เมื่อเห็นสนมหลินผินพูดมาแบบนี้ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เงียบขรึมไปทันที "เจ้าคิดน้อยไปแล้ว..."พูดจบก็ประคองนางขึ้นมา "เจ้านั่งลงก่อน ค่อย ๆ เล่าให้ข้าฟัง"ขณะนั้น เสียงเล็ก ๆ ของลู่ซิงหว่านก็ดังขึ้นอย่างรื่นเริง[ท่านแม่อยากฟังเรื่องซุบซิบนินทาใช่ไหมเนี่ย!]ในใจพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดที่จะแย้งไม่ได้ : หวานหว่าน แม่กำลังทำเรื่องจริงจังอยู่ เรื่องจริงจัง!สนมหลินผินจึงเช็ด น้ำตาหยุดร้องไห้แล้วค่อย ๆ เล่าเมื่อเห็นลู่ซิงหว่านตื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ร้องไห้งอแง พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็เลยไม่ได้ไปสนใจนาง ภายในห้องเงียบสงบมีเพียงแค่เสียงพูดของสนมหลินผิน"ช่วงปีที่พระสนมเพิ่งเข้าวังมาใหม่ ๆ ไม่ค่อยออกจากตำหนักชิงอวิ๋นเท่าไหร่ ดังนั้นพระสนมจึงไม่รู้เรื่องนี้""พระสนมเต๋อเฟยติดตามฝ่าบาทมาตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์แล้ว นอกจากฮองเฮาองค์ก่อนแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานนางที่สุด จึงทำให้นางวางอำนาจบาตรใหญ่ในวัง""ตอนนั้นครอบครัวของพระสนมเต๋อเฟยยิ่งใหญ่ตระกูลเดียว เมื่อฮองเฮาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไป พระสนมเต๋อเฟยก็อยากได้ตำแหน่งฮองเฮาเป็นอย่างมาก แต่ว่านางก็ไม่ได้ใจกว้างให้ลูกของคนอื่นเกิดมา""พระสนมดูใน
พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรีบหยุดนางเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิติยินดี “หากเอ่ยว่าครั้งนี้เป็นเจ้าที่ทำเรื่องผิดพลาดลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วนางกำนัลผู้นั้นเล่า ? นางอายุยังน้อย และเป็นเพียงแค่ผู้ที่ถ่ายทอดคำพูดเท่านั้น แล้วเหตุใดถึงจะต้องไปรังแกผู้บริสุทธิ์ ? ” “หม่อมฉัน…หม่อมฉันได้ยินว่าพระสนมเต๋อเฟยสิ้นพระชนม์แล้วถึงได้ร้อนรนใจขึ้นมา และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถึงได้…ถึงได้ส่งตัวของนางกำนัลผู้นั้นออกไปจากวัง และคิดว่าการที่ให้ไปหลบซ่อนเอาไว้ก็คงจะดี” สนมหลินผินเอ่ยพร้อมดึงมือของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “แต่เมื่อนางออกไปแล้วหม่อมก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวจึงได้ให้คน…แต่ว่าพระสนมทรงวางพระทัยได้เพคะหม่อมฉันได้นำเงินก้อนหนึ่งไปมอบให้แก่ครอบครัวของนางกำนัลผู้นั้นแล้ว และเพียงพอที่จะให้พวกเขามีอาหาร และเสื้อผ้าใช้ไปตลอดชีวิตอย่างไม่ต้องเป็นกังวล”แม้ว่าจะบีบบังคับให้ตนเองเคยชินกับโลกแห่งนี้แล้ว แต่การที่ไม่สนใจชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้กลับทำให้ลู่ชิงหว่านนั้นรู้สึกรับไม่ไหว[หรือไม่ข้าก็นำเงินมามอบให้เจ้าสองหมื่นตำลึงทองจากนั้นก็ตัดศีรษะของเจ้า ดีไหมล่ะ?][พวกที่มีพละกำลัง และอำนาจอย่างพวกเจ้านั้นเอ่ยอะ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน องค์หญิงใหญ่ก็เข้าวังมาเพื่อคารวะ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยถึงได้ไปที่ตำหนังของไท่เฮาพร้อม ๆ กันกับนาง“พวกเจ้าก็ล้วนแต่มีเรื่องของตนเองให้ทำไม่จำเป็นต้องมาหายายแก่อย่างข้าทุกวันเช่นนี้” ไทเฮาเห็นว่าพวกนางมา แน่นอนว่านางนั้นก็ดีใจเพียงแต่ปากกลับเอ่ยบอกปัดออกมาอย่างนั้น“มาทุกวันเสียที่ไหนกันล่ะเพคะ” องค์หญิงใหญ่ยกน้ำชาแก้วหนึ่งมาให้ไทเฮาแล้วนำไปวางลงที่เบื้องหน้าของไทเฮาเบา ๆ “หรือว่าเสด็จย่าทรงรังเกียจหลาน ? ”“เจ้าดูเจ้าเด็กคนนี้” ไทเฮาแตะไปที่ศีรษะขององค์หญิงใหญ่เบา ๆ แล้วมองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยด้วยดวงตาที่โค้งราวกลับพระจันทร์เสี้ยว “เริ่มมีนิสัยเหมือนเด็กน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยิ้มเอ่ย “ยามนี้ไทเฮาก็ยอมนางสักหน่อยเถิดเพคะ ยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ และเป็นแก้วตาดวงใจของฝ่าบาทเลยนะเพคะ ! ”“ดูแล้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยคงจะหึงแล้วล่ะเพคะ ! ” องค์หญิงใหญ่กรอกตาแล้วยิ้มพระสนมเฉินกุ้ยเฟยแกล้งทำเป็นโกรธเคืองแล้วมองไปที่ไทเฮา “ไทเฮาก็ดูเด็กคนนี้เถิดเพคะหม่อมฉันจัดการกับนางไม่ไหวแล้ว”จากนั้นพวกนางก็หัวเราะกันขึ้นมา และแม้แต่ลู่ชิงหว่านที่นั่งอยู่ข้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไทเฮาก็ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข “ซิงรั่วของพวกเรากำลังจะได้เป็นแม่คนแล้วสินะ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ” พลางยื่นมือออกไปตบไหล่องค์หญิงใหญ่เบาๆ องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอียงตัวซบแขนไทเฮาด้วยท่าทางเขินอาย พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เสด็จย่า~”“หลินจื่อโจวเป็นใครหรือ?” ไทเฮาหันไปถามพระสนมเฉินกุ้ยเฟย“เป็นหลานชายของราชครูหลินเพคะ ปีนี้อายุเข้าสิบเจ็ดปีแล้ว อายุอานามกำลังพอดีเลยเพคะ!”“อ๋อ~” ไทเฮาลากเสียงยาว ราวกับนึกอะไรออก “ข้าเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน หน้าตาดีทีเดียว เหมาะสมกับซิงเสวี่ยของพวกเรายิ่งนัก”เห็นไทเฮาทำสีหน้าพึงพอใจ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ยิ้มตาม “ในเมื่อไทเฮาเองก็ทรงเห็นว่าดี เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะไปถามความเห็นจากฝ่าบาทดูเพคะ หากฝ่าบาทเห็นชอบด้วย หม่อมฉันก็จะให้คนไปสอบถามทางตระกูลหลินเพคะ”“ดี” ไทเฮาตบมือองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ เบา ๆ แล้วหันไปมองพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “เจ้าช่างเป็นคนรอบคอบอยู่เสมอเลย”ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับลังเลพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “ซิงรั่วดูท่าทางอึกอักเช่นนี้เป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?”“เพียงแต่ว่าสว
เมื่อได้ยินว่ามีคนสามารถรักษาอาการป่วยของพระสนมหลานเฟยได้ องค์ชายรองก็ลงมือทันที เช้าวันรุ่งขึ้นก็เตรียมของกำนัลล่วงหน้าไปยังจวนกว่างฉินโหวจวนกว่างฉินโหวที่สืบทอดบรรดาศักดิ์มาหลายชั่วอายุคนจนถึงรุ่นนี้ก็ดูจะซบเซาลงไปบ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าช่วงนี้กลับมีคนจากวังหลวงมาเยือนอยู่บ่อยครั้งเพราะสะใภ้ของตระกูล ฮูหยินกว่างฉินโหวจึงรู้สึกชอบสะใภ้คนนี้มากขึ้นในทันทีก่วนหลางสือยังไม่กลับจากการประชุมในตอนเช้า จึงเป็นกว่างฉินโหวที่ต้อนรับองค์ชายรองก่อนที่กว่างฉินโหวจะทันได้คำนับ องค์ชายรองก็ก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับทันที “ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะขอร้อง จึงไม่ขอพูดอ้อมค้อมกับท่านโหวแล้ว”กว่างฉินโหวมองออกถึงความเร่งรีบขององค์ชายรอง จึงกลืนคำพูดที่กำลังจะถามไถ่ทิ้งไป แล้วคำนับกล่าวว่า “หากองค์ชายมีอะไรที่จวนกว่างฉินโหวของกระหม่อมจะช่วยได้ ขอเพียงบอกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าได้ยินว่ามารดาของฮูหยินก่วนมาที่นี่ เสด็จแม่ของข้าป่วยหนักลุกไม่ได้มาหลายวันแล้ว จึงอยากขอให้ท่านหมออูช่วยตรวจอาการ เสด็จแม่ของข้าสักหน่อยเถิด”“พระสนมหลานเฟยทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” กว่างฉินโหวได้ยินเช
พูดจบก็หันไปมองพระสนมหลานเฟยที่นอนอยู่บนเตียงคราวนี้พระสนมหลานเฟยเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “แม่นางอูมาถึงที่นี่ได้ ถือว่ารบกวนท่านแล้ว”แม่นางอูเห็นพระสนมหลานเฟยท่าทางอ่อนแรง จึงรีบเดินเข้าไปใกล้ มองพระสนมหลานเฟยแล้วกล่าว “เช่นนั้นหม่อมฉันขอตรวจอาการพระสนมสักหน่อยนะเพคะ”คนอื่น ๆ ต่างถอยออกไปด้านข้าง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากรบกวนพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเพียงพยักหน้าให้ต้วนอวิ๋นอี ไม่ได้พูดอะไรอีก มองแม่นางอูด้วยสายตาเต็มไปด้วยความพอใจบิดาของแม่นางอูเคยเป็นหัวหน้าหมอหลวง มีทักษะทางการแพทย์สูงส่ง ภายหลังแม้จะเกษียณกลับบ้านเกิด แต่ก็ไม่ได้อยู่เฉย กลับเปิดสถานพยาบาลในท้องถิ่น บางครั้งรักษาคนยากจนโดยไม่คิดค่ารักษา นับเป็นแพทย์ผู้มีจิตเมตตาอย่างแท้จริงแม้ท่านหมออูจะมีบุตรธิดาหลายคน ทว่ามีเพียงธิดาคนนี้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์จากเขา เพียงแต่หลังแต่งงานแม่นางอูก็แทบไม่ได้ออกมาตรวจรักษาผู้ป่วย ช่างน่าเสียดายวิชาแพทย์ที่มีติดตัวเสียจริง ๆเมื่อครู่เห็นนางมองพระสนมหลานเฟยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย ก็รู้ว่าแม่นางอูคงมีนิสัยเหมือนบิดาครู่ต่อมา แม่นางอูจึงลุกขึ้นยืน หันไปมององค์ชายรอง แล้วหันกลับมา
ณ ตำหนักชิงอวิ๋น เมื่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับมา องค์ชายรองก็รออยู่ที่นั่นแล้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดีว่าเขามาด้วยเรื่องอะไร จึงสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้ถอยออกไป แล้ววางลู่ซิงหว่านลงบนเตียง ยัดของเล่นให้นางก่อนจะหันไปทักทายองค์ชายรอง “พระสนมเฉินกุ้ยเฟย” องค์ชายรองมาด้วยเรื่องที่พระสนมหลานเฟยถูกวางยาพิษ เขาเคยชินกับการพึ่งพาตัวเองมาตลอด แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คิดว่าควรหาคนปรึกษา จึงเดินมาที่ตำหนักชิงอวิ๋นโดยไม่รู้ตัว“จิ่นอวี้ไม่ต้องกังวล หลังเจ้าออกจากวังไป ข้าจะคอยดูแลมารดาเจ้าในวังเอง” เห็นเขาไม่พูดอะไร พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงทำลายความเงียบองค์ชายรองส่ายหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งคล้ายนึกได้ว่าไม่ถูกต้อง จึงพยักหน้า แล้วถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยรู้ดี เสด็จแม่ของข้าเป็นคนระมัดระวังที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกวางยาพิษได้”พระสนมเฉินกุ้ยเฟยนึกถึงคำที่แม่นางอูบอก ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรกับองค์ชายรองแทนที่จะให้เขากังวล ไม่สู้สืบสวนให้กระจ่างก่อนค่อยบอกเขาเสียดีกว่า“ปู่ของข้าจากไปตั้งแต่เยาว์วัย เสด็จแม่ข้าจึงไม่มีญาติฝ่ายมารดาคอยพึ่งพามาตั้งนานแล้ว บัดนี้อาศ
แต่ในวังหลังนี้ ไม่เคยสงบสุขมาก่อน ต่อไปภายภาคหน้า ตนเองยังต้องคอยดูแลหวานหว่านอย่างดีจึงจะได้ลู่ซิงหว่านก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้ ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่มองมาที่ตน พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายขึ้นมา[ว้าว เสด็จแม่ของข้าช่างงดงามจริง ๆ!][อายจัง เสด็จแม่จ้องมองหวานหว่าน หวานหว่านอายไปหมดแล้ว]เมื่อคิดในใจเช่นนั้นนั้น จึงเริ่มมุดเข้าไปในอ้อมกอดของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย เห็นนางเป็นเช่นนั้น พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็ยิ่งรู้สึกดีใจ รีบกอดลู่ซิงหว่านแล้วจูบหนึ่งทีจึงจะยอมปล่อยสองแม่ลูกลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเกิดความคิดขึ้นมา จึงสั่งให้จิ่นซินและจิ่นอวี้พาไปที่ตำหนักองค์รัชทายาท เมื่อเข้าไปในตำหนักซิงหยางขององค์รัชทายาท ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้วลู่ซิงหว่านมาที่ตำหนักซิงหยางเป็นครั้งแรก จึงหมุนไปมาในอ้อมแขนของจิ่นซินด้วยความตื่นเต้น[ที่แท้นี่ก็คือตำหนักของพี่ชายใหญ่ ช่างมีกลิ่นอายของบัณฑิตจริง ๆ!][ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่า พี่ชายใหญ่ที่สุภาพนุ่มนวลเช่นนี้ จะชอบสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...]พระสนมเฉ