็ถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตัดบทเพราะร่างกายของรัชทายาทสำคัญที่สุด พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้กล่าวโทษ ณ ตรงนั้นเลยทันทีเพียงแค่สั่งจงผิง "เจ้าพาองค์รัชทายาทของเจ้าไปอาบน้ำเย็นก่อน มีอะไรค่อยพูดทีหลัง"เมื่อครู่ที่จงผิงเข้ามาในตหนักก็สังดกตเห็นรัชทายาทที่เหมือนจะไม่สบ
เหมยหยิ่งก้าวเข้าไปเพียงแค่หยิบแขนของนางกำนัลคนนั้นขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วออกแรงบีบข้อมือนางเล็กน้อย นางกำนัลคนนั้นก็เจ็บจนทนไม่ไหวทันทีจนร้องออกมาเสียงดัง จิ่นอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ เห็นทีก็กลัวจะรบกวนองค์รัชทายาทจึงรีบยัดผ้าอ้อมอันเมื่อครู่กลับไปทันทีแต่ผ่านไปไม่นาน นางกำนัลคนนั้นก็ส่ายหัวสุดแรง ส่งเสียงร้องอู้อี้ มองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงได้ส่งสัญญาณให้เหมยหยิ่งหยุดลงแล้วถามนางกำคนคนนั้น "คิดดีแล้วใช่ไหม?"นางกำนัลคนนั้นพยักหน้ารัวสุดแรงและมีน้ำตาเล็ดเมื่อเห็นท่าทีของนางกำนัล พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ส่งสัญญาณให้จิ่นอวี้เอาผ้าอ้อมออกจากนั้นก็มองนางกำนัลคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา "เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หากโกหกข้าอีกครั้งมันจะไม่ง่ายดังเช่นนี้แล้ว"นางกำนัลคนนั้นกลัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยสุดขีด รีบโขกหัวรัว ๆ "บ่าวไม่กล้าเพคะ บ่าวจะบอกทุกอย่างโดยไม่ปิดบังแน่นอน"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยชำเลืองมองนางกำนัลคนนั้นจากตำแหน่งที่สูงกว่า สายตาเต็มไปด้วยความนิ่งขรึมลุ่มลึกสายตานี้ทำให้นางกำนัลกลัวสุดขีดจนสะดุ้งโหยงอย่างห้ามไม่ได้นางรีบคลานเข้าไปคุกเข่าโขกหัวกับพื้
แต่มองกลับกันก็รู้สึกดีใจที่ตอนนี้ตนจับตัวคนร้ายที่ฆ่ารัชทายาทได้ด้วยความบังเอิญถ้าอย่างนั้นจิ่นเหยาก็มีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างปลอดภัยแล้วสิเมื่อคิดได้ดังนี้นางก็ลุกขึ้นพรวดทันที ถอนหายใจยาวออกมา "ไปเถอะ ไปห้องทรงอักษร""จิ่นอวี้และ..."ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นจงผิงเข้ามาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยนึกได้ว่ายังมีเรื่องขันทีน้อยคนนี้ จึงถอนหายใจแล้วนั่งลงเหมือนเดิมเมื่อจงผิงเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถอนหายใจก็รีบเข้าไปคุกเข่าลง "บ่าวมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าผิดอะไร" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้โมโหแต่อย่างใด"วันนี้มีขันทีน้อยจากข้างนอกมาแจ้งว่า พระสนมกุ้ยเฟยบาดเจ็บตรงเท้าที่อุทยานหลวง เนื่องจากอยู่ใกล้ตำหนักของรัชทายาทก็เลยมาขอความช่วยเหลือที่ตำหนักซิงหยาง""เนื่องจากองค์รัชทายาทกำลังยุ่งอยู่ในห้องหนังสือ บ่าวก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงให้คนไปเตรียมเกี้ยวแล้วไปยังอุทยานหลวง""แต่บ่าวเดินหาในอุทยานหลวงตั้งนานก็ไม่พบพระสนมกุ้ยเฟย จึงคิดได้ว่าตนถูกแผนล่อเสือออกจากถ้ำเข้าแล้ว แต่เมื่อบ่าวกลับมาก็สายไปแล้ว"จงผิงพูดจบก็โขกหัวทันที "โชคดีที่วันนี้พระสนมกุ้ยเฟยปรากฏได้อย่างท่วงทัน มิเช่นนั้
เมื่อคุยกับเผยฉู่เยี่ยนเรื่ององครักษ์เงาเสร็จ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยมีรับสั่ง "จิ่นอวี้และเผยฉู่เยี่ยนอยู่ช่วยดูแลรัชทายาทที่ตำหนักซิงหยาง ข้าจะพาจิ่นซินไปห้องทรงอักษร"พูดจบก็มองไปทางเผยฉู่เยี่ยน "ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ต้องให้ฝ่าบาททราบถึงจะดี"แววตาแฝงความทรงพลังและเด็ดเดี่ยวห้ามคัดค้านในใจเผยฉู่เยี่ยนอึ้งเล้กน้อย ปกติพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนอ่อนโยนมาก แต่หากเรื่องเกี่ยวข้องกับพวกเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเขาก็นางก็คล้ายกับ...แม่ไก่ที่กำลังปกป้องลูกไก่แม้จะบรรยายได้ไม่งามนักแต่ในใจเผยฉู่เยี่ยนคิดแบบนี้จากใจจริง พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่า ในวังหลังที่เย็นชาไร้ความจริงใจนี้ยังพอมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่บ้างเนื่องจากมีเรื่องในใจ ฝีเท้าของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงเร็วมาก ไม่นาน นางก็พาจิ่นซินมาถึงหน้าห้องทรงอักษรเมิ่งฉวนเต๋อเ็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาก็รีบเข้าไปคำนับ "พระสนมมาได้จังหวะพอดีเลย ฝ่าบาทเพิ่งเสวยมื้อเย็นจากที่พระสนมหนิงเฟยกลับมาเมื่อครู่"แม้เรื่องเมื่อครู่ยังติดอยู่ในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แต่นางยังคนฝืนยิ้มแล้วเดินตามเมิ่งฉวนเต๋อเข้าไปในห้องทรงอักษร"ฝ่าบาท" แม