เพียงแต่เข้าวังครั้งนี้มีแค่ต้วนอวิ๋นอีไปคนเดียวเท่านั้น“คารวะพระสนมเฉินกุ้ยเฟย” เข้าวังหนนี้ ต้วนอวิ๋นอีไม่เขินอายเหมือนครั้งแรกที่เข้าวังอีกแล้ว เพราะนางคุ้นเคยกับพระบรมมหาราชวังอย่างมาก “พระสนม สองสามวันก่อนท่านแม่ได้กลับไปเมืองอวิ๋นเฉิงแล้ว จึงมิอาจมาได้”“เร่งรีบเช่นนี้เชียว? ไหนๆ ก็มาแล้ว ไยไม่พักอยู่อีกหน่อยเล่า?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่เข้าใจ“เป็นเพราะ…”ต้วนอวิ๋นอีอ้ำอึ้งขึ้นมาขณะกล่าว“เป็นเพราะท่านแม่ได้ยินข่าวลือบางอย่างมา และปล่อยวางไม่ได้ จึงตั้งใจมาดูหม่อมฉันพะย่ะค่ะ”‘เสด็จแม่ ท่านได้ยินหรือไม่ ได้ยินข่าวลือบางอย่าง ท่านลองเดาดูว่าเป็นข่าวลืออะไร?’‘ก็ต้องเป็นข่าวลือของท่านกับก่วนหลางสือน่ะสิ! ข้าเดาว่าที่จวนโหวกวงฉินเลือกนางจากเมืองหยุนโจว ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้’‘แม้จวนโหวกวงฉินจะไม่เลว แต่กลับตกต่ำลง แม้คนในเมืองหลวงจะชอบยึดติดกับผู้มีอำนาจ แต่ก็รู้สึกเสียใจแทนลูกสาว ใครจะตัดใจให้ลูกสาวแต่งกับผู้ชายที่มีคนอื่นอยู่ในใจกัน!’‘ทว่าเรื่องเช่นนี้จะปิดมันไว้ด้อย่างไร!’อันดับแรกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกเสียใจที่ได้ยินเสียงใจของลู่ซิงหว่าน ปกติเด็กคนนี้มักจะชอบหยอกล้
เมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง ก็เห็นหลานอิ่งกับจวี๋อิ่งกำลังยืนอยู่ด้านล่างไกลๆ “คุณหนู เราคิดว่าพระองค์คงเป็นห่วงท่านโหว หม่อมฉันกับจวี๋อิ่งจึงเข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้จัดแจงตัวเอง”แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับไม่สนใจ รีบให้พวกนางนั่งลง และรินน้ำชาให้ “พวกเจ้าลำบากมาตลอดทางแล้ว ยังราบรื่นดีอยู่หรือไม่?”“ตลอดทางปลอดภัยมาก” องครักษ์เงาเหล่านี้หลบซ่อนได้ดี นอกจากฝ่าบาทแล้วน่าจะไม่มีใครรู้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าพวกนางจะไปสืบอะไร ก็ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้ยากหลานอิ่งไม่สนการทักทายใดๆ เริ่มรายงานเรื่องในค่ายใหญ่ทางทิศตะวันตกทันที “คุณหนูโปรดวางใจ ตอนนี้ค่ายใหญ่ทางทิศตะวันตกเป็นไปด้วยดี หลังจากที่ข้าน้อยแจ้งเรื่องการตายของพระสนมฟางกุ้ยเหรินแก่จ้าวหานยวนไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะระเบิดโทสะออกมาทันที”“เขาว่า…”หลานอิ่งกล่าวมาถึงตรงนี้ ก็เกิดความลังเลเล็กน้อยแต่จวี๋อิ่งกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางกล่าวต่อทันที “เจ้าจ้าวหานยวนคนนั้นไม่รู้จักชั่วดีจริงๆ ถึงได้ระเบิดโทสะใส่ท่านโหว บอกว่าคุณหนูมิอาจปกป้องพระสนมฟางกุ้ยเหรินให้ดีได้”“ท่านโหวเองก็ไม่ยอมเขา ตบโต๊ะลงตรงนั้นทันที และกล่าวว่าจ้าวหานยวนผู้นี้ไม
เมื่อหญิงสาวคนนั้นเข้ามาในห้องโถงด้านข้าง ไม่รอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยปาก ทันใดนั้นลู่ซิงหว่านที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ร้องขึ้นมาอย่างเสียงดัง“อ๊า อ๊า อ๊า...” แต่ก็เป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ประโยชน์ของเด็กน้อย เกือบจะตกจากเก้าอี้ โชคดีที่จิ่นซินที่อยู่ข้าง ๆ มองเห็นและคว้านางไว้ได้ทัน“ท่านพี่ฉยงหัว เป็นท่านพี่ฉยงหัวของข้า ท่านพี่ฉยงหัวพี่คงคิดถึงข้ามากใช่ไหม ดังนั้นจึงมาหาข้าใช่หรือไม่?”“ฮือ ฮือ ฮือ ต้องใช่แน่ ๆ ท่านพี่ฉยงหัวห่วงใยข้าที่สุดแล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจ นางเคยได้ยินหวานหว่านพูดถึงท่านพี่ฉยงหัวคนนี้มาก่อน น่าจะเป็นญาติหรือเพื่อนของนางในโลกเซียน ก่อนหน้านี้หวานหว่านยังเคยบอกว่านางชอบขนมที่ท่านพี่ฉยงหัวทำอีกด้วย!หรือว่า นี่จะเป็นท่านพี่ฉยงหัวของนางจริง ๆ ?เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองมา ลู่ซิงหว่านถึงกับร้องไห้ออกมา“ฮือ ฮือ ฮือ ท่านแม่ นี่คือท่านพี่ฉยงหัวของข้าในโลกเซียน นอกจากอาจารย์แล้ว ท่านพี่ฉยงหัวคือคนที่ดีกับข้าที่สุด”“ฮือ ฮือ ฮือ ท่านแม่ยังไม่รู้เลยว่าข้าเป็นนางฟ้าน้อยที่มาจากโลกเซียน”แต่หญิงสาวคนนั้นเพียงมองมาอย่างเรียบเฉยแล้วกล่าวว่า “ขอถวายบังคมพระส
“ก็เป็นโชคดีของพี่หญิงเองด้วย” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจับมือพระสนมหลานเฟยแล้วกระซิบเบาๆ “เรื่องที่พี่หญิงถูกวางยาพิษ ข้าไม่ได้กราบทูลฝ่าบาท เพราะระยะนี้ในวังมีเรื่องวุ่นวายมาก ข้าคิดว่าถ้าเราสืบเรื่องนี้อย่างเงียบๆ คงจะดีกว่า”พระสนมหลานเฟยก็พูดเบาๆ เช่นกันว่า “การตัดสินใจของเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง”พูดจบก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ข้าพึ่งนึกขึ้นได้ มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกเจ้า เจ้ายังจำสาวใช้สองคนที่เคยอยู่กับพระสนมเต๋อเฟยได้หรือไม่?”“สาวใช้สองคนนั้นชื่อไป๋จื่อกับไป๋เวยใช่หรือไม่?” พระสนมเฉินกุ้ยแฟยจำพวกนางได้ดี ภาพที่ไป๋จื่อเคยมาโต้เถียงกับนางยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ “พวกนางเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์จริงๆ”“เมื่อวานนี้องค์ชายสามไปขอฝ่าบาทด้วยตนเอง บอกว่าต้องการรำลึกถึงพระมารดาของตนเอง อยากให้สาวใช้สองคนนั้นกลับไปปรนนิบัติที่ตำหนักฉางชิว”“หืม?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด บัดนี้ไม่ว่าองค์ชายสามจะทำอะไร นางกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย “จิ่นเฉินเป็นลูกกตัญญูจริงๆ” “น้องหญิง?” ในเมื่อพระสนมหลานเฟยกล่าวถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่ารู้สึกมีปัญหาอยู่บ้าง จึงคิดจะปรึกษากับพระสนมเฉ
รถม้าเดินทางต่อไปอีกครู่หนึ่ง จากระยะไกลก็ได้เห็นสวนของตระกูลฉินที่องค์หญิงใหญ่กล่าวถึงเห็นประตูสวนเรียบง่ายมาก ใช้เพียงป้ายไม้ธรรมดาและมีตัวอักษร “ฉิน” เขียนไว้เท่านั้นแต่ถ้าสังเกตดูอย่างละเอียด จะรู้ว่าประตูนี้ไม่ธรรมดา ป้ายไม้นั้นทำจากไม้จันทน์ชั้นดี และตัวอักษร “ฉิน” นั้นก็เป็นลายมือของฮ่องเต้ต้าฉู่นั่นเองเดิมองค์หญิงใหญ่ได้เตรียมเสลี่ยงเล็ก ๆ ไว้ให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยและพระสนมหลานเฟย เพียงแค่เปลี่ยนเป็นเสลี่ยงเล็กที่หน้าประตูเท่านั้นพระสนมหลานเฟยเห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่งดงามมาก และตัวเองก็ไม่ได้ออกมาเสียนาน จึงปรึกษากับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยว่าให้ละทิ้งเสลี่ยง แล้วเดินชมสวนนี้ดีกว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เห็นด้วยในสวนนี้ ต้นไม้และพืชพรรณต่าง ๆ ล้วนมาจากธรรมชาติ แม้แต่ภูเขาจำลองก็ยังคงรักษารูปทรงดั้งเดิมไว้ ทำให้มีเสน่ห์เฉพาะตัวเมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยและคณะเข้ามาในสวนที่จัดงานประจำวันนี้ เหล่าคุณชายคุณหนูคนอื่น ๆ ก็มาถึงได้สักพักแล้วลู่ซิงหว่านเบนตัวจากจิ่นซินแล้วมองไป เห็นว่าเป็นคนที่นางรู้จักเสียส่วนใหญ่ มีพี่น้องตระกูลหานสองคน คือ หานซีสือและหานซีเยว่ ตอนนี้ยืนอยู่กับพี่น้องตร
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดที่จะหัวเราะอย่างเขินอายไม่ได้[พระสนมหลานเฟยเป็นคนฉลาดมากจริง ๆ ข้าเองก็จะดูว่าท่านแม่จะทำตัวเป็นแม่สื่อหรือไม่][วันหลังก็จะให้ท่านแม่ของข้ามาพูดเรื่องแต่งงานกับพี่รองด้วย คุณหนูตระกูลหรง อื้ม คุณหนูตระกูลหรงเป็นอย่างไรดีล่ะ?][อย่างไรก็ตามเดิมทีคุณหนูตระกูลหรงและพี่รองก็จับคู่อย่างเป็นทางการอยู่แล้ว ให้พวกเขาสองคนคบกันก็จะดีมาก]ตามคําพูดของลู่ซิงหว่าน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเองก็มองหาจากตรงนั้น แต่สิ่งที่ได้เห็นในครั้งนี้ กลับเป็นอีกฉากหนึ่งที่กลมกลืน จึงหัวเราะออกมา พระสนมหลานเฟยกลับมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยความสงสัยและไม่รอให้นางเอ่ยถาม พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงเอ่ยตอบว่า "ท่านพี่มองทางนั้นสิ"ขณะพูดได้พลางชี้ไปอีกทิศทางหนึ่งของสวน คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือหรงเหวินโจวและหรงเหวินเมี่ยวพี่น้องตระกูลหรง รวมถึงเหออวี่เหยาและเหออวิ๋นเหยาพี่น้องตระกูลเหอ "ยังจำพี่สาวหรงเหวินเมี่ยวคนนั้นได้ไหม?" พระสนมเฉินกุ้ยเฟยมองพระสนมหลานเฟยด้วยใบหน้าสํารวจพระสนมหลานเฟยเห็นนางแบบนั้น ก็หัวเราะเบา ๆ "ใช่บุตรสาวของใต้เท้าหรงใต้เท้าผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่? ในพิธีแต่งตั้งของเจ้าและพระส
ยังไม่รอให้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้พูดอะไรกับพระสนมหลานเฟยอีก องค์หญิงใหญ่มองเห็นกลุ่มคนทางฝั่งนี้ จึงรีบเดินเข้ามา เนื่องจากเห็นว่าองค์หญิงใหญ่กําลังตั้งครรภ์อยู่ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงรีบเดินขึ้นหลายก้าว เดินไปข้างหน้าเพื่อประคองนาง ขณะที่มองท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของนาง พร้อมกล่าวว่า "บัดนี้เจ้าเป็นคนที่กําลังตั้งครรภ์ จะเดินเหินก็ต้องระมัดระวังหน่อย อย่าทําให้ทารกในครรภ์ต้องเจ็บปวด"พูดจบก็หันไปมองคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างหลังองค์หญิงใหญ่อีกสองสามคน "ครั้งที่แล้วข้าได้บอกกับพวกเจ้าว่าให้ปรนนิบัติดูแลองค์หญิงให้ดี บัดนี้พวกเจ้ากลับประมาทเลินเล่อเช่นนี้หรือ?"องค์หญิงใหญ่กลับขัดขวางการตําหนิของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่ต่อว่าสาวใช้เหล่านั้นและยิ้มอย่างงดงาม "ข้าเปราะบางแบบนั้นที่ไหนกันเล่า ข้าเคยได้ยินว่า ตอนที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตั้งท้องหวานหว่านอยู่นั้น ยังเคยปีนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วย!""ข้าเคยทำแบบนั้นที่ไหนกัน..." พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเบี่ยงหน้าไปข้าง ๆ อย่างเขินอาย[ท่านแม่เคยปีนขึ้นไปบนต้นไม้จริงหรือ? สมแล้วที่เป็นท่านแม่ของข้า ท่านแม่ ท่านคือเทพของหวานหว่าน!]เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นว่านางไม่ได้พูด
พูดจบก็หันไปยิ้มให้กับพระสนมหลานเฟยพระสนมหลานเฟยจึงเอ่ยกล่าวเช่นกันว่า "น้องเฉินพูดถูก ทุกคนทำตัวตามสบายหน่อย"ทันที่ที่ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รีบทำความเคารพขอบคุณ จากนั้นก็มีเสียงพูดขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างต่อเนื่องและทันใดนั้นเองในพระบรมมหาราชวัง ฮ่องเต้ต้าฉู่ที่เพิ่งออกมาจากท้องพระโรงตอนช่วงเช้าก็ตรงดิ่งไปที่ตำหนักหรงเล่อของไทเฮาเนื่องจากฮ่องเต้ต้าฉู่มีงานราชการที่ยุ่ง ไทเฮาไม่ได้เจอฮ่องเต้ต้าฉู่มานานมากแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าคิดว่าบัดนี้เขาจะแอบหาเวลาว่างมาที่ตำหนักหรงเล่อ"ถ้าฮ่องเต้มีงานราชการที่ยุ่ง ก็ไม่จําเป็นต้องมาหาข้า บัดนี้มีชิงเหยียนดูแลอยู่ ข้าสบายดีมาก"ไทเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้ต้าฉู่เป็นคนกตัญญูเสมอมา จึงเอ่ยปลอบโยนเขาก่อนจากนั้นก็ได้ยินไทเฮาเอ่ยถึงชื่อของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกผิดมาก "ชิงเหยียนทําได้ดีมากจริง ๆ รบกวนนางแล้ว"หลังจากที่พูดคำนี้จบก็ทรงนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ไทเฮาเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่ที่เป็นเช่นนี้ จึงทราบธุระที่เขามาหา ทันใดนั้นแม่มมที่อยู่ข้างกายก็ถอยจากไปทันที พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น "เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?"ทันใดนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่ถอนหายใ