เผยฉู่เยี่ยนอึ้งไปทันที ตนเป็นปค่องครักษ์ไม่ใช่หรือ? องครักษ์ยังต้องทำหน้าที่เป็นแม่นมด้วยหรือ?แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ในเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยยัดองค์หญิงใส่ในอ้อมอกของตนแล้วจะให้ตนทิ้งนางหรอกหรือส่วนลู่ซิงหว่านก็อึ้งกับการกระทำของท่านแม่เหมือนกัน[ท่านแม่ เขาอายุแค่แปดขวบ เขาอุ้มข้าได้เหรอ?][น่ากลัวจังเลย น่ากลัวจังเลย ข้าต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ ท่านแม่ ท่านดูท่าทางของเขาสิอุ้มข้าได้ที่ไหนเล่า!]จากนั้นก็มองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่กำลังเป็นห่วงมาก[ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ วันนี้ท่านแม่ยุ่งขนาดนี้ยอมให้เจ้าเด็กนี่อุ้มข้าครั้งหนึ่งก็ได้]ขณะนั้นเอง จงผิงคนรับใช้คนสนิทของรัชทายาทก็รีบวิ่งเข้ามาในตำหนักซิงหยาง วิ่งตรงปรี่มายังตำหนักหลักอย่างเร่งรีบ สายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่มองเขาแฝงไปด้วยความไม่พอใจจงผิงกำลังจะอ้าปากอธิบายก็ถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยตัดบทเพราะร่างกายของรัชทายาทสำคัญที่สุด พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้กล่าวโทษ ณ ตรงนั้นเลยทันทีเพียงแค่สั่งจงผิง "เจ้าพาองค์รัชทายาทของเจ้าไปอาบน้ำเย็นก่อน มีอะไรค่อยพูดทีหลัง"เมื่อครู่ที่จงผิงเข้ามาในตหนักก็สังดกตเห็นรัชทายาทที่เหมือนจะไม่สบ
เหมยหยิ่งก้าวเข้าไปเพียงแค่หยิบแขนของนางกำนัลคนนั้นขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วออกแรงบีบข้อมือนางเล็กน้อย นางกำนัลคนนั้นก็เจ็บจนทนไม่ไหวทันทีจนร้องออกมาเสียงดัง จิ่นอวี้ที่อยู่ข้าง ๆ เห็นทีก็กลัวจะรบกวนองค์รัชทายาทจึงรีบยัดผ้าอ้อมอันเมื่อครู่กลับไปทันทีแต่ผ่านไปไม่นาน นางกำนัลคนนั้นก็ส่ายหัวสุดแรง ส่งเสียงร้องอู้อี้ มองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงได้ส่งสัญญาณให้เหมยหยิ่งหยุดลงแล้วถามนางกำคนคนนั้น "คิดดีแล้วใช่ไหม?"นางกำนัลคนนั้นพยักหน้ารัวสุดแรงและมีน้ำตาเล็ดเมื่อเห็นท่าทีของนางกำนัล พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ส่งสัญญาณให้จิ่นอวี้เอาผ้าอ้อมออกจากนั้นก็มองนางกำนัลคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา "เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หากโกหกข้าอีกครั้งมันจะไม่ง่ายดังเช่นนี้แล้ว"นางกำนัลคนนั้นกลัวพระสนมเฉินกุ้ยเฟยสุดขีด รีบโขกหัวรัว ๆ "บ่าวไม่กล้าเพคะ บ่าวจะบอกทุกอย่างโดยไม่ปิดบังแน่นอน"พระสนมเฉินกุ้ยเฟยชำเลืองมองนางกำนัลคนนั้นจากตำแหน่งที่สูงกว่า สายตาเต็มไปด้วยความนิ่งขรึมลุ่มลึกสายตานี้ทำให้นางกำนัลกลัวสุดขีดจนสะดุ้งโหยงอย่างห้ามไม่ได้นางรีบคลานเข้าไปคุกเข่าโขกหัวกับพื้
แต่มองกลับกันก็รู้สึกดีใจที่ตอนนี้ตนจับตัวคนร้ายที่ฆ่ารัชทายาทได้ด้วยความบังเอิญถ้าอย่างนั้นจิ่นเหยาก็มีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างปลอดภัยแล้วสิเมื่อคิดได้ดังนี้นางก็ลุกขึ้นพรวดทันที ถอนหายใจยาวออกมา "ไปเถอะ ไปห้องทรงอักษร""จิ่นอวี้และ..."ยังพูดไม่ทันจบก็เห็นจงผิงเข้ามาพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยนึกได้ว่ายังมีเรื่องขันทีน้อยคนนี้ จึงถอนหายใจแล้วนั่งลงเหมือนเดิมเมื่อจงผิงเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยถอนหายใจก็รีบเข้าไปคุกเข่าลง "บ่าวมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าผิดอะไร" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้โมโหแต่อย่างใด"วันนี้มีขันทีน้อยจากข้างนอกมาแจ้งว่า พระสนมกุ้ยเฟยบาดเจ็บตรงเท้าที่อุทยานหลวง เนื่องจากอยู่ใกล้ตำหนักของรัชทายาทก็เลยมาขอความช่วยเหลือที่ตำหนักซิงหยาง""เนื่องจากองค์รัชทายาทกำลังยุ่งอยู่ในห้องหนังสือ บ่าวก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงให้คนไปเตรียมเกี้ยวแล้วไปยังอุทยานหลวง""แต่บ่าวเดินหาในอุทยานหลวงตั้งนานก็ไม่พบพระสนมกุ้ยเฟย จึงคิดได้ว่าตนถูกแผนล่อเสือออกจากถ้ำเข้าแล้ว แต่เมื่อบ่าวกลับมาก็สายไปแล้ว"จงผิงพูดจบก็โขกหัวทันที "โชคดีที่วันนี้พระสนมกุ้ยเฟยปรากฏได้อย่างท่วงทัน มิเช่นนั้
เมื่อคุยกับเผยฉู่เยี่ยนเรื่ององครักษ์เงาเสร็จ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงค่อยมีรับสั่ง "จิ่นอวี้และเผยฉู่เยี่ยนอยู่ช่วยดูแลรัชทายาทที่ตำหนักซิงหยาง ข้าจะพาจิ่นซินไปห้องทรงอักษร"พูดจบก็มองไปทางเผยฉู่เยี่ยน "ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ต้องให้ฝ่าบาททราบถึงจะดี"แววตาแฝงความทรงพลังและเด็ดเดี่ยวห้ามคัดค้านในใจเผยฉู่เยี่ยนอึ้งเล้กน้อย ปกติพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนอ่อนโยนมาก แต่หากเรื่องเกี่ยวข้องกับพวกเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเขาก็นางก็คล้ายกับ...แม่ไก่ที่กำลังปกป้องลูกไก่แม้จะบรรยายได้ไม่งามนักแต่ในใจเผยฉู่เยี่ยนคิดแบบนี้จากใจจริง พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่า ในวังหลังที่เย็นชาไร้ความจริงใจนี้ยังพอมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่บ้างเนื่องจากมีเรื่องในใจ ฝีเท้าของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงเร็วมาก ไม่นาน นางก็พาจิ่นซินมาถึงหน้าห้องทรงอักษรเมิ่งฉวนเต๋อเ็นว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมาก็รีบเข้าไปคำนับ "พระสนมมาได้จังหวะพอดีเลย ฝ่าบาทเพิ่งเสวยมื้อเย็นจากที่พระสนมหนิงเฟยกลับมาเมื่อครู่"แม้เรื่องเมื่อครู่ยังติดอยู่ในใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย แต่นางยังคนฝืนยิ้มแล้วเดินตามเมิ่งฉวนเต๋อเข้าไปในห้องทรงอักษร"ฝ่าบาท" แม
[เสด็จพ่อก็คงนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้ขึ้นในวัง เริ่มแรกพระสนมฟางกุ้ยเหรินบ้าคลั่งฆ่าพระสนมเต๋อเฟย ต่อมามีคนคิดจะปีนขึ้นเตียงพี่รัชทายาท แต่ปีนขึ้นเตียงพี่รัชทายาทจะมีประโยชน์อะไร เขาก็แค่รัชทายาทคนหนึ่งเท่านั้น] [มิสู้ปีนขึ้นเตียงเสด็จพ่อยังดูเป็นไปได้มากกว่า เผื่อเสด็จพ่ออารมณ์ดี แต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเหริน จะไม่เฟื่องฟูขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียวหรอกหรือ] ฮ่องเต้ต้าฉู่มองบนในใจ บุตรสาวตนนี้ สมเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขาจริงๆ มีเรื่องอะไรก็มาหาเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็คือสวรรค์ของนาง ลู่ซิงหว่านไม่รู้ความคิดภายในใจฮ่องเต้ต้าฉู่ ก่อนจะเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง[ไม่ใช่ๆ นังคนนี้ไม่ได้คิดแต่จะปีนขึ้นเตียงอย่างเดียว นางเป็นคนโง่ และถูกคนอื่นหลอกใช่ก็เท่านั้น][จุดประสงค์ของคนที่หลอกใช่นางไม่ใช่ให้นางเป็นพระสนม แต่เพื่อให้นางวางยาพิษพี่ชายใหญ่ของข้า โชคดีที่วันนี้เสด็จแม่ไปพบเข้าพอดี][ไม่เช่นนั้นพี่รัชทายาทคงถูกวางยาพิษตายเหมือนในหนังสือแล้ว]ฮ่องเต้ต้าฉู่ประหลาดใจอย่างมากทันที ที่แท้นางข้าหลวงคนนั้นคิดจะวางยาพิษรัชทายาท?เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นทันใด “ไม่คิดเลยว่าวังหลังในตอนนี้จะวุ
ทว่าลู่ซิงหว่านกลับไม่สนใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครช่วยตัวเอง ก็ใช้มือน้อยของตัวเองยันขึ้นนั่ง[องครักษ์เงามังกรไม่ใช่องครักษ์ลึกลับที่สุดข้างกายเสด็จพ่อหรอกหรือ? ถึงกับให้เสด็จแม่เห็นเช่นนี้เลย? เสด็จพ่อไว้ใจเสด็จแม่ขนาดนั้นเลยหรือ?][โว้วๆ หน้าตาพอใช้ได้! คล้ายกับองครักษ์เงามังกรที่บรรยายไว้ในหนังสือเลย]เมื่อได้ยินเสียงในใจของลู่ซิงหว่าน ฮ่องเต้ต้าฉู่อดแสยะปากขึ้นมาไม่ได้ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าข้านั้นให้ความสำคัญกับเสด็จแม่เจ้ามาก เพียงแต่หลายวันมานี้ยุ่งไปหน่อยก็เลยไม่ได้ไปที่ตำหนักชิงอวิ๋นฮ่องเต้ต้าฉู่มองไปที่อิ่งอีด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึม “เจ้าไปที่ตำหนักชิงอวิ๋น นำตัวนางข้าหลวงที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกักขังไว้มาไต่สวนและตรวจสอบให้ข้า”“พะย่ะค่ะ” อิ่งอีรับบัญชา เขาไม่พูดอะไรมาก เมื่อออกประตูไปก็ตรงไปยังตำหนักชิงอวิ๋นทันทีเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไปถึงตำหนักชิงอวิ๋น อิ่งอีก็ได้นำตัวอวี้หลันไปแล้ว“คุณหนู” เมื่อเห็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมา เหมยหยิ่งก็ก้าวไปหา ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ ก่อนมอบให้นาง “จดหมายจากหลานอิ่งเจ้าค่ะ”“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?” พระสนมเฉินกุ
“เรื่องนี้ เมื่อเทียบกับในสนามรบเมื่อก่อนมันเบากว่ามาก” เหมยหยิ่งอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ตอนนี้มีเรื่องให้ทำก็ดีเช่นกันพะย่ะค่ะ”คืนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว แต่รัชทายาทกลับมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพิ่งจะกล่อมลู่ซิงหว่านนอนหลับไป และตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงยาว ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันมานี้ ทว่าจิ่นอวี้กลับค่อยๆ ย่องเข้ามา “พระสนม องค์รัชทายาทมาพะย่ะค่ะ”แม้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะมึนงงไปชั่วขณะ กระนั้นก็ให้จิ่นอวี้เชิญรัชทายาทเข้ามา“วันนี้รบกวนเสด็จป้าแล้ว” เนื่องจากลู่ซิงหว่านหลับไปแล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงพบรัชทายาทที่ห้องโถงด้านข้าง“เจ้าพูดอะไรกัน ในวังนี้ ข้าไม่คุ้มครองเจ้าแล้วจะคุ้มครองใคร!” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยแสร้งทำเป็นกล่าวด้วยความโกรธ “เพียงแต่ข้างกายเจ้าควรมีคนมากกว่านี้อีกหน่อย”“วันนี้ฉู่เยี่ยนบอกข้าแล้วว่าจะย้ายองครักษ์เงาที่บิดาเขาทิ้งไว้ให้เขามาให้เจ้าสี่คน” ครั้นเห็นว่ารัชทายาทกำลังจะเปิดปากปฏิเสธ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่มีทางให้โอกาสนี้แก่เขา “เพลานี้มีเรื่องให้กลุ้มมากมาย เจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิเสธหรอก พรุ่งนี้สี่คนนั้นจะเขาวังมา ถึงครานั้นเจ้าก็จัดแจงใ
เพียงแต่เข้าวังครั้งนี้มีแค่ต้วนอวิ๋นอีไปคนเดียวเท่านั้น“คารวะพระสนมเฉินกุ้ยเฟย” เข้าวังหนนี้ ต้วนอวิ๋นอีไม่เขินอายเหมือนครั้งแรกที่เข้าวังอีกแล้ว เพราะนางคุ้นเคยกับพระบรมมหาราชวังอย่างมาก “พระสนม สองสามวันก่อนท่านแม่ได้กลับไปเมืองอวิ๋นเฉิงแล้ว จึงมิอาจมาได้”“เร่งรีบเช่นนี้เชียว? ไหนๆ ก็มาแล้ว ไยไม่พักอยู่อีกหน่อยเล่า?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่เข้าใจ“เป็นเพราะ…”ต้วนอวิ๋นอีอ้ำอึ้งขึ้นมาขณะกล่าว“เป็นเพราะท่านแม่ได้ยินข่าวลือบางอย่างมา และปล่อยวางไม่ได้ จึงตั้งใจมาดูหม่อมฉันพะย่ะค่ะ”‘เสด็จแม่ ท่านได้ยินหรือไม่ ได้ยินข่าวลือบางอย่าง ท่านลองเดาดูว่าเป็นข่าวลืออะไร?’‘ก็ต้องเป็นข่าวลือของท่านกับก่วนหลางสือน่ะสิ! ข้าเดาว่าที่จวนโหวกวงฉินเลือกนางจากเมืองหยุนโจว ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้’‘แม้จวนโหวกวงฉินจะไม่เลว แต่กลับตกต่ำลง แม้คนในเมืองหลวงจะชอบยึดติดกับผู้มีอำนาจ แต่ก็รู้สึกเสียใจแทนลูกสาว ใครจะตัดใจให้ลูกสาวแต่งกับผู้ชายที่มีคนอื่นอยู่ในใจกัน!’‘ทว่าเรื่องเช่นนี้จะปิดมันไว้ด้อย่างไร!’อันดับแรกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกเสียใจที่ได้ยินเสียงใจของลู่ซิงหว่าน ปกติเด็กคนนี้มักจะชอบหยอกล้
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต